ประธานวุฒิสภา

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:43, 16 กันยายน 2552 โดย Panu (คุย | ส่วนร่วม) (สร้างหน้าใหม่: '''ผู้เรียบเรียง''' นิพัทธ์ สระฉันทพงษ์ '''ผู้ทรงคุณวุฒิประจ...)
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง นิพัทธ์ สระฉันทพงษ์

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จเร พันธุ์เปรื่อง


เมื่อเริ่มแรกภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย รูปแบบและโครงสร้างรัฐสภาของไทยนั้น ใช้ระบบสภาเดียว คือสภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิก ๒ ประเภทมาเป็นเวลา ๑๔ ปี ในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ รูปแบบ ของรัฐสภาก็มีการเปลี่ยนแปลงเริ่มใช้ระบบ ๒ สภาเป็นครั้งแรก ซึ่งประกอบด้วยสภาผู้แทนและวุฒิสภา โดยสภาผู้แทน ประกอบด้วยสมาชิกที่ได้รับการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน จำนวน ๑๗๘ คน และพฤฒสภา ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน ๘๐ คน มาจากการเลือกตั้งโดยทางอ้อมและลับ ซึ่งสภาผู้แทนจะทำหน้าที่เลือกพฤฒสภา [๑] พฤฒสภาชุดดังกล่าวมีพันตรี วิลาศ โอสถานนท์ เป็นประธานพฤฒสภา ซึ่งต่อมาพฤฒสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๘๙[๒] ได้พัฒนามาเป็นวุฒิสภาจึงอาจกล่าวได้ว่าประธานวุฒิสภามีขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นครั้งแรก โดยประธาน พฤฒสภามีหน้าที่ดำเนินกิจการของสภาให้เป็นไปตามระเบียบหรือข้อบังคับการประชุมของพฤฒสภา รองประธานมีหน้าที่กระทำกิจการแทนประธานเมื่อประธานไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ความจำเป็นที่ต้องมีพฤฒสภา ก็เพื่อทำหน้าที่ทบทวนรับผิดชอบในการให้การรับรองการตรากฎหมายและญัตติอื่นที่ส่งมาจากสภาผู้แทนราษฎร นอกเหนือจากหน้าที่ทบทวนแล้ว พฤฒสภาอาจชะลอ การออกกฎหมายให้ช้าลง เพื่อให้แน่ใจว่าร่างกฎหมายของสภาผู้แทนราษฎรได้รับการพิจารณา อย่างถูกต้องเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน

รัฐสภาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๘๙ นี้สิ้นสุดลงโดยการยึดอำนาจการปกครองประเทศเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ โดย “คณะทหารของชาติ” ภายใต้การนำของ พลโท ผิน ชุณหะวัณ รัฐธรรมนูญฉบับต่อๆ มาที่กำหนดให้รัฐสภาประกอบด้วยสองสภา คือ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๔๙๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๗ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๒๑ และรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๓๔ สำหรับที่มาของวุฒิสภา จะมาจากการแต่งตั้ง ของพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น จนกระทั่งต่อมาได้มีการตั้ง “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” ขึ้น ประกอบด้วยสมาชิกที่ได้รับเลือกตั้งจากรัฐสภาจำนวน ๙๙ คน มีหน้าที่จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นเป็นพื้นฐานสำคัญในการปฏิรูปการเมือง จนในที่สุดก็ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐[๓] ที่กำหนดให้สมาชิกรัฐสภามี ๒ สภา คือ สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งสมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร จำนวน ๕๐๐ คน และสมาชิกวุฒิสภาจำนวน ๒๐๐ คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรง จากประชาชน การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาให้ใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้สมัครในเขตเลือกตั้งนั้นได้ ๑ คน จังหวัดใดมีสมาชิกวุฒิสภาได้มากกว่า ๑ คน ให้ผู้สมัครที่ได้คะแนนสูงสุด เรียงตามลำดับจนครบจำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่พึงมีในจังหวัดนั้น เป็นสมาชิกวุฒิสภา เพื่อทำหน้าที่นิติบัญญัติ และตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ ตลอดจนการพิจารณา เรื่องต่าง ๆ ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ สมาชิกวุฒิสภา มีวาระการดำรงตำแหน่ง ๖ ปี และ ไม่สามารถเป็นสมาชิกวุฒิสภา ๒ สมัยติดต่อกันได้[๔] สำหรับการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาซึ่งเป็น การเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกที่สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน เกิดขึ้นเมื่อวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๔๓[๕] โดยวุฒิสภาชุดนี้ได้เลือกนายสนิท วรปัญญา เป็นประธานวุฒิสภา สำหรับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ซึ่งเป็นฉบับปัจจุบัน กำหนดให้มีสมาชิกวุฒิสภา จำนวน ๗๖ คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนและ ๗๔ คน มาจากการสรรหาโดยองค์กรอาชีพรวมแล้วมีจำนวนสมาชิกวุฒิสภาทั้งสิ้น ๑๕๐ คน โดยมีการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาจำนวน ๗๔ คน ในวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ และมีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา จำนวน ๗๖ คน ในวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๑ เมื่อได้สมาชิกวุฒิสภาแล้ว ที่ประชุมได้เลือกนายประสพสุข บุญเดช เป็นประธานวุฒิสภา [๖] ๑. ที่มาของประธานวุฒิสภา และรองประธานวุฒิสภา [๗] นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันผู้ที่ดำรงตำแหน่งประธานวุฒิสภา และรองประธานวุฒิสภา จะต้องเป็นสมาชิกวุฒิสภา ซึ่งได้รับการเลือกจากสมาชิกวุฒิสภาด้วยกันให้เป็นประธานวุฒิสภาคนหนึ่ง และรองประธานวุฒิสภาคนหนึ่งหรือสองคนหรือหลายคน ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดแล้วแต่กรณี ๑.๑ การเลือกประธานวุฒิสภา ตามที่กำหนดไว้ในข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ.๒๕๕๑ มีวิธีการเลือกประธานวุฒิสภา ดังนี้ ผู้มีสิทธิเสนอชื่อ ในการเลือกประธานวุฒิสภา สมาชิกวุฒิสภาแต่ละคนมีสิทธิเสนอชื่อสมาชิกได้หนึ่งชื่อ ผู้รับรอง การเสนอชื่อต้องมีสมาชิกวุฒิสภารับรองไม่น้อยกว่าสิบคน ในกรณีมีการเสนอชื่อเพียงชื่อเดียว ให้ถือว่าผู้ถูกเสนอชื่อเป็นผู้ได้รับเลือก ในกรณีมีการเสนอชื่อสองชื่อหรือมากกว่าสองชื่อ ให้มีการลงคะแนนเป็นการลับ โดยการเขียนชื่อผู้ซึ่งตนประสงค์จะเลือกลงบนแผ่นกระดาษใส่ซองที่เจ้าหน้าที่จัดให้ แล้วเรียกชื่อสมาชิกตามลำดับอักษร มาลงคะแนนเป็นรายคน โดยนำซองใส่ลงในภาชนะที่จัดไว้เพื่อการนั้น ในการตรวจนับคะแนนให้ประธานของที่ประชุมเชิญสมาชิกไม่น้อยกว่าห้าคนเป็นกรรมการตรวจนับคะแนน กรณีมีการเสนอชื่อสองชื่อ ให้ผู้ได้คะแนนสูงสุดเป็นผู้ได้รับเลือก ถ้าได้คะแนนสูงสุดเท่ากัน ให้เลือกใหม่อีกครั้งหนึ่ง แต่ถ้าคะแนนเท่ากันอีก ให้ใช้วิธีจับสลาก กรณีมีการเสนอชื่อมากกว่าสองชื่อ ให้ผู้ได้คะแนนสูงสุดและมีคะแนนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกที่มาประชุมเป็นผู้ได้รับเลือก แต่ถ้า ผู้ได้คะแนนสูงสุดมีคะแนนไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกที่มาประชุม ให้นำชื่อผู้ได้คะแนนสูงสุดลำดับแรกหนึ่งคน และผู้ได้คะแนนสูงสุดลำดับที่สองหนึ่งคนมาให้สมาชิกลงคะแนนเลือกอีกครั้งหนึ่ง หรือ - ถ้ากรณีมีผู้ได้คะแนนสูงสุดลำดับแรกเกินกว่าหนึ่งคน ให้นำชื่อผู้ได้คะแนนสูงสุดดังกล่าวมาให้สมาชิกลงคะแนน หรือ - ถ้ามีผู้ใดคะแนนสูงสุดลำดับแรกหนึ่งคน และมีผู้ได้คะแนนสูงสุดลำดับที่สองเกินกว่าหนึ่งคน ให้นำชื่อผู้ได้คะแนนสูงสุดลำดับแรกและลำดับที่สองทุกคนมาให้สมาชิกลงคะแนน ในการนี้ ให้ผู้ได้คะแนนสูงสุดเป็นผู้ได้รับเลือก แต่ถ้าคะแนนเท่ากัน ให้ใช้วิธีจับสลาก ให้ประธาน ของที่ประชุมประกาศชื่อผู้ได้รับเลือกต่อที่ประชุมวุฒิสภา ๑.