อธิปัตย์

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 18:28, 6 สิงหาคม 2553 โดย Apirom (คุย | ส่วนร่วม) (สร้างหน้าใหม่: '''ผู้เรียบเรียง''' นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ---- '''ผู้ทรงคุณวุฒิป...)
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง นครินทร์ เมฆไตรรัตน์


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


พรรคอธิปัตย์

พรรคอธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองที่จดทะเบียนจัดตั้งตามพระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ.2517 โดยมี พล.ต.ท. ประชา บูรณะธนิต เป็นหัวหน้าพรรค นายบุญเกิด หิรัญคำ เป็นเลขาธิการพรรค

นโยบายของพรรคอธิปัตย์

นโยบายด้านเศรษฐกิจ พรรคอธิปัตย์มองว่าการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ รัฐบาลจะต้องมุ่งส่งเสริมการเกษตรเป็นอันดับแรก เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้นปัญหาเรื่องปากท้องของประชาชนก็จะผ่อนคลาย ความสงบเรียบร้อยในสังคมก็จะตามมา สำหรับต้นเหตุของปัญหาเศรษฐกิจและค่าครองชีพของประชาชนนั้น พรรคอธิปัตย์เห็นว่ามีที่มาจากราคาน้ำมัน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการสูงขึ้นตาม เมื่อรัฐบาลไม่สามารถควบคุมราคาน้ำมันได้ ก็จำเป็นต้องเร่งเสริมสร้างรายได้ของเกษตรกรให้เพิ่มขึ้นเพียงพอต่อราคาสินค้าและค่าครองชีพ เพื่อให้รายได้สมดุลกับสิ่งที่ต้องใช้จ่าย ในขณะเดียวกัน รัฐบาลก็ต้องจัดการกำกับพ่อค้าคนกลาง ป้องกันการขายสินค้าเพื่อหากำไรเกินควร โดยกำหนดราคาสินค้าตามต้นทุนการผลิตและอัตราค่าแรงงานในการผลิตสินค้านั้น เพื่อให้ราคาขายสะท้อนต้นทุนและกำไรที่เหมาะสม โดยรัฐบาลต้องจัดเจ้าหน้าที่สำรวจโรงงานและตลาดสินค้าในทุกจังหวัด

นโยบายด้านการเกษตร พรรคอธิปัตย์จะส่งเสริมให้เกิดสหกรณ์โดยรัฐ เพื่อแก้ไขปัญหาราคาข้าว โดยสหกรณ์จะรับซื้อข้าวจากชาวนาโดยตรงในราคาประกัน และสหกรณ์จะเป็นผู้จำหน่ายข้าวในตลาดต่างรประเทศโดยตรง เพื่อตัดปัญหาคนกลาง ในขณะเดียวกันรัฐบาลจะต้องจัดให้มีฑูตพาณิชย์ประจำอยู่ในทุกประเทศ เพื่อทำหน้าที่เจรจาการค้าและสำรวจความต้องการของตลาดต่างประเทศโดยตรงด้วย

นโยบายด้านการเมือง พรรคอธิปัตย์เห็นว่าจำเป็นต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น โดยแก้ไขให้รัฐสภาเป็นระบบสภาเดียว นั่นคือ ต้องยกเลิกวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้ง สำหรับเกณฑ์อายุขั้นต่ำของผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้แทนนั้น พรรคอธิปัตย์เห็นว่าควรจะกำหนดไว้ที่ 18 ปีขึ้นไป

