การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 21 วันที่ 17 พฤศจิกายน 2539

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 10:42, 4 ตุลาคม 2554 โดย Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง รองศาสตราจารย์ ดร.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 21 วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2539

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 21 วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2539 เกิดขึ้นจากการที่นายบรรหาร ศิลปอาชา ได้ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2539 อันเนื่องมาจากการถูกเสนอญัตติเพื่อขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีจากพรรคฝ่ายค้านอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งยังเกิดกระแสที่ประชาชนไม่พอใจภาพพจน์ของรัฐบาล ทำให้รัฐบาลเกิดความสั่นคลอน จนเป็นเหตุให้มีการประกาศให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539

สำหรับการเลือกตั้งในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 ครั้งนี้ ได้ถูกจัดตั้งขึ้นภายใต้กฎกติกาของ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2534 (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 5 พ.ศ.2538) และ พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2522 ฉบับที่ 3 พ.ศ.2538 เช่นเดียวกันกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 20 เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2538 จนเป็นเหตุให้ การเลือกตั้งในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ถึง 393 คน (ดังตารางด้านล่าง)

จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคการเมือง-การเลือกตั้งทั่วไป
17 พฤศจิกายน พ.ศ.2539 [1]
พรรคการเมือง จำนวน ส.ส.แบบแบ่งเขต (คน)
ชาติพัฒนา 52
ประชาธิปัตย์ 123
ชาติไทย 39
ประชากรไทย 18
กิจสังคม 20
เอกภาพ 8
พลังธรรม 1
ความหวังใหม่ 125
เสรีธรรม 4
นำไทย 2
มวลชน 1
เสรีประชาธิปไตย 0
แรงงานไทย 0
รวม 393

สำหรับการเลือกตั้ง วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 นี้มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งทั้งหมด 24,070,750 คน จากจำนวนผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด 38,564,593 คน คิดเป็นร้อยละ 62.42 มีบัตรเสีย 632,502 บัตร คิดเป็นร้อยละ 2.63 มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะพึงมี 393 คน ต่อจำนวน 156 เขตเลือกตั้ง และมีหน่วยเลือกตั้ง 63,378 หน่วย ในการเลือกตั้งครั้งนี้มีพรรคการเมืองส่งผู้สมัครจำนวน 13 พรรค โดยประกอบไปด้วย พรรคชาติพัฒนา พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย พรรคประชากรไทย พรรคกิจสังคม พรรคเอกภาพ พรรคพลังธรรม พรรคความหวังใหม่ พรรคเสรีธรรม พรรคมวลชน พรรคไท พรรคเสรีประชาธิปไตย และพรรคแรงงานไทย

(1) พรรคการเมืองที่ผู้สมัครได้รับเลือกตั้ง มีจำนวนทั้งหมด 11 พรรค คือ พรรคชาติพัฒนา พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย พรรคประชากรไทย พรรคกิจสังคม พรรคเอกภาพ พรรคพลังธรรม พรรคความหวังใหม่ พรรคเสรีธรรม พรรคมวลชน และพรรคไท

(2) พรรคการเมืองที่ผู้สมัครไม่ได้รับเลือกตั้ง มีทั้งหมด 2 พรรค ได้แก่ พรรคเสรีประชาธิปไตย และพรรคแรงงานไทย

สำหรับในส่วนของ ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 21 วันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2539 ได้ส่งผลให้พรรคความหวังใหม่ เป็นพรรคการเมืองที่มีคะแนนเสียงสูงสุด จนได้เป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับ พรรคชาติพัฒนา พรรคประชากรไทย พรรคมวลชน พรรคเสรีธรรม และพรรคกิจสังคม รวมเป็นจำนวนพรรครัฐบาลจำนวน 6 พรรคการเมือง โดยพรรครัฐบาลมีคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งเท่ากับ 221 เสียง ต่อพรรคฝ่ายค้านที่มีคะแนนเสียงเพียง 172 เสียง จำนวน 5 พรรคการเมือง อันประกอบด้วย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย พรรคเอกภาพ พรรคพลังธรรม และพรรคไท

อีกทั้ง ชัยชนะของพรรคความหวังใหม่ ในการเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ ยังส่งผลให้ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 22 เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ.2539 สาเหตุที่ทำให้พรรคความหวังใหม่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็เนื่องมาจากมีสมาชิกพรรคการเมืองอื่นได้ย้ายพรรคเข้าร่วมสังกัดกับพรรคความหวังใหม่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะสมาชิกของพรรคชาติไทย ที่นำโดย “กลุ่มวังน้ำเย็น” ของนายเสนาะ เทียนทอง

แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่รัฐบาลของพลเอกชวลิต บริหารประเทศได้มีเหตุการณ์สำคัญที่นำไปสู่ การเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เหตุการณ์ดังกล่าวคือ (1) การที่ธนาคารแห่งประเทศไทยทำการปกป้องค่าเงินบาทจากการโจมตีของนักค้าเงินข้ามชาติ (2) การประกาศลอยตัวค่าเงินบาท

