ขาดจากสมาชิกภาพ
ผู้เรียบเรียง สุภัทร คำมุงคุณ
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จเร พันธุ์เปรื่อง
สมาชิกภาพ หมายถึง ฐานะความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภา[1]ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิก และการได้รับเงินประจำตำแหน่งและสิทธิประโยชน์ตอบแทน ซึ่งจะกำหนดให้จ่ายได้ในวันเข้ารับหน้าที่ คือวันที่สมาชิกผู้นั้นได้ปฏิญาณตนในที่ประชุมแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิก การขาดจากสมาชิกภาพ จึงเป็นการสิ้นสุดการเป็นสมาชิกรัฐสภา[2] ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้บัญญัติเกี่ยวกับการเริ่มต้นและการสิ้นสุดจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาไว้แตกต่างกัน
การเริ่มต้นสมาชิกภาพ
• สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
การเริ่มต้นสมาชิกภาพนั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้กำหนดการเริ่มต้นสมาชิกภาพไว้แตกต่างกัน เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492 มาตรา 98 กำหนดให้สมาชิกภาพของสภาผู้แทนราษฎรเริ่มตั้งแต่วันเลือกตั้ง ซึ่งหลักการดังกล่าวได้มีการบัญญัติไว้ เป็นครั้งแรก[3] ส่วนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 มาตรา 94 ได้กำหนดให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนเริ่มแต่วันเปิดประชุมรัฐสภาเป็นครั้งแรก[4]
สำหรับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 105 กำหนดให้สมาชิกภาพของสภาผู้แทนราษฎรเริ่มตั้งแต่วันเลือกตั้ง โดยให้คงหลักการเดิมตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540[5]
• สมาชิกวุฒิสภา
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 117 ได้กำหนดให้สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งเริ่มตั้งแต่วันที่มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาเริ่มตั้งแต่วันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการสรรหา
สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภามีกำหนดคราวละหกปีนับแต่วันเลือกตั้ง หรือวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการสรรหา แล้วแต่กรณี โดยสมาชิกวุฒิสภาจะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินหนึ่งวาระไม่ได้
สมาชิกวุฒิสภาซึ่งสิ้นสุดสมาชิกภาพตามวาระ สามารถอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีสมาชิกวุฒิสภาขึ้นใหม่[6]
ซึ่งการกำหนดหลักการเริ่มสมาชิกภาพ และวาระการดำรงตำแหน่งของสมาชิกวุฒิสภา เพื่อให้มีความชัดเจนในเรื่องการเริ่มสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ การจ่ายเงินเดือน และเพื่อความสะดวกในการนับวาระ
สมาชิกวุฒิสภาที่พ้นจากสมาชิกภาพแล้ว จะไม่สามารถดำรงตำแหน่งติดต่อกันสองวาระได้ เพื่อให้วุฒิสภามีความเป็นกลางในการปฏิบัติหน้าที่ และไม่เอื้อประโยชน์ให้แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยมุ่งหวังจะได้รับการสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาในวาระต่อไป[7]
เหตุที่ทำให้สมาชิกภาพสิ้นสุด
• สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
เหตุที่ทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงได้มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 เป็นครั้งแรก[8] ตามมาตรา 21ได้แก่ (1) ถึงคราวออกตามวาระ หรือยุบสภา (2) ตาย (3) ลาออก (4) ขาดคุณสมบัติของผู้สมัครรับเลือกตั้งตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (5) สภาผู้แทนราษฎรวินิจฉัยให้ออกจากตำแหน่งโดยเห็นว่ามีความประพฤติในทางจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสียแก่สภา มติในข้อนี้ต้องมีเสียงไม่ต่ำกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกที่มาประชุม[9]
อย่างไรก็ตามในรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ ก็ได้มีปรับปรุงแก้ไขเหตุที่ทำให้พ้นสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไว้แตกต่างกัน ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 106 ได้กำหนดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงเมื่อ[10]
(1) ถึงคราวออกตามอายุของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อครบกำหนดคราวละสี่ปีนับแต่วันเลือกตั้ง หรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร
(2) ตาย
(3) ลาออก
(4) ขาดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง
(5) มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เช่น ติดยาเสพติดให้โทษ เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต เป็นต้น