๒ การแต่งตั้งประธานวุฒิสภา เมื่อวุฒิสภาได้เลือกประธานวุฒิสภาและรองประธานวุฒิสภาแล้ว ให้เลขาธิการวุฒิสภาแจ้งไปยังนายกรัฐมนตรีเพื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูลพระมหากษัตริย์เพื่อทรงโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง

๒. การพ้นจากตำแหน่งของประธานวุฒิสภา [๘] ๒.๑ การพ้นจากตำแหน่งตามวาระ รัฐธรรมนูญมิได้กำหนดวาระการดำรงตำแหน่งของประธานวุฒิสภาไว้อย่างชัดเจน เพียงแต่กำหนดไว้ว่าประธานและรองประธานวุฒิสภา ดำรงตำแหน่งจนถึงวันก่อนวันเลือกประธานคนใหม่เท่านั้น ๒.๒ การพ้นจากตำแหน่งในกรณีอื่น นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระ ดังกล่าวมาแล้ว ประธานวุฒิสภาและรองประธานวุฒิสภาย่อมพ้นจากตำแหน่ง ในกรณีดังต่อไปนี้ (๑) ขาดจากสมาชิกภาพแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิก (๒) ลาออกจากตำแหน่ง (๓) ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรือข้าราชการการเมืองอื่น (๔) ต้องคำพิพากษาให้จำคุก

๓. อำนาจหน้าที่ของประธานวุฒิสภา ประธานวุฒิสภา มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนดในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา และกฎหมายอื่น เมื่อประธานวุฒิสภาไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ในกรณีที่มีรองประธานวุฒิสภาสองคน รองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่งจะเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานวุฒิสภา ถ้ารองประธานวุฒิสภาคนที่หนึ่งไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ รองประธานวุฒิสภาคนที่สอง จะเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนประธานวุฒิสภา รัฐธรรมนูญได้กำหนดอำนาจหน้าที่ของประธานวุฒิสภาไว้เป็นการทั่วๆ ไปว่าให้ประธานวุฒิสภามีอำนาจหน้าที่ดำเนินกิจการของวุฒิสภาให้เป็นไปตามข้อบังคับ อีกทั้งให้มีบทบาทหรืออำนาจหน้าที่อื่นๆ บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะเรื่องอีกหลายประการ ดังนี้ ๑. เป็นผู้นำความกราบบังคมทูลและเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการในกรณีดังต่อไปนี้ ๑.๑ การแต่งตั้งประธานกรรมการการเลือกตั้งและกรรมการการเลือกตั้ง [๙] ๑.๒ การแต่งตั้งผู้ตรวจการแผ่นดิน [๑๐] ๑.๓ การแต่งตั้งประธานกรรมการสิทธิมนุษยแห่งชาติ และกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ [๑๑] ๑.๔ การแต่งตั้งประธานศาลรัฐธรรมนูญและตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ [๑๒] ๑.๕ การแต่งตั้งประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ [๑๓] ๑.๖ การแต่งตั้งประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดินและกรรมการตรวจเงินแผ่นดินและผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน [๑๔] ๒. เรียกประชุมวุฒิสภา เพื่อมีมติเลือกผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ และหากกรณีมีผู้ได้คะแนนเสียงเท่ากันในลำดับใดอันเป็นเหตุให้มีผู้รับได้เลือกเกินจำนวนที่จะพึงมีได้ตามกฎหมาย ให้ประธานวุฒิสภาจับสลากว่าผู้ใดเป็นผู้ได้รับเลือก [๑๕] ๓. เป็นผู้ส่งคำร้องหรือความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยกรณีต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ [๑๖] ๓.