สันติภาพชาวไทย (พ.ศ. 2550)
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
พรรคสันติภาพชาวไทย
พรรคสันติภาพชาวไทย มีชื่อย่อว่า “สช.” เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “SANTIPAP CHOWTHAI PARTY” เรียกชื่อย่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “SC.” ขึ้นทะเบียนเป็นพรรคการเมืองเลขที่ 26/2550 ได้รับการจดทะเบียนเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2550 มีที่ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่เลขที่ 59 แขวงคลองตัน เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร รหัสไปรษณีย์ 10310[1]
พรรคสันติภาพชาวไทย ใช้เครื่องหมายเป็นภาพหนังสือและภาพปีกนก ด้านล่างเครื่องหมาย มีคำว่า “พรรคสันติภาพชาวไทย” ด้านล่างเครื่องหมาย มีคำว่า “SANTIPAP CHOWTHAI PARTY” และมีคำอธิบายดังต่อไปนี้ [2]
ชื่อ “พรรคสันติภาพชาวไทย” หมายถึง สัญลักษณ์แห่งสันติภาพของคนไทย
พื้นสีเขียว หมายถึง เสถียรภาพและความมั่นคงของสังคมและประเทศชาติ
พื้นสีเหลือง หมายถึง ความบริสุทธิ์และสันติธรรม
พื้นสีน้ำเงิน หมายถึง ความบริสุทธิ์แห่งสันติภาพ
พื้นสีแดง หมายถึง ดวงอาทิตย์ พลังสร้างชีวิตและความเจริญรุ่งเรือง
ปีกนก หมายถึง สัญลักษณ์แห่งสันติภาพ
หนังสือ หมายถึง องค์ความรู้
นโยบายของพรรคสันติภาพชาวไทย พ.ศ. 2550[3]
“พรรคสันติภาพชาวไทย” จะยึดมั่นในอุดมการณ์ของพรรคภายใต้ธรรมนูญการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยยึดผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นหลักในการบริหารประเทศ จึงได้กำหนดนโยบายของการบริหารไว้ 16 ด้าน ดังนี้
1. นโยบายด้านการเมืองและการปกครอง เน้นการแก้ปัญหาหลักของชาติด้วยการเริ่มต้นขจัดระบบการเมืองให้เป็นระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของชาติโดยจะเน้นความสำคัญในการบริหารตามหลักของระบอบประชาธิปไตยที่จะตั้งพรรคการเมือง โดยการเมืองเป็นของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชนอย่างแท้จริง
2. นโยบายด้านเศรษฐกิจ ทบทวนและพัฒนาแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้ตรงกับสภาพความเป็นจริงโดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงและแข่งขันเสรีที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมไทยและประเทศชาติ ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา พัฒนาระบบรัฐวิสาหกิจโดยใช้หลักการแข่งขันเสรี และกระจายความเจริญและเพิ่มงานสู่ชนบท
3. นโยบายด้านสังคมและวัฒนธรรม ป้องกันและแก้ไขปัญหาเหตุแห่งความไม่เป็นธรรมในสังคมทุกระดับตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับชาติ ปลูกฝังจิตสำนึกและอุดมการณ์ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของชาติ และส่งเสริมและสนับสนุนขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมอันดีงาม
4. นโยบายด้านการเกษตรและสหกรณ์ ส่งเสริมและแก้ไขระบบสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร และกลุ่มสาขาอาชีพอื่นทุกรูปแบบให้มีประสิทธิภาพ ประกันการผลิตและราคาการผลิตของสหกรณ์อย่างเป็นระบบและเป็นธรรม และค้นคว้าพัฒนาเกษตรกรรมแบบผสมผสาน ปลอดสารพิษ โดยการค้นคว้าด้านเทคโนโลยี
5. นโยบายด้านการพัฒนาอุตสาหกรรม สนับสนุนให้การคุ้มครองผลผลิตที่สามารถผลิตได้ภายในประเทศ ปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนทุกหมู่เหล่า ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยคนไทย ส่งเสริมอุตสาหกรรมการส่งออกขนาดกลางและขนาดย่อม ตลอดจนอุตสาหกรรมภายในครัวเรือนของชุมชนให้เป็นรูปธรรม และเร่งรัดการสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกและความจำเป็นพื้นฐาน ตลอดจนสาธารณูปโภคให้พอเพียงเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการในการพัฒนาอุตสาหกรรมภายในประเทศและการร่วมลงทุนกับต่างประเทศ
6. นโยบายด้านการศึกษา ส่งเสริมและสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนรักในการอ่าน และการศึกษาหาความรู้ตลอดเวลา ออกมาตรการให้ครูและอาจารย์ต้องมีการพัฒนาในการสอนให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐานของชาติ และสนับสนุนให้ผู้ด้อยโอกาสในสังคมและผู้พิการมีโอกาสเข้าศึกษาอบรมวิชาชีพมากขึ้น