นโยบายด้านการพัฒนา พรรคอธิปัตย์มองว่าปัญหาสำคัญในการพัฒนาประเทศที่ผ่านมาก็คือ การที่สังคมเมืองดูดกลืนความเจริญจากชนบท ดังจะเห็นได้ว่าเงินที่ไหลเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจประมาณสองหมื่นกว่าล้านบาท ไหลเวียนอยู่ในกรุงเทพฯ คิดเป็น 70 เปอร์เซ็นต์ของเงินทั้งประเทศ ส่วนอีกประมาณหกพันล้านบาท หรือ 30 เปอร์เซนต์ไหลเวียนอยู่ในชนบท ดังนั้นเพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สมดุลในทางเศรษฐกิจ รัฐบาลจะต้องดำเนินนโยบายระดมทุนและทรัพยากรทุกด้านออกไปทุ่มเทในชนบท โดยผ่านการปฏิรูปที่ดิน การประกันราคาผลผลิตทางเกษตรกรรม การเร่งสร้างงานในชนบท มุ่งสร้างระบบชลประทานในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ส่งเสริมการจัดตั้งสหกรณ์ให้กว้างขวางทั่วถึง รัฐเร่งเปิดนิคมเกษตรกรรม เพื่อสร้างรากฐานเศรษฐกิจจากภาคเกษตรกรรมและการพัฒนาในชนบทเป็นหลัก

นโยบายด้านการปกครอง พรรคอธิปัตย์เห็นว่าข้าราชการทั่วไปจะต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบในการรักษาความสงบเรียบร้อย โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง กำนัน ผู้ใหญ่บ้านต้องทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาสอดส่องความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ของตนเอง สำหรับข้าราชการอื่น ๆ ต้องทำหน้าที่อำนวยความสะดวกแก่ประชาชนและช่วยเหลือการติดต่อราชการของประชาชนให้เป็นไปอย่างรวดเร็ว เพราะการปล่อยให้เกิดความล่าช้าจะนำไปสู่การวิ่งเต้นหรือการคอรัปชั่นได้ง่าย ทั้งนี้ ถ้าพบว่าข้าราชการคนใดทุจริตต่อหน้าที่ รัฐบาลจะต้องจัดการลงโทษทั้งในความผิดตามกฎหมายและความผิดทางวินัย รัฐบาลต้องประกันความสุจริตให้กับข้าราชการ นั่นคือ ข้าราชการที่ประพฤติโดยสุจริตจะต้องได้รับความมั่นคงในตำแหน่งหน้าที่ มีโอกาสเลื่อนตำแหน่ง และได้รับผลตอบแทนการทำงานที่ดี

พรรคอธิปัตย์จะผลักดันให้มีการกระจายอำนาจสู่ราชการส่วนภูมิภาค โดยให้อำนาจแก่ผู้ว่าราชการจังหวัดในการสั่งการเรื่องต่างๆ ในพื้นที่ได้มากขึ้น ไม่จำเป็นต้องส่งเรื่องเข้ามาให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ตัดสินใจ โดยต้องมีการมอบหมายงานและอำนาจตัดสินใจ เพื่อกระจายอำนาจในการบริหารและอำนวยความสะดวกรวดเร็วแก่ประชาชน โดยเฉพาะเรื่องการขออนุญาตทางราชการประกอบกิจการต่าง ๆ เช่น การขอตั้งโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น ควรจะให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจในการพิจารณาอนุญาตจัดตั้งโรงงานในพื้นที่ได้ ไม่ต้องส่งเรื่องมาที่กระทรวงอุตสาหกรรมในส่วนกลาง กระทรวงอุตสาหกรรมควรมีหน้าที่วางกฎเกณฑ์ไว้เท่านั้น ส่วนการกำกับให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์นั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด

นอกจากนี้ พรรคอธิปัตย์ยังจะเสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอมีที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน เพื่อให้บุคคลที่ดำรงตำแหน่งที่สำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนนี้ มีความมุ่งมั่นตั้งใจและพยายามทำหน้าที่ดีที่สุดเพื่อพิสูจน์ตัวเองให้ประชาชนได้เห็น ประชาชนจึงจะเกิดความนับถือและเลื่อมใสบุคคลเหล่านี้ มากกว่าจะถือว่าเป็นเจ้านายของประชาชน ส่วนเจ้าหน้าที่ตำรวจยังต้องเป็นระบบแต่งตั้ง เพราะเป็นเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายและระเบียบทั้งกฎหมายอาญา กฎหมายทั่วไป และระเบียบข้าราชการพลเรือน แต่รัฐบาลต้องผลักดันให้ตำรวจในทุกพื้นที่ปฏิบัติหน้าที่เข้มงวดกวดขันในกฎหมายมากขึ้น หากพื้นที่ใดมีบ่อนพนันผิดกฎหมายอยู่ให้ถือว่าในพื้นที่นั้นมีการทุจริตต่อหน้าที่ รัฐบาลสามารถจัดการกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รับผิดชอบพื้นที่นั้นได้