๑ ส่งคำร้องเพื่อให้วินิจฉัยว่าสมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาคนใดคนหนึ่ง สิ้นสุดลงหรือไม่ ๓.๒ ส่งคำร้องเพื่อให้วินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งสิ้นสุดลงหรือไม่ ๓.๓ ส่งร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญไปให้วินิจฉัยว่ามีหลักการอย่างเดียวกันหรือคล้ายกันกับหลักการของร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่ต้องยับยั้งไว้หรือไม่ ๓.๔ ส่งความเห็นของสมาชิกวุฒิสภาที่เข้าชื่อกันจำนวนไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๕ ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ เพื่อให้วินิจฉัยว่าการตราพระราชกำหนด เป็นไปเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะหรือไม่ ๓.๕ ส่งความเห็นสมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๑๐ ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ เพื่อให้วินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญใด แล้วแต่กรณี ที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้อง ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญหรือไม่ ๓.๖ ส่งความเห็นของสมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๑๐ เพื่อให้วินิจฉัยว่า ร่างข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้อง ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญหรือไม่ ๔. ดำเนินกิจการวุฒิสภาให้เป็นไปตามข้อบังคับ [๑๗] ๕. จัดให้มีการบันทึกการออกเสียงลงคะแนนของสมาชิกวุฒิสภาแต่ละคนโดยเปิดเผย เว้นแต่กรณีการออกเสียงลงคะแนนลับ [๑๘] ๖. จัดให้มีการโฆษณาคำชี้แจง ในกรณีมีการกล่าวถ้อยคำใดในที่ประชุมวุฒิสภาอันอาจเป็นเหตุให้มีบุคคลอื่นซึ่งมิใช่รัฐมนตรีหรือสมาชิกวุฒิสภาได้รับความเสียหายและบุคคลนั้น ได้ร้องขอตามวิธีการและภายในระยะเวลาที่กำหนดในข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา [๑๙] ๗. สั่งปล่อยสมาชิกวุฒิสภาผู้ถูกจับในขณะกระทำผิดในระหว่างสมัยประชุมได้ [๒๐] ๘. ร้องขอให้ปล่อยสมาชิกวุฒิสภาที่ถูกคุมขังในระหว่างสอบสวนหรือพิจารณาอยู่ก่อนสมัยประชุม เพื่อให้ปล่อยเมื่อถึงสมัยประชุม [๒๑] ๙. อาจได้รับการขอปรึกษาจากนายกรัฐมนตรีเพื่อประกาศให้มีการออกเสียงประชามติ [๒๒] ๑๐. รับคำร้องของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีจำนวนไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๔ ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ หรือประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า ๒๐,๐๐๐ คน เพื่อขอให้วุฒิสภามีมติให้กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติพ้นจากตำแหน่ง [๒๓] ๑๑. รับคำร้องของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกของทั้งสองสภา มีจำนวนไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๕ ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา เพื่อส่งคำร้องดังกล่าวไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อพิจารณาพิพากษาว่ากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติผู้ใดร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดฐานทุจริต ต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ [๒๔] ๑๒. รับคำร้องของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๔ ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ หรือประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า ๒๐,๐๐๐ คน ซึ่งเข้าชื่อกัน ขอให้ถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ฯลฯ ออกจากตำแหน่ง [๒๕] ๑๓. รับคำร้องของสมาชิกวุฒิสภา จำนวนไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๔ ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่เข้าชื่อกันขอให้ถอดถอนสมาชิกวุฒิสภาด้วยกันเองออกจากตำแหน่ง [๒๖] ๑๔. ส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติดำเนินการ ไต่สวน เนื่องจากได้มีการเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภา เพื่อให้วุฒิสภามีมติถอดถอนบุคคลตามมาตรา ๒๗๐ ออกจากตำแหน่ง [๒๗] ๑๕. รับรายงานไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และจัดให้มีการประชุมวุฒิสภาเพื่อพิจารณาโดยเร็ว นอกจากนี้ หากอยู่นอกสมัยประชุมให้แจ้งประธานรัฐสภาเพื่อนำความกราบบังคมทูลฯ เพื่อทรงเรียกประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ [๒๘] อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายอื่น ๑. พระราชบัญญัติจัดระเบียบปฏิบัติราชการฝ่ายรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๑๘ เป็นผู้บังคับบัญชาของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา โดยมีบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของประธานวุฒิสภา ดังนี้ มาตรา ๘ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภามีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับราชการประจำทั่วไปของวุฒิสภา มีเลขาธิการวุฒิสภาเป็นผู้บังคับบัญชาข้าราชการ และรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการ ขึ้นต่อประธานวุฒิสภา .... ฯลฯ .... มาตรา ๒๒ บรรดาอำนาจในการสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติหรือการปฏิบัติราชการตามที่กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือคำสั่งใด กำหนดว่าเป็นอำนาจของ ....ฯลฯ.... รัฐมนตรีเจ้าสังกัด ให้เป็นอำนาจของประธานวุฒิสภาสำหรับสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ....ฯลฯ.... ๒. พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายรัฐสภา (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๓๕ ๒.๑ เป็นผู้มีอำนาจสั่งบรรจุข้าราชการรัฐสภาสามัญระดับ ๑๐ และระดับ ๑๑ และนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าแต่งตั้ง ๒.๒ เป็นผู้มีอำนาจสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือนข้าราชการรัฐสภาสามัญระดับ ๑๐ และระดับ ๑๑ ๒.๓ เป็นผู้มีอำนาจสั่งบรรจุและแต่งตั้งข้าราชการรัฐสภาสามัญ (ระดับ ๑๐ และระดับ ๑๑) ซึ่งออกจากราชการภายใต้เงื่อนไขของกฎหมาย กลับเข้ารับราชการสังกัดสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ๒.๔ เป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งข้าราชการัฐสภาฝ่ายการเมือง และสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง ๒.๕ เป็นผู้มีอำนาจสั่งอนุญาตให้ข้าราชการัฐสภาสามัญตั้งแต่ระดับ ๙ ขึ้นไปออกจากราชการ ๒.๖ เป็นผู้มีอำนาจสั่งให้ข้าราชการรัฐสภาสามัญ ตั้งแต่ระดับ ๙ ขึ้นไป ออกจากราชการเพื่อรับบำเหน็จบำนาญเหตุทดแทนได้ ๒.๗ เป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย และสั่งลงโทษทางวินัยข้าราชการรัฐสภาสามัญ ตั้งแต่ระดับ ๙ ขึ้นไป ๒.๘ เป็นผู้มีอำนาจสั่งให้ข้าราชการรัฐสภาสามัญตั้งแต่ระดับ ๙ ขึ้นไปพักราชการ หรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน หรือสั่งให้กลับเข้ารับราชการ ๓. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ [๒๙] ๓.๑ เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการ ป.ป.ช. ๓.๒ เป็นผู้จัดให้มีคณะกรรมการสรรหากรรมการ ป.ป.