(6) กระทำการอันต้องห้าม ที่เป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ สร้างความเสียหายให้แก่รัฐหรือแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ก้าวก่าย หรือแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานของรัฐ
(7) ลาออกจากพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิก หรือพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิกมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของที่ประชุมร่วมของคณะกรรมการบริหารของพรรคการเมืองและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรคการเมืองนั้น ให้พ้นจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองที่ตนเป็นสมาชิก ในกรณีเช่นนี้ ให้ถือว่าสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันที่ลาออกหรือพรรคการเมืองมีมติ เว้นแต่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้นได้อุทธรณ์ต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในสามสิบวันนับแต่วันที่พรรคการเมืองมีมติ คัดค้านว่ามติดังกล่าวมีลักษณะขัดต่อสถานะและการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือขัดหรือแย้งกับแห่งการพื้นฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามติของพรรคการเมืองถูกต้องตามรัฐธรรมนูญแล้ว ให้ถือว่าสมาชิกภาพสิ้นสุดลงนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามตินั้นไม่ขัดหรือแย้งต่อสถานะการทำหน้าที่ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้นอาจเข้าเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองอื่นได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
(8) ขาดจากการเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้นั้นเป็นสมาชิก และไม่อาจเข้าเป็นสมาชิกของพรรคการเมืองอื่นได้ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่ง ในกรณีเช่นนี้ให้ถือว่าสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันถัดจากวันที่ครบกำหนดหกสิบวันนั้น
(9) วุฒิสภามีมติให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง หรือศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้พ้นจากสมาชิกภาพ หรือศาลฎีกามีคำสั่งให้สมาชิกภาพสิ้นสุดลง เพราะเหตุกระทำความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง หรือมีคำสั่งเพิกถอนการสรรหา ในกรณีเช่นนี้ ให้ถือว่าสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันที่วุฒิสภามีมติหรือศาลมีคำวินิจฉัยหรือมีคำสั่ง แล้วแต่กรณี
(10) ขาดประชุมเกินจำนวนหนึ่งในสี่ของจำนวนวันประชุมในสมัยประชุมที่มีกำหนดเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบวันโดยไม่ได้รับอนุญาตจากประธานสภาผู้แทนราษฎร
(11) ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก แม้จะมีการรอการลงโทษ เว้นแต่เป็นการรอการลงโทษในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท
• สมาชิกวุฒิสภา
สำหรับการเหตุที่ทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาสิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ตามมาตรา 119 ดังนี้[11]
(1) ถึงคราวออกตามวาระ
(2) ตาย
(3) ลาออก
(4) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเพื่อเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา เช่น มีสัญชาติไทยโดยการเกิด มีอายุไม่ต่ำกว่าสี่สิบปีบริบูรณ์ในวันสมัครรับเลือกตั้งหรือวันที่ได้รับการเสนอชื่อ ไม่เป็นรัฐมนตรีหรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือเคยเป็นแต่พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวมาแล้วยังไม่เกินห้าปี เป็นต้น
(5) กระทำการอันต้องห้าม มิให้สมาชิกวุฒิสภาดำรงตำแหน่งอื่น ที่อาจขัดแย้งกับการปฏิบัติหน้าที่ขณะดำรงตำแหน่ง หรือการกระทำที่ขัดกันแห่งผลประโยชน์ สร้างความเสียหายให้แก่รัฐหรือแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ก้าวก่าย หรือแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานของรัฐ
(6) วุฒิสภามีมติให้ถอดถอนออกจากตำแหน่ง หรือศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้พ้นจากสมาชิกภาพ หรือศาลฎีกามีคำสั่งให้สมาชิกภาพสิ้นสุดลง เพราะเหตุกระทำความผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง หรือมีคำสั่งเพิกถอนการสรรหา ในกรณีเช่นนี้ ให้ถือว่าสิ้นสุดสมาชิกภาพนับแต่วันที่วุฒิสภามีมติหรือศาลมีคำวินิจฉัยหรือมีคำสั่ง แล้วแต่กรณี
(7) ขาดประชุมเกินจำนวนหนึ่งในสี่ของจำนวนวันประชุมในสมัยประชุมที่มีกำหนดเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบวัน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากประธานวุฒิสภา
(8) ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก แม้จะมีการรอการลงโทษ สมาชิกวุฒิสภาผู้นั้นก็ต้องสิ้นสุดสมาชิกภาพ พ้นจากการดำรงตำแหน่งด้วย ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เนื่องจากไม่เหมาะสมที่จะให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป เพราะเป็นการสร้างความเสื่อมเสียให้กับสภา เว้นแต่เป็นการรอการลงโทษในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท
การขาดสมาชิกภาพส่งผลให้การปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาเป็นอันสิ้นสุดลง เว้นแต่สมาชิกวุฒิสภาซึ่งสิ้นสุดสมาชิกภาพตามวาระ ซึ่งสามารถอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะมีสมาชิกวุฒิสภาขึ้นใหม่ นอกจากนั้นแล้วการขาดสมาชิกภาพจะส่งผลต่อการได้รับเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนของสมาชิกเป็นอันสิ้นสุดตามไปด้วย
อ้างอิง
- ↑ คณิน บุญสุวรรณ, (2533) ภาษาการเมืองในระบอบรัฐสภา. กรุงเทพ : โอเดียนสโตร์. หน้า 295.
- ↑ คณิน บุญสุวรรณ, (2533) ภาษาการเมืองในระบอบรัฐสภา. กรุงเทพ : โอเดียนสโตร์. หน้า 55.
- ↑ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, (2550) เจตนารมณ์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550. หน้า 105.
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511. ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 85 ตอนพิเศษ (ฉบับพิเศษ) วันที่ 20 มิถุนายน 2511 หน้า 34.
- ↑ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, (2550) เจตนารมณ์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550. หน้า 105.
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550. ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 124 ตอนที่ 47 ก วันที่ 24 สิงหาคม 2550 หน้า 42.
- ↑ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, (2550) เจตนารมณ์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550. หน้า 117-118.
- ↑ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, (2550) เจตนารมณ์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550. หน้า 107.
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475. ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 49 วันที่ 10 ธันวาคม 2475 หน้า 538.
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550. ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 124 ตอนที่ 47 ก วันที่ 24 สิงหาคม 2550 หน้า 36-37.
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550. ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 124 ตอนที่ 47 ก วันที่ 24 สิงหาคม 2550 หน้า 42-43.
หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489. ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 63 ตอนที่ 30 วันที่ 10 พฤษภาคม 2489.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2490. ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 64 ตอนที่ 53 วันที่ 9 พฤศจิกายน 2490.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517. ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 91 ตอนที่ 169 วันที่ 7 ตุลาคม 2517.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521. ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 95 ตอนที่ 146(ฉบับพิเศษ) วันที่ 22 ธันวาคม 2551.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534. ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 108 ตอนที่ 216 วันที่ 9 ธันวาคม 2534.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 5) พุทธศักราช 2538. ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 112 ตอนที่ 7 ก วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2538.
บรรณานุกรม
คณิน บุญสุวรรณ, (2533) ภาษาการเมืองในระบอบรัฐสภา. กรุงเทพ : โอเดียนสโตร์.
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, (2550) เจตนารมณ์รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475. ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 49 วันที่ 10 ธันวาคม 2475.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511. ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 85 ตอนพิเศษ (ฉบับพิเศษ) วันที่ 20 มิถุนายน 2511.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550. ราชกิจจานุเบกษา. เล่มที่ 124 ตอนที่ 47 ก วันที่ 24 สิงหาคม 2550.