ดาราจักรี
ผู้เรียบเรียง พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ลักษณะ
ผ้าปักดิ้นเงินและไหม
เส้นผ่าศูนย์กลาง 17.0 เซนติเมตร
เป็นรูปดาราจักรี ปักด้วยดิ้นเงินและไหม ลักษณะรูปเป็นจักรสิบกลีบ รอบจักรเป็นตรีศูลและรัศมีเปลวสลับกันไปรอบกลีบจักร กลางดาราเป็นรูปปทุมอุณาโลม ปักด้วยดิ้นเงินบนพื้นสีแดง รอบขอบด้านในสุดติดกับปทุมอุณาโลมปักด้วยไหมสีเหลือง ถัดออกมาปักด้วยไหมสีฟ้า ขอบนอกสุดปักด้วยไหมสีแดงและมีคาถาสุภาษิตว่า ติรตเน สกรฏฺเฐจ สมฺพํเส จ มมายน สกราโชชุจิตฺตญฺจ สกรฎฺฐาภิวฑฺฒน (แปลว่า ความนับถือรักใคร่ในพระศรีรัตนตรัยก็ดี ในรัฐของตนก็ดี ในวงศ์ตระกูลของตนก็ดี มีจิตซื่อตรงในพระราชาของตนก็ดี ย่อมเป็นเครื่องทำให้รัฐของตนเจริญยิ่ง)
ประวัติความเป็นมา
เป็นดาราในเครื่องขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณรุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ สร้างขึ้นเพื่อใช้ประดับฉลองพระองค์ครุยมหาจักรีบรมราชวงศ์ สำหรับฝ่ายหน้า โดยจะติดไว้ที่อกซ้ายของฉลองพระองค์ครุย จัดเป็นเครื่องราชอิสริยาภรณ์สำหรับบำเหน็จความชอบในราชการแผ่นดิน เรียกย่อว่า เครื่องราชอิสริยาภรณ์มหาจักรีบรมราชวงศ์ มีชั้นเดียวทั้งฝ่ายหน้าและฝ่ายใน จำนวนทั้งหมด 25 สำรับ แบ่งเป็น
- สำหรับพระมหากษัตริย์ 1 สำรับ
- สำหรับสมเด็จพระบรมราชินี 1 สำรับ
- สำหรับพระราชทานพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งสืบเชื้อสายโดยตรงในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก หรือผู้ที่ได้สมรสกับพระบรมวงศานุวงศ์ดังกล่าว หรือผู้อื่นอันสูงศักดิ์ซึ่งสมควรได้รับพระราชทานอีก 23 สำรับ รวมเป็น 25 สำรับ
ในจำนวน 25 สำรับนี้ ไม่รวมถึงที่จะพระราชทานแก่เจ้านายหรือประมุขของรัฐต่างประเทศ ซึ่งจะพระราชทานตามที่ทรงเห็นสมควร (ปัจจุบันเจ้านายหรือประมุขของรัฐต่างประเทศจะได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นมงคลยิ่งราชมิตราภรณ์ )
เครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2425 ในครั้งนั้นเรียกว่า “เครื่องขัตติยราชอิสริยยศ” เพื่อเป็นเครื่องประดับสำหรับเชิดชูพระเกียรติยศและพระเดชพระคุณในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก อันเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี ของการสถาปนากรุงเทพพระมหานครเป็นราชธานี โดยโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้น ปรากฏตามพระบรมราชโองการ ซึ่งได้ประกาศเมื่อวันศุกร์ ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเมีย จุลศักราช 1244 ( พ.ศ. 2425 ) อันเป็นปีที่ 15 ในรัชกาลของพระองค์ และต่อมาพระราชบัญญัตินี้ได้แก้ไขอีกครั้งหนึ่ง เมื่อ ร.ศ. 108 (พ.ศ. 2432) ซึ่งให้เรียกว่า “เครื่องราชอิสริยาภรณ์” แต่นั้นมา[1]
อ้างอิง
- ↑ สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, เครื่องราชอิสริยาภรณ์ไทย, (กรุงเทพฯ : ศิริมิตรการพิมพ์, 2523), หน้า 47-49.