การถอดถอนออกจากตำแหน่ง

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 12:07, 3 พฤศจิกายน 2552 โดย Panu (คุย | ส่วนร่วม) (สร้างหน้าใหม่: '''ผู้เรียบเรียง''' นิพัทธ์ สระฉันทพงษ์ '''ผู้ทรงคุณวุฒิประจ...)
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง นิพัทธ์ สระฉันทพงษ์

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จเร พันธุ์เปรื่อง


การปกครองระบอบประชาธิปไตยมีการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยออกไปให้องค์กรต่างๆ เป็นผู้ใช้ โดยแบ่งองค์กรออกเป็น ๓ ฝ่าย คือ ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นผู้ใช้อำนาจในการออกกฎหมาย ฝ่ายบริหารเป็นผู้ใช้อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินตามกฎหมาย และฝ่ายตุลาการเป็นผู้ใช้อำนาจในการวินิจฉัยคดี

รัฐธรรมนูญของประเทศต่างๆ ที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยและมีการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยออกไปให้องค์กรต่างๆ เป็นผู้ใช้ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ต่างก็มีบทบัญญัติในการควบคุมมิให้อำนาจหนึ่งอยู่เหนืออีกอำนาจหนึ่ง และมีบทบัญญัติให้แต่ละอำนาจถ่วงดุลซึ่งกันและกัน แต่อย่างไรก็ตามในทางปฏิบัติแล้วหาได้เกิดความสมดุลไม่ เพราะฝ่ายบริหารซึ่งรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่นดินมักจะมีอำนาจเหนือกว่าฝ่ายอื่น และนอกจากนี้ฝ่ายบริหารยังอยู่ในสถานะที่อาจกระทำนอกเหนือขอบเขตอำนาจที่กฎหมายกำหนด ซึ่งจะก่อให้เกิดผลกระทบตามมาคือการทุจริตคอรัปชั่นได้ง่าย ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องควบคุมการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารมากกว่าการควบคุมการใช้อำนาจของฝ่ายอื่น

การควบคุมการใช้อำนาจของฝ่ายบริหาร

การควบคุมการใช้อำนาจของฝ่ายบริหาร นับได้ว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญยิ่งต่อการบริหารประเทศ ซึ่งหลายๆ ประเทศต่างก็บัญญัติวิธีการที่คิดว่าเหมาะสมและใช้ได้ผลดีไว้ในรัฐธรรมนูญของตน การถอดถอนออกจากตำแหน่ง (Impeachment) เป็นวิธีการควบคุมฝ่ายบริหารวิธีหนึ่งซึ่งเป็นวิธีการควบคุมตัวบุคคล กล่าวคือหากบุคคลผู้มีตำแหน่งทางการเมืองไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือกระทำผิดร้ายแรงก็จะต้องถูกดำเนินการให้พ้นไปจากตำแหน่งนั้น

การถอดถอนจากตำแหน่งเป็นกลไกสำคัญอีกกลไกหนึ่งที่ใช้ในการควบคุมการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารโดยเปิดโอกาสให้มีการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งกระทำผิดก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงในขณะดำรงตำแหน่งหน้าที่ให้พ้นจากตำแหน่งก่อนเวลาอันสมควร เนื่องจากหากปล่อยให้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวต่อไป จะก่อให้เกิดความเสียหายหรืออันตรายต่อประเทศชาติและประชาชน[1]

นับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตย เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๕ รัฐธรรมนูญของไทยหลายฉบับต่างก็ได้พยายามวางกลไกในการควบคุมการใช้อำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายบริหาร โดยกำหนดให้ฝ่ายนิติบัญญัติมีหน้าที่ในการควบคุมดูแลการใช้อำนาจในการดำเนินงานของฝ่ายบริหาร ไม่ว่าจะเป็นการตั้งกระทู้ถาม การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ การตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นสอบสวนการกระทำของฝ่ายบริหาร และการถอดถอนจากสมาชิกภาพ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและรัฐมนตรี รวมทั้งกำหนดมาตรการในการตรวจสอบควบคุมสมาชิกรัฐสภาด้วยวิธีการควบคุมกันเองด้วย โดยรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย คือพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๗๕ ได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๙ ว่า สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจดูแลควบคุมกิจการของประเทศ และมีอำนาจประชุมกันถอดถอนกรรมการราษฎรหรือพนักงานรัฐบาลผู้หนึ่งผู้ใดก็ได้[2]

รัฐธรรมนูญฉบับต่อมา คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๗๕ ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับถาวรฉบับแรกของไทยก็ได้กำหนดมาตรการในการตรวจสอบควบคุมสมาชิกรัฐสภาด้วยวิธีการควบคุมกันเองไว้ในบทบัญญัติมาตรา ๒๑ ว่าสมาชิกภาพแห่งสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงเมื่อสภาผู้แทนราษฎรวินิจฉัยให้ออกจากตำแหน่งโดยเห็นว่ามีความประพฤติในทางจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่สภา[3]

สำหรับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๕) พุทธศักราช ๒๕๓๘ ได้มีการกำหนดกระบวนการให้สมาชิกรัฐสภาควบคุมกันเอง โดยบัญญัติไว้ในมาตรา ๙๘ ว่าในกรณีที่สมาชิกวุฒิสภาหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ใดกระทำการหรือมีพฤติการณ์อันเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือมีลักษณะเป็นความผิดต่อเจ้าพนักงานในส่วนที่เกี่ยวกับสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ หรือเป็นการเสื่อมเสียแก่เกียรติศักดิ์ของการเป็นสมาชิกวุฒิสภาหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้วแต่กรณีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา มีสิทธิเข้าชื่อร้องต่อประชาชนแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกเพื่อให้วุฒิสภาหรือสภาผู้แทนราษฎรวินิจฉัยให้สมาชิกผู้นั้นพ้นจากสมาชิกภาพได้[4]

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ได้พยายามแก้ไขข้อบกพร่องของรัฐธรรมนูญฉบับต่างๆ ที่ผ่านมาในอดีตเพื่อปฏิรูปการเมืองไทยให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้บัญญัติให้มีการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ฝ่ายการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูงให้มีลักษณะของการตรวจสอบโดยองค์กรที่มีกลไกที่น่าเชื่อถือ ไม่หวั่นเกรงต่ออิทธิพลหรืออำนาจของผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูง จึงนำแนวคิดและรูปแบบการควบคุมด้วยการถอดถอนออกจากตำแหน่งโดยองค์กรทางการเมืองมาปรับใช้กับระบบการตรวจสอบของไทยref>สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, การถอดถอนจากตำแหน่ง, กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์, ๒๕๕๑, หน้า ๑๓ – ๑๖.</ref> โดยบัญญัติไว้ในหมวด ๑๐ การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ส่วนที่ ๓ การถอดถอนจากตำแหน่ง มาตรา ๓๐๓ ถึงมาตรา ๓๐๗[5]

เมื่อมีการยกเลิกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๔๙ โดยมาตรา ๑๙ ของรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และเมื่อได้ดำเนินกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ เมื่อวันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้วางหลักการในการคุ้มครองส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างเต็มที่ การลดการผูกขาดอำนาจรัฐ และขจัดการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม การทำให้การเมืองมีความโปร่งใส มีคุณธรรม และจริยธรรม รวมทั้งการทำให้ระบบตรวจสอบมีความเข้มแข็ง และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประชาชนใช้สิทธิทางการเมืองได้ง่ายขึ้นสำหรับบทบัญญัติเกี่ยวกับการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐในส่วนของการถอดถอนจากตำแหน่งนั้น มีการบัญญัติไว้ในหมวด ๑๒ การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ส่วนที่ ๓ การถอดถอนจากตำแหน่ง มาตรา ๒๗๐ ถึงมาตรา ๒๗๔[6]

ผู้ดำรงตำแหน่งที่อาจถูกถอนถอด

ผู้ดำรงตำแหน่งที่อาจถูกร้องขอให้วุฒิสภาถอดถอนจากตำแหน่งได้ คือ

๑. นายกรัฐมนตรี

๒. รัฐมนตรี

๓. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

๔. สมาชิกวุฒิสภา

๕. ประธานศาลฎีกา

๖. ประธานศาลรัฐธรรมนูญ

๗. ประธานศาลปกครองสูงสุด

๘. อัยการสูงสุด

๙. กรรมการการเลือกตั้ง

๑๐. ผู้ตรวจการแผ่นดิน

๑๑. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

๑๒. กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน

๑๓. ผู้พิพากษาหรือตุลาการ พนักงานอัยการ หรือผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต[7]

มูลเหตุที่ถูกถอดถอน

มูลเหตุที่จะถอดถอนมีอยู่ ๕ เหตุ ได้แก่

๑. มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ หมายความว่าการมีทรัพย์สินมากผิดปกติหรือมีทรัพย์สินเพิ่มมากผิดปกติหรือการมีหนี้สินลดลงมากผิดปกติ หรือได้ทรัพย์สินมาโดยไม่สมควรสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่

๒. ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ หมายความว่า ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือปฏิบัติอย่างใดในพฤติการณ์ที่อาจทำให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีตำแหน่งหรือหน้าที่ทั้งที่ตนมิได้มีตำแหน่งหรือหน้าที่นั้น หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ทั้งนี้เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบสำหรับตนเองหรือผู้อื่น

๓. ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ

๔. ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม

๕. ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายหรือฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง [๘]

