สภาผู้แทนราษฎร

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 16:34, 14 ตุลาคม 2552 โดย Panu (คุย | ส่วนร่วม) (สร้างหน้าใหม่: '''ผู้เรียบเรียง''' ตวงรัตน์ เลาหัตถพงษ์ภูริ '''ผู้ทรงคุณวุฒ...)
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง ตวงรัตน์ เลาหัตถพงษ์ภูริ

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จเร พันธุ์เปรื่อง


เมื่อใดที่มีการกล่าวถึง “สภาผู้แทนราษฎร” เป็นที่เข้าใจได้ว่าเป็นสถานที่มีผู้แทนราษฎรมาร่วมชุมนุมกันกระทำกิจกรรมอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อประโยชน์ของประเทศ[๑] แต่เนื่องจากการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยนั้น การที่จะให้ประชาชนของประเทศเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองทั้งหมดเป็นสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้ในทุกกรณี จึงจำเป็นต้องใช้ระบบผู้แทนโดยประชาชนจะมอบหมายให้ผู้แทนที่ประชาชนเป็นผู้เลือกตั้งเข้าไปใช้อำนาจอธิปไตยแทนในด้านต่าง ๆ โดยรัฐสภาเป็นองค์กรผู้ใช้อำนาจอธิปไตยด้านนิติบัญญัติ เมื่อสภาผู้แทนราษฎรเป็นส่วนหนึ่งของรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎรจึงเป็นสถาบันการเมืองที่เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยด้านนิติบัญญัติ ซึ่งถือว่าเป็นสถาบันการเมืองที่สำคัญยิ่งในการออกกฎหมายมาให้ประชาชนต้องปฏิบัติตาม

ที่มาของสภาผู้แทนราษฎร

การปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาโดยหลักการแล้วสภาผู้แทนราษฎรจะประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งประเทศ แต่วิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอาจจะเป็นการเลือกตั้งโดยตรงหรือโดยอ้อมก็ได้สุดแล้วแต่รัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศจะกำหนดไว้

การเลือกตั้งโดยตรง หมายถึง การเลือกตั้งที่ให้ประชาชนเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งให้ไปปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้แทนโดยตรง[๒]

การเลือกตั้งโดยอ้อม หมายถึง การเลือกตั้งที่ให้ประชาชนไปเลือกตั้งผู้ที่จะไปทำการเลือกตั้งแทนตนในภายหลัง[๓]

สำหรับสภาผู้แทนราษฎรของประเทศไทยตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบันสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีทั้งที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงและโดยอ้อมทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับจะกำหนดไว้ ยกเว้นสภาผู้แทนราษฎรชุดแรกที่มาจากการแต่งตั้งตามพระธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๗๕ รัฐธรรมนูญที่กำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้งโดยตรงได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๘๙ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉะบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๔๙๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๙๒ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๗ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๒๑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๓๔ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ส่วนรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๕ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๗๕ แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช ๒๔๙๕ โดยให้ราษฎรเลือกผู้แทนตำบลก่อนแล้วให้ผู้แทนตำบลไปเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกทีหนึ่ง

จำนวนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรส่วนจะมีจำนวนเท่าใดขึ้นอยู่กับรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับจะกำหนดไว้ รัฐธรรมนูญที่ไม่ได้กำหนดจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไว้ตายตัวแต่ให้คำนวณจากจำนวนราษฎรเป็นเกณฑ์ โดยถือเกณฑ์ราษฎรจำนวนหนึ่งแสนห้าหมื่นคนให้เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ ๑ คน ถ้าเศษที่เหลือเกินเจ็ดหมื่นห้าพันคนให้มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มได้อีก ๑ คน ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๙๒ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุธศักราช ๒๕๒๑

ส่วนรัฐธรรมนูญที่มีการกำหนดจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไว้ตายตัว เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๗ กำหนดให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าสองร้อยสี่สิบคนแต่ไม่เกินสามร้อยคน และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๓๔ กำหนดให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนสามร้อยหกสิบคน