ต่อมาสถานการณ์ทางเศรษฐกิจได้เลวร้ายลงจนกระทั่งเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2540 รัฐบาลประกาศเปลี่ยนแปลงวิธีการกำหนดค่าเงินจากระบบตะกร้ามาเป็นระบบลอยตัว แต่ผลจากการกระทำนี้มิได้ช่วยแก้ปัญหาให้ดีขึ้น แต่กลับเป็นตัวตอกย้ำเร่งให้วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจให้ลุกลามมากยิ่งขึ้น เพราะการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนมาเป็นระบบลอยตัวทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงจาก 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ และต่ำลงเรื่อย ๆ จนถึง 56 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้หนี้ต่าง ๆ ของธนาคารพาณิชย์และบริษัทต่าง ๆ ในประเทศพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว[2] บริษัทจำนวนมากเข้าสู่ภาวะล้มละลาย จนกระทั่งเกิดภาวะการว่างงานตลาดหุ้นตกต่ำและราคาน้ำมันพุ่งขึ้นสูง ผลักดันให้ราคาสินค้าต่าง ๆ เพิ่มขึ้นสูงตามไปด้วย จนกว่าที่พลเอกชวลิตจะรับมือด้วยตนเอง และเป็นเหตุให้ไทยต้องสูญเสียอำนาจทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการเข้ามากำหนดทิศทางเศรษฐกิจของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 ซึ่งเป็นผลให้คนไทยต้องเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส

เนื่องจากการเข้ามาของ IMF ส่งผลให้ไทยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไข ที่รัฐบาลต้องรับไปปฏิบัติคือ จะต้องกระทำการปิดสถาบันการเงินที่มีปัญหาโดยรัฐบาลไทยได้ประกาศปิดสถาบันการเงิน 42 แห่งเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ.2540 และเงื่อนไขต่อมา คือ รัฐต้องลดการใช้จ่ายของประเทศและของคนไทย และเงื่อนไขอีกประการหนึ่งที่สำคัญคือ การสร้างความโปร่งใส (transparency) และธรรมาภิบาล (good governance) ให้เกิดขึ้นในวงราชการธุรกิจไทย เนื่องจากเห็นว่าวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากระบบ “ทุนนิยมพวกพ้อง” (crony capitalism) โดยต้องแก้ปัญหาด้วยการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจให้มากยิ่งขึ้น[3] การเข้ามาของ IMF ส่งผลให้คนไทยเริ่มหมดหวังกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล และเริ่มสูญสิ้นศรัทธาและความเชื่อมั่นต่อนักการเมืองไทยและระบบราชการไทยจนไม่สามารถจะไว้วางใจต่อไปได้

ทั้งสองเหตุการณ์นี้ไม่ว่าจะเป็น การปกป้องค่าเงินบาทจากการโจมตีของนักค้าเงินข้ามชาติ หรือ การประกาศลอยตัวค่าเงินบาท[4] รวมถึงพฤติกรรมที่ไม่โปร่งใสของรัฐบาล ได้ส่งผลให้การบริหารประเทศของรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ต้องสิ้นสุดลงในเวลาเพียง 11 เดือน ด้วยการประกาศลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 และส่งผลให้นายชวน หลีกภัย ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นสมัยที่ 2 ในวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540[5]

ที่มา

กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย, ข้อมูล สถิติและผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 17 พฤศจิกายน 2539 (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่น, 2539), น

นพรัตน์ วงศ์วิทยาพาณิชย์, การก่อเกิดรัฐบาลพรรคเดียวในการเมืองไทย : ศึกษากรณีพรรคไทยรักไทย, วิทยานิพนธ์หลักสูตรรัฐศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2550

Pasuk Phongpaichit and Chris Baker, Thailand’s Crisis (Chiangmai: Silkworm Books, 2000)

อ้างอิง

  1. ข้อมูลจาก กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย, ข้อมูล สถิติและผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 17 พฤศจิกายน 2539 (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่น, 2539), น.15.
  2. บริษัทที่ประสบกับภาวะขาดทุนมากที่สุดคือ ปูนซีเมนต์ไทย ขาดทุนถึง 20,396 ล้านบาท อันดับ 2 คือ บริษัท ทีพีไอโพลีนจำนวน 9,948 ล้านบาท อันดับสามคือ บริษัท เทเลคอมเอเชีย 8,787.79 ล้านบาท, อ้างถึงใน ดอกเบื้ย (ธันวาคม 2540):82.
  3. Pasuk Phongpaichit and Chris Baker, Thailand’s Crisis (Chiangmai: Silkworm Books, 2000), p. 37.
  4. นอกจากนั้นยังได้ส่งผลทำลาย “รากฐานการสะสมทุน” (capital accumulation originality) ของกลุ่มบุคคลที่มั่งคั่งที่สุดในสังคมเศรษฐกิจไทย อันได้แก่ 1) คนจีนโพ้นทะเลเจ้าของธุรกิจธนาคาร 2) คนมั่นคงที่มีรากฐานมาจากภาคอุตสาหกรรม 3) กลุ่มคนรุ่นใหม่, อ้างถึงใน อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์, วิกฤตไทย วิกฤตเอเชีย, น. 28.
  5. นพรัตน์ วงศ์วิทยาพาณิชย์, การก่อเกิดรัฐบาลพรรคเดียวในการเมืองไทย : ศึกษากรณีพรรคไทยรักไทย, วิทยานิพนธ์หลักสูตรรัฐศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2550, น.67-70.