กระบวนการถอดถอน

สำหรับผู้มีสิทธิร้องขอให้ถอดถอนจากตำแหน่งไว้มี ๒ กรณีด้วยกัน คือ

๑. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า ๒๐,๐๐๐ คน มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภา เพื่อให้วุฒิสภามีมติถอดถอนบุคคลดังกล่าวออกจากตำแหน่งใด คำร้องขอดังกล่าวต้องระบุพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่าผู้ดำรงตำแหน่งกระทำความผิดเป็นข้อๆ ให้ชัดเจน

๒. สมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสี่ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภามีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภามีมติถอดถอนสมาชิกวุฒิสภาออกจากตำแหน่ง [๙]

เมื่อได้รับคำร้องแล้วให้ประธานวุฒิสภาส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติดำเนินการไต่สวนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เมื่อไต่สวนเสร็จแล้วให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทำรายงานเสนอต่อวุฒิสภาโดยในรายงานดังกล่าวต้องระบุให้ชัดเจนว่าข้อกล่าวหาตามคำร้องขอมีมูลหรือไม่เพียงใด มีพยานหลักฐานที่ควรเชื่อได้อย่างไร พร้อมทั้งระบุข้อยุติว่าจะให้ดำเนินการอย่างไรด้วย

ถ้าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ว่าข้อกล่าวหาใดมีมูล นับแต่วันดังกล่าวผู้ดำรงตำแหน่งที่ถูกกล่าวหาจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้จนกว่าวุฒิสภาจะมีมติ แต่ถ้าเห็นว่าข้อกล่าวหาใดไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหานั้นเป็นอันตกไป

เมื่อวุฒิสภาได้รับรายงานจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติแล้ว ให้ประธานวุฒิสภาจัดให้มีการประชุมวุฒิสภาเพื่อพิจารณากรณีดังกล่าวโดยเร็ว ซึ่งสมาชิกวุฒิสภามีอิสระในการออกเสียงลงคะแนนซึ่งต้องกระทำโดยวิธีลงคะแนนลับ มติที่ให้ถอดถอนผู้ใดออกจากตำแหน่ง ให้ถือเอาคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่อยู่ของวุฒิสภา

ผู้ใดถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่งหรือให้ออกจากราชการนับแต่วันที่วุฒิสภามีมติให้ถอดถอน และให้ตัดสิทธิผู้นั้นในการดำรงตำแหน่งใดในทางการเมืองหรือในการรับราชการเป็นเวลา ๕ ปี มติของวุฒิสถาให้เป็นที่สุดและจะมีการร้องขอให้ถอดถอนบุคคลดังกล่าวโดยอาศัยเหตุเดียวกันอีกมิได้ [๑๐]

นับแต่วันที่รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. ๒๕๔๐ มีผลบังคับใช้แล้วมีเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. และวุฒิสภาในการไต่สวนถอดถอนและมีมติ จำนวน ๓๑ เรื่อง โดยดำเนินการแล้วเสร็จ ๑ เรื่อง ดังรายละเอียดต่อไปนี้

- ผู้ริเริ่มฯ ไม่ยอมรับรองลายมือชื่อของประชาชนที่เข้าชื่อจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคน จำนวน ๑ เรื่อง

- ครบ ๑๘๐ วัน ผู้ริเริ่มฯ มิได้นำคำร้องขอพร้อมรายชื่อประชาชนจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนมายื่นต่อประธานวุฒิสภา จำนวน ๘ เรื่อง

- ผู้ริเริ่มฯ นำคำร้องขอพร้อมรายชื่อประชาชนจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนมายื่นต่อประธานวุฒิสภาแล้ว แต่ไม่ครบห้าหมื่นคน จำนวน ๑ เรื่อง

- ผู้ริเริ่มฯ มิได้แสดงหลักฐานใดที่จะสามารถตรวจสอบ หรือยืนยันได้ว่าตนเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน ๑ เรื่อง

- ผู้ที่ถูกยื่นถอดถอนพ้นจากตำแหน่งก่อนที่ผู้ริเริ่มฯ จะนำรายชื่อประชาชนจำนวนไม่น้อยกว่า ห้าหมื่นคนมายื่นต่อประธานวุฒิสภา จำนวน ๕ เรื่อง

- คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าข้อกล่าวหาตามคำร้องขอไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไปจำนวน ๑๔ เรื่อง

ดำเนินการไม่แล้วเสร็จ (อยู่ระหว่างดำเนินการ) ๑ เรื่อง

- อยู่ระหว่างการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จำนวน ๑ เรื่อง [๑๑]

ต่อมารัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ได้ถูกยกเลิกไปเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๕๐ มีเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช. และวุฒิสภาในการไต่สวนถอดถอนและมีมติ จำนวน ๑๒ เรื่อง โดยดำเนินการแล้วเสร็จ ๒ เรื่อง ดังรายละเอียดต่อไปนี้