นอกจากนี้ในรัฐธรรมนูญบางฉบับยังมีการแบ่งประเภทของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งด้วยนับจากที่ประเทศไทยได้มีการปฏิรูปทางการเมืองเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๐ มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ กำหนดประเภทของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งไว้ ๒ ประเภท คือ ประเภทที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งเขตละหนึ่งคนจำนวนสี่ร้อยคน และประเภทที่มาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อจำนวนหนึ่งร้อยคน และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ฉบับปัจจุบันกำหนดประเภทของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไว้ ๒ ประเภทเช่นกัน คือ ประเภทที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งเขตละไม่เกินสามคนจำนวนสี่ร้อยคน และประเภทที่มาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วนจำนวนแปดสิบคน

อำนาจหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร

รัฐธรรมนูญของประเทศไทยตั้งแต่ฉบับแรกเป็นต้นมาได้กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจหน้าที่ในการตราพระราชบัญญัติออกใช้บังคับและมีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล เว้นแต่ในบางช่วงที่ใช้ธรรมนูญการปกครองประเทศ จะไม่มีการกำหนดให้สถาบันการเมืองที่ธรรมนูญการปกครองประเทศในช่วงนั้นกำหนดให้เป็นองค์กรผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติมีหน้าที่ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลเหมือนที่กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในช่วงที่ใช้รัฐธรรมนูญ

อำนาจหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนุญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ฉบับปัจจุบัน พอสรุปได้ดังต่อไปนี้[๔]

๑. อำนาจหน้าที่ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัติซึ่งต้องเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อน ถ้าสภาผู้แทนราษฎรไม่ให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัตินั้นก็จะตกไป แต่ถ้าสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบจึงเสนอให้วุฒิสภาพิจารณาต่อไปได้[๕]

๒. อำนาจหน้าที่ในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน โดยการตั้งกระทู้ถามทั่วไป กระทู้ถามสด การเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และการเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล การตั้งคณะกรรมาธิการ การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี

๓. อำนาจหน้าที่ในการตราข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับการเลือกและการปฏิบัติหน้าที่ของประธานสภา รองประธานสภา เรื่องหรือกิจการอันเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการสามัญแต่ละชุด การปฏิบัติหน้าที่และองค์ประชุมของคณะกรรมาธิการ วิธีการประชุม การเสนอแนะและพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญและร่างพระราชบัญญัติ การเสนอญัตติ การปรึกษา การอภิปราย การลงมติ การบันทึกการลงมติ การเปิดเผยการลงมติ การตั้งกระทู้ถาม การเปิดอภิปรายทั่วไป การรักษาระเบียบและความเรียบร้อย ประมวลจริยธรรมของสมาชิกและกรรมาธิการ และกิจการอื่นๆ เพื่อดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ[๖]

๔. อำนาจหน้าที่ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องกระทำโดยการลงคะแนนโดยเปิดเผยในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรและมติที่เห็นชอบด้วยในการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร[๗]

๕. อำนาจหน้าที่ในการพิจารณาอนุมัติพระราชกำหนดกรณีเพื่อรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ[๘] และพิจารณาอนุมัติพระราชกำหนดกรณีมีความจำเป็นต้องมีกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตรา ซึ่งจะต้องได้รับการพิจารณาโดยด่วนและลับเพื่อรักษาประโยชน์ของแผ่นดิน ในระหว่างสมัยประชุม[๙]

๖. อำนาจหน้าที่ในการเข้าชื่อเสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรว่าพระราชกำหนดนั้นมิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะหรือมิได้เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้[๑๐]

๗. อำนาจหน้าที่ในการประชุมร่วมกับวุฒิสภาเพื่อทำหน้าที่รัฐสภาในกรณีต่อไปนี้[๑๑]

๑) การให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

๒) การปฏิญาณตนของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อรัฐสภา

๓) การรับทราบการแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗

๔) การรับทราบหรือให้ความเห็นชอบในการสืบราชสมบัติ

๕) การมีมติให้รัฐสภาพิจารณาเรื่องอื่นในสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติได้

๖) การให้ความเห็นชอบในการปิดสมัยประชุม

๗) การเปิดประชุมรัฐสภา

๘) การตราข้อบังคับการประชุมรัฐสภา

๙) การให้ความเห็นชอบให้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัติ

๑๐) การปรึกษาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัติใหม่

๑๑) การให้ความเห็นชอบให้พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัติต่อไป

๑๒) การแถลงนโยบายต่อรัฐสภา

๑๓) การเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อฟังความคิดเห็นโดยไม่มีการลงมติ

๑๔) การให้ความเห็นชอบในการประกาศสงคราม

๑๕) การรับฟังคำชี้แจงและการให้ความเห็นชอบหนังสือสัญญา

๑๖) การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ

อายุของสภาผู้แทนราษฎร

อายุของสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่มีกำหนดไว้คราวละสี่ปีนับแต่วันเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๑ กำหนดไว้คราวละสี่ปีเช่นกันแต่ให้นับแต่วันเปิดประชุมรัฐสภาครั้งแรก ยกเว้นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๗๕ แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช ๒๔๙๕ ที่กำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่ในตำแหน่งได้คราวละห้าปีนับแต่วันเลือกตั้งทั่วไป

ในประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของประเทศไทยมีสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงที่อยู่ครบสี่ปีจำนวน ๒ ชุด คือ สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ ๘ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๙๕ และสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ ๒๒ ที่มาจากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ ๖ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๔ ซึ่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๘

การสิ้นสุดของสภาผู้แทนราษฎร

สภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงในกรณีต่อไปนี้

๑. เมื่ออายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง พระมหากษัตริย์จะได้ทรงตราพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง[๑๒]

๒. เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรต้องกำหนดวันเลือกตั้งใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายในเวลาไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎรและวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร[๑๓]

๓) เมื่อมีการยึดอำนาจการปกครองประเทศ

สภาผู้แทนราษฎรของประเทศไทย

นับแต่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ระบบรัฐสภา ตั้งแต่เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ มีสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด ๒๔ ชุด ดังต่อไปนี้

ชุดที่ !ประเภท !ที่มา !จำนวนสมาชิก (คน) !ระยะเวลา !สาเหตุของการสิ้นสุด

อ้างอิง


บรรณานุกรม

คณิน บุญสุวรรณ. ปทานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทยฉบับสมบูรณ์. กรุงเทพมหานคร โรงพิมพ์ตถาตา พับลิเคชั่น. ๒๕๔๘.

สถาบันพระปกเกล้า. สารานุกรม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.๒๕๔๐) หมวดองค์กร ทางการเมืองเรื่องสภาผู้แทนราษฎร. กรุงเทพมหานคร : องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๔๔.

สิริวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์. กฎหมายรัฐธรรมนูญ. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง. ๒๕๒๔.

สำนักงานเลขาธิการสภาผุ้แทนราษฎร. สำนักประชาสัมพันธ์. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย. กรุงเทพมหานคร : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. ๒๕๕๑.

ดูเพิ่มเติม

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. “รัฐสภาไทยกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร.” กรุงเทพมหานคร : องค์การทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์, ๒๕๔๘. (หนังสือที่ระลึกในวโรกาสที่พลเอกหญิงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จทรงนำคณะอาจารย์และนักเรียน นายร้อยชั้นปีที่ ๔ และชั้นปีที่ ๕ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า วิชาหัวข้อพิเศษทางประวัติศาสตร์ : เปรียบเทียบพัฒนาการประชาธิปไตยในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ทัศนศึกษารัฐสภา ห้องสมุดรัฐสภา และพิพิธภัณฑ์รัฐสภา วันอังคารที่ ๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘).

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. สำนักวิชาการ กลุ่มงานบริการวิชาการ ๑. สรุปเหตุการณ์ทางการเมืองในประเทศและต่างประเทศ ๒, ๑. (มกราคม – มีนาคม ๒๕๔๘ (ฉบับพิเศษ))