พรรคการเมืองกับการให้การศึกษาทางการเมืองแก่ประชาชน

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 16:11, 3 กันยายน 2553 โดย Apirom (คุย | ส่วนร่วม) (สร้างหน้าใหม่: '''ผู้เรียบเรียง''' นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ---- '''ผู้ทรงคุณวุฒิป...)
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง นครินทร์ เมฆไตรรัตน์


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


พรรคการเมืองกับการให้การศึกษาทางการเมืองแก่ประชาชน

การศึกษาทางการเมืองแก่ประชาชน (Political education) นับเป็นหน้าที่หนึ่งของพรรคการเมืองในฐานะที่เป็นสถาบันการเมืองอันเป็นตัวกลางในการเชื่อมประสานความต้องการ ความเข้าใจ และเป็นตัวแทน (Agent) ในการสะท้อนข้อเรียกร้องต่าง ๆ ระหว่างประชาชนผ่านไปยังสถาบันการเมืองระดับบน อาทิ ฝ่ายนิติบัญญัติฝ่ายบริหาร ฝ่ายตุลาการ องค์กรอิสระ ฯลฯ และส่งสารจากสถาบันทางการเมืองระดับบนมายังประชาชน

ด้วยบทบาทหน้าที่ของพรรคการเมืองในฐานะสถาบันทางการเมืองระดับกลางเช่นนี้ จึงส่งผลให้พรรคการเมืองจึงต้องเป็นตัวแทนในการขัดเกลาทางการเมืองให้แก่ประชาชนในสังคม (Political socialization) นับตั้งแต่วัยเด็กจนกระทั่งสูงอายุให้เขาสามารถมีความนึกคิดหรือมีจุดยืนทางการเมือง รู้จักสิทธิที่ตนพึงมี สามารถสะท้อนและวิพากษ์ทัศนคติของตนต่อระบบการเมือง ไปจนกระทั่งผลักดันให้ประชาชนรู้สึกผูกผันต่อการเมือง จนไปสู่กระบวนการของการมีส่วนร่วมทางการเมือง (Political participation) ไม่ว่าจะเป็นการมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยทางตรง เช่น การใช้สิทธิเลือกตั้ง การออกเสียงประชามติ การเสนอกฎหมาย การถอดถอนนักการเมือง การเป็นสมาชิกพรรคการเมือง หรือการลงรับสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎร การหรือการมีส่วนร่วมทางการเมืองทางอ้อม เช่น การบริจาคเงินให้พรรคการเมือง เป็นต้น

อีกทั้งในสังคมประชาธิปไตย พรรคการเมืองจะทำหน้าที่เป็นโรงเรียนทางการเมือง ให้กับประชาชนผู้ที่สนใจได้เข้าไปศึกษา อบรม เรียนรู้กระบวนการ การทำงานทางเมืองของพรรค เพื่อให้ประชาชนผู้สนใจเป็นส่วนหนึ่งของพรรคการเมือง เนื่องจากมีการปลูกฝังอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคให้แก่ประชาชน จนกระทั่งเขาได้เติบโตจากการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองขึ้นไปสู่การเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นนักการเมือง และสามารถออกเป็นตัวแทนประชาชนในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร รัฐมนตรี นักการเมืองท้องถิ่น ฯลฯ ในการให้การศึกษาทางการเมืองแก่ประชาชนในลักษณะนี้จะเชื่อมโยงกับหน้าที่หลักสำคัญของพรรคการเมืองอีกหน้าที่หนึ่งก็คือการคัดสรรบุคลากรทางการเมือง (Political recruitment) เข้าสู่ระบบทางการเมืองได้อีกด้วย ซึ่งการให้การศึกษาทางการเมืองแก่ประชาชนของพรรคการเมืองจะทำให้ประชาชนมีความรู้สึกผูกผันและมีอุดมการณ์ทางการเมืองเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับพรรคการเมือง อันจะส่งเสริมให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง ขจัดปัญหานักการเมืองการย้ายพรรคเพราะไร้อุดมการณ์ทางการเมือง เพราะนักการเมืองของพรรคได้เติบโตจากการกล่อมเกลาทางการเมืองจากพรรคการเมืองแล้วนั้นเอง