- ผู้ที่ถูกยื่นถอดถอนพ้นจากตำแหน่งก่อนที่ผู้ริเริ่มฯ จะนำรายชื่อประชาชนจำนวนไม่น้อยกว่าสองหมื่นคนจำนวน ๑ เรื่อง

- คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่าข้อกล่าวหาตามคำร้องขอไม่มีมูล ให้ข้อกล่าวหาตกไปจำนวน ๑ เรื่อง

ดำเนินการไม่แล้วเสร็จ (อยู่ระหว่างดำเนินการ) ๑๐ เรื่อง

- อยู่ระหว่างการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จำนวน ๘ เรื่อง

- อยู่ระหว่างผู้ริเริ่มฯ รวบรวมรายชื่อประชาชนจำนวนไม่น้อยกว่าสองหมื่นคนมายื่นต่อประธานวุฒิสภา ภายใน ๑๘๐ วันนับแต่วันที่ได้มาแสดงตนต่อประธานวุฒิสภา จำนวน ๒ เรื่อง [๑๒]

จากการบังคับใช้รัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี ๒๕๔๐ จนถึงปัจจุบัน วุฒิสภายังไม่เคยมีมติถอดถอนผู้ใดออกจากตำแหน่ง

การถอดถอนจากตำแหน่งเป็นวิธีการควบคุมฝ่ายบริหารวิธีหนึ่งซึ่งควบคุม และตรวจสอบพฤติกรรมของผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงว่ามีความเหมาะสมหรือสมควรที่จะได้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวอยู่ต่อไปหรือไม่ ซึ่งนับเป็นมาตรการที่สำคัญอีกมาตรการหนึ่งที่สนับสนุนระบบการตรวจสอบการทุจริตของผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงในประเทศไทย และควบคุมการใช้อำนาจรัฐของผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงให้อยู่ในกรอบของความชอบธรรม [๑๓]

อ้างอิง

  1. นันทวัฒน์ บรมานันท์, สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๕๔๐) หมวดการตรวจสอบเรื่องที่ ๕ การถอดถอนจากตำแหน่ง, (กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, ๒๕๔๔), หน้า ๑ – ๒.
  2. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, การถอดถอนจากตำแหน่ง, กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์, ๒๕๕๑, หน้า ๑๐ – ๑๑.
  3. นันทวัฒน์ บรมานันท์, สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. ๒๕๔๐) หมวดการตรวจสอบเรื่องที่ ๕ การถอดถอนจากตำแหน่ง, (กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, ๒๕๔๔), หน้า ๓ – ๔.
  4. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, การถอดถอนจากตำแหน่ง, กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์, ๒๕๕๑, หน้า ๑๓ – ๑๖.
  5. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย, กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์, ๒๕๔๐, หน้า ๑๔๘.
  6. สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย, กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์, ๒๕๕๐, หน้า ๑๙๕.
  7. ไพโรจน์ โพธิไสย, การถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐, กรุงเทพฯ : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, ๒๕๔๖, หน้า ๑๔ – ๑๕.

บรรณานุกรม

ธีระชาติ ปางวิรุฬห์รักษ์. [[“ปัญหาเกี่ยวกับการถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐.”]] วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต. มหาวิทยาลัยรามคำแหง. ๒๕๔๖.

นันทวัฒน์ บรมานันท์. “สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (๒๕๔๐) หมวดการตรวจสอบ เรื่อง ๕ การถอดถอนจากตำแหน่ง”. สถาบันพระปกเกล้า. กรุงเทพฯ. ๒๕๔๔.

นิยม รัฐอมฤต และคณะ. รายงานวิจัย “กระบวนการไต่สวนและการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งในระดับสูง : ในอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช.”. สถาบันพระปกเกล้า. กรุงเทพฯ. ๒๕๔๙.

ไพโรจน์ โพธิไสย. “การถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่งตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐”. สำนักการพิมพ์ สำนักเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. กรุงเทพฯ. ๒๕๔๖. หน้า ๑๔ – ๒๐.

สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา. สำนักกำกับและตรวจสอบ. “สรุปผลการยื่นถอดถอนบุคคลออกจาก ตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐”. ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๒.

สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา. สำนักกำกับและตรวจสอบ. “สรุปผลการยื่นถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐”. ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๒.

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. สำนักประชาสัมพันธ์. “การถอดถอนจากตำแหน่ง”. สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. กรุงเทพฯ. ๒๕๕๑.

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. สำนักประชาสัมพันธ์ “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐”. สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. กรุงเทพฯ. ๒๕๔๓.

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. สำนักประชาสัมพันธ์. “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐”. สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. กรุงเทพฯ. ๒๕๕๑.