7. นโยบายด้านการป้องกันประเทศและความมั่นคง พัฒนาพลังอำนาจของชาติให้เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพทุกด้านพร้อมที่จะเผชิญภัยคุกคามจากภายในและภายนอกประเทศทุกรูปแบบ และปรับปรุงขีดความสามารถของกองทัพให้มีประสิทธิภาพ
8. นโยบายด้านการต่างประเทศ ดำเนินนโยบายเป็นอิสระโดยยึดหลักการของผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติเป็นสำคัญ กระชับสัมพันธ์อันดีกับต่างประเทศทุกประเทศ และร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ
9. นโยบายด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีกับต่างประเทศ และสนับสนุนให้หน่วยงานเอกชนสามารถนำเทคโนโลยีต่างๆที่คิดโดยคนไทยมาประยุกต์ เพื่อผลิตออกจำหน่ายสู่ตลาดทั้งภายในและภายนอกประเทศ
10. นโยบายด้านแรงงานและสวัสดิการสังคม แก้ไข ปรับปรุงกฎหมาย ประกาศและคำสั่งที่ไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับแรงงาน และสาขาอาชีพต่างๆให้ถูกต้องและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น และสนับสนุนให้มีองค์กรของรัฐมาดำเนินการควบคุมดูแลการว่าจ้างอย่างใกล้ชิด
11. นโยบายด้านสตรี เด็ก เยาวชนและผู้ด้อยโอกาสในสังคม ปรับปรุง แก้ไขกฎหมาย เพื่อส่งเสริมใหญ่หญิงและชายมีสิทธิเท่าเทียมกันและขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรี เพื่อให้สตรีมีสิทธิและเสรีภาพโดยสมบูรณ์ในการพัฒนาประเทศทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม และสนับสนุนให้องค์กรของรัฐเพื่อที่จะดูแลเด็กอนาถาที่ถูกบิดา มารดาทอดทิ้ง
12. นโยบายด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กำหนดแผนการใช้และพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่าของชาติอย่างประหยัดและคุ้มค่าที่สุด และเร่งรัดป้องกันแก้ไขปัญหามลภาวะสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
13. นโยบายการต่อต้านยาเสพติดและโรคติดต่อที่รุนแรง ป้องกันและปราบปรามการผลิต การจำหน่าย การเสพยาเสพติดให้โทษอย่างเฉียบขาด และเพิ่มมาตรการลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างรุนแรงในกรณีที่สืบทราบได้ว่า มีส่วนพัวพันกับการผลิต การจำหน่ายและการเสพยาเสพติดให้โทษ
14. นโยบายด้านสาธารณสุขและสาธารณูปโภค สนับสนุนและส่งเสริมการให้บริการด้านสาธารณสุขและสาธารณูปโภคอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง และสนับสนุนให้อนามัย ตำบล และโรงพยาบาลทุกจังหวัดให้มีการบริการที่ดีและทั่วถึงเพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพที่สมบูรณ์ และแข็งแรง
15. นโยบายด้านการสื่อสารและโทรคมนาคม ป้องกันระบบผูกขาดจากบริษัทเอกชนและสนับสนุนให้มีการค้าเสรี ยกเลิกสัมปทานที่เอาเปรียบประชาชนหรือผ่อนปรนลงมาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการบริการประชาชน และจัดสรรคลื่นวิทยุให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยรวม
16. นโยบายด้านการกีฬา ส่งเสริมและสนับสนุนการออกกำลังกายและเล่นกีฬาเพื่อสุขภาพของประชาชน และส่งเสริมการกีฬาและนักกีฬาของชาติให้มีขวัญ กำลังใจและความสามารถอย่างแท้จริงเพื่อเขาเหล่านั้นจะได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศชาติต่อไป
พรรคสันติภาพชาวไทยไม่เคยส่งผู้สมัครลงสมัครรับเลือกตั้งผู้แทนราษฎร จนกระทั่งมีประกาศนายทะเบียนพรรคการเมือง นายทะเบียนพรรคการเมืองโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง ครั้งที่ 24/2552 เมื่อวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2552 จึงประกาศให้พรรคสันติภาพชาวไทยสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง ตามมาตรา 135 วรรคสาม ประกอบมาตรา 91 วรรคหนึ่ง (1) และวรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 เนื่องจากพรรคสันติภาพชาวไทยไม่สามารถดำเนินการให้มีสมาชิกไม่น้อยกว่าห้าพันคน และมีสาขาพรรคการเมืองอย่างน้อยภาคละหนึ่งสาขาภายในหนึ่งปี จึงมีคำสั่งให้ยุบพรรคสันติภาพชาวไทย[4]
อ้างอิง
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 125 ตอนพิเศษ 19 ง, วันที่ 28 มกราคม 2551, หน้า 33, 46-47.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 125 ตอนพิเศษ 19 ง, วันที่ 28 มกราคม 2551, หน้า 46-47.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 125 ตอนพิเศษ 19 ง, วันที่ 28 มกราคม 2551, หน้า 33, 46-47.
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 126 ตอนที่ 46 ง, วันที่ 23 เมษายน 2552, หน้า 279.