นโยบายด้านการศึกษา พรรคอธิปัตย์จะผลักดันให้รัฐจะระบบการศึกษาแบบให้เปล่าสำหรับเยาวชนตั้งแต่ระดับอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ 7 ในช่วงแรก หลังจากนั้นจะพิจารณาตามฐานะการคลังของรัฐบาล โดยหลักสูตรการศึกษาจะต้องควบคู่กันระหว่างการเรียนรู้หลักสูตรสามัญกับหลักสูตรอาชีวศึกษา นักเรียนที่จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 จะต้องมีความรู้อาชีพต่าง ๆ เช่น อาชีพเกษตรกรรมพื้นฐาน อาชีพพื้นเมือง เป็นต้น รัฐบาลต้องสร้างความมั่นคงและแรงจูงใจให้ครูทั่วประเทศ โดยเฉพาะการให้สวัสดิการแก่ครูที่ปฏิบัติหน้าที่ในแถบชนบท

สำหรับนโยบายด้านสวัสดิการสังคม พรรคอธิปัตย์จะมุ่งสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่การแพทย์และสาธารณสุขในโครงการของสมเด็จพระบรมราชชนนี โดยเฉพาะหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ รัฐบาลจะต้องสนับสนุนการผลิตแพทย์ อาสาสมัครการแพทย์ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขให้มากขึ้น เน้นการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ ผลิตแพทย์ประจำตำบลให้มากเพียงพอในทุกพื้นที่ รัฐจะต้องสร้างโรงพยาบาลและสุขศาลาในทั่วทุกพื้นที่ สำหรับค่ารักษาพยาบาลนั้น รัฐควรจะให้บริการฟรีสำหรับคนยากจน คนไม่มีงานทำ คนทุพพลภาพ และคนชรา สำหรับแรงงาน รัฐบาลต้องสนับสนุนการจัดตั้งระบบประกันสังคม โดยต้องมีการตั้งสหภาพแรงงานขึ้นมาก่อน ปัญหาเรื่องชุมชนแออัดและคนไร้ที่อยู่อาศัยนั้น รัฐบาลจะต้องจัดสร้างแฟลตสำหรับเช่าซื้อหรือผ่อนระยะยาวในราคาถูก โดยอาจให้เอกชนร่วมลงทุน ทั้งนี้จะต้องพิจารณาจากสภาพเศรษฐกิจของรัฐบาลด้วย

ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2518 พรรคอธิปัตย์ส่งผู้สมัครลงแข่งขันรับเลือกตั้งในเขตต่าง ๆ ทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 25 คน โดยผู้สมัครของพรรคอธิปัตย์ได้รับเลือกตั้งทั้งสิ้น 2 คน

ที่มา

สุจิต บุญบงการ, การพัฒนาการเมืองของไทย: ปฏิสัมพันธ์ระหว่างทหาร สถาบันทางการเมือง และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน, กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2531

เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช, การสมัครรับเลือกตั้งในนามของพรรคการเมืองในประเทศไทย, วิทยานิพนธ์หลักสูตรชั้นปริญญาโท ภาค 2 ทางรัฐศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2519

วสันต์ หงสกุล, 37 พรรคการเมือง ปัจจัยพิจารณาเปรียบเทียบ, กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ตะวันนา, 2518

ปรีชา หงษ์ไกรเลิศ, พรรคการเมืองและปัญหาพรรคการเมืองไทย, กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2524