สำหรับประเทศไทย พบว่า พรรคการเมืองที่พยายามดำนินกิจกรรมการให้การศึกษาทางการเมืองแก่ประชาชนอย่างเป็นระบบมาอย่างยาวนาน นั่นก็คือ พรรคประชาธิปัตย์ ด้วยการจัดตั้ง “โครงการอบรมยุวประชาธิปัตย์”

ปัจจุบันภายหลังจากการปฏิรูปทางการเมืองภายใต้รัฐธรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 ส่งผลให้มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2541 (มาตรา 56) ได้มีการนำความคิดเรื่องการจัดตั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ขึ้นเป็นครั้งแรกโดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญหวังว่า กองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ภายใต้การดูแลของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (ก.ก.ต.) จะทำหน้าที่เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมให้พรรคการเมืองสามารถดำเนินกิจการของพรรคการเมืองได้อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้จะไม่มีการเลือกตั้งพรรคการเมืองต่าง ๆ สามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของพรรคได้เพื่อลดการพึ่งพิงผู้มีอิทธิพลทางการเงินของพรรคการเมือง ลดปัญหาการคอรัปชั่นเพื่อหาเงินมาอุดหนุนพรรค และเปิดโอกาสให้สมาชิกพรรคการเมืองสามารถเข้าร่วมการทำงานกับพรรคการเมืองได้มากยิ่งขึ้นเพื่อเสริมสร้างหลักการทำงานในระบบพรรคการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย อีกทั้งยังส่งผลให้พรรคการเมืองได้เพิ่มกิจกรรมทางการเมืองมากขึ้น โดยมีการจัดตั้งพรรคการเมืองจำนวนมาก มีการเข้ามามีส่วนร่วมการดำเนินงานของพรรคการเมือง และมีการจัดตั้งสาขาพรรคการเมืองเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ตลอดจนกองทุนฯ ยังมีเป้าหมายหลักให้พรรคการเมืองต้องดำเนินกิจการทางการเมืองโดยเปิดเผยต่อสาธารณะชนมากขึ้น เปิดโอกาสให้ประชาชนผู้สนใจติดตามการดำเนินงานของพรรคการเมืองได้อย่างกว้างขวางทั้งผ่านสื่อมวลชนและการดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองส่งผลให้ประชาชนเข้าร่วมเป็นสมาชิกพรรคการเมือง และตรวจสอบการดำเนินกิจกรรมของพรรคการเมืองได้มากขึ้น ซึ่งจะพัฒนาไปสู่การเป็นพรรคการเมืองของมวลชนในอนาคตเพื่อให้พรรคการเมืองได้ทำหน้าที่ให้การศึกษาทางการเมืองแก่ประชาชน

อีกทั้งในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 (มาตรา 87) ได้มีการจัดตั้งกองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมือง อีกกองทุนหนึ่งเพิ่มขึ้น เพื่อช่วยเหลือกิจกรรมสาธารณะของชุมชน รวมทั้งสนับสนุนการดำเนินการของกลุ่มประชาชนที่รวมตัวกัน ในลักษณะของเครือข่ายทุกรูปแบบให้สามารถแสดงความคิดเห็น และเสนอความต้องการของชุมชนในพื้นที่ ซึ่งมีกิจกรรมที่มีลักษณะดังต่อไปนี้

1. กิจกรรมที่มีลักษณะการดำเนินงานที่เป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาการเมืองภาคพลเมือง การพัฒนาวัฒนธรรมประชาธิปไตย และสถาบันทางการเมือง รวมทั้งสถาบันอื่นที่เกี่ยวข้อง

2. กิจกรรมที่เป็นการสนับสนุนหรือส่งเสริมให้ประชาชนเกิดความตระหนักถึงความสำคัญของการเมือง สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบของประชาชนที่พึงมีภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

3. กิจกรรมที่เป็นการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของประชาชน ชุมชน หรือองค์กรภาคประชาสังคม โดยเฉพาะบทบาทของประชาชน ชุมชน หรือองค์กรภาคประชาสังคมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรท้องถิ่นและภูมิปัญญาท้องถิ่น

4. การศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้องกับ (1) (2) และ (3) ทั้งกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองและกองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมือง ต่างมีเป้าประสงค์เดียวกันคือให้ประชาชนได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการทางการเมืองในรูปแบบต่าง ๆ