ช. รับบัญชีรายชื่อและเรียกประชุมวุฒิสภาเพื่อมีมติเลือกบุคคลผู้ได้รับเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการ ป.ป.ช. ๓.๓ เป็นผู้รับการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ลงลายมือชื่อกำกับในบัญชีฯ รวมทั้งตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริงของทรัพย์สินและหนี้สินดังกล่าวของกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ๓.๔ เป็นผู้รับคำร้องกรณีมีการเข้าชื่อร้องขอเพื่อให้วุฒิสภามีมติถอดถอนผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งดำรงตำแหน่งตามมาตรา ๕๘ ออกจากตำแหน่ง ๓.๕ เป็นผู้รับการแสดงตนของผู้ริเริ่มรวบรวมรายชื่อ กรณีประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งร้องขอให้ถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งตามมาตรา ๕๘ ออกจากตำแหน่ง ๓.๖ เป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนของคำร้องขอให้ถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งตามมาตรา ๕๘ ออกจากตำแหน่ง หากเห็นว่าคำร้องขอไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน ให้แจ้งให้ผู้ร้องขอหรือผู้ริเริ่มทราบเพื่อดำเนินการให้ถูกต้องต่อไป ๓.๗ ส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเพื่อไต่สวนข้อเท็จจริง ๓.๘ เป็นผู้รับรายงานการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ๓.๙ จัดให้มีการประชุมวุฒิสภาเพื่อพิจารณา กรณีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่า ข้อกล่าวหามีมูล ๓.๑๐ เป็นผู้แจ้งมติของวุฒิสภา กรณีมีมติให้ถอดถอนผู้ถูกกล่าวหาซึ่งดำรงตำแหน่งตามมาตรา ๕๘ ออกจากตำแหน่ง ไปยังผู้เกี่ยวข้อง ๓.๑๑ เป็นผู้รับและส่งคำร้องกรณีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา หรือสมาชิกของทั้งสองสภา เข้าชื่อดำเนินคดีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ไปยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเพื่อพิจารณาพิพากษา ๓.๑๒ เป็นผู้วินิจฉัยสั่งว่ามีเหตุผล ความจำเป็น ความเหมาะสมและสมควรที่สมาชิกวุฒิสภาคนใดซึ่งรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาที่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ไว้ให้ตกเป็นสิทธิของสมาชิกวุฒิสภาคนนั้นหรือไม่ [๓๐] ๔. พระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ [๓๑] ๔.๑ เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ๔.๒ รับบัญชีรายชื่อ และเรียกประชุมวุฒิสภา เพื่อมีมติเลือกกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และหากมีกรณีมีผู้ได้คะแนนเสียงเท่ากันอันเป็นเหตุให้ผู้มีผู้ได้รับเลือกเกินจำนวนที่จะพึงมีได้ตามกฎหมาย ให้ประธานวุฒิสภาจับสลากว่าผู้ใดเป็นผู้ได้รับเลือก ๔.๓ รับคำร้องของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๔ ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา ซึ่งเข้าชื่อกันขอให้วุฒิสภาถอดถอนกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ๕. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๔๒ [๓๒]

                  ๕.๑ เป็นผู้เรียกประชุมวุฒิสภาเพื่อมีมติเลือกผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดิน ในกรณีที่มีผู้รับคะแนนเท่ากันระดับใดอันเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับเลือกเกิน ๓ คน ให้ประธานวุฒิสภาเป็นผู้จับสลากว่าผู้ใดเป็นผู้ได้รับเลือก
                  ๕.๒ เป็นผู้นำรายชื่อขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งผู้ตรวจการแผ่นดิน

๖. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๔๒ [๓๓]

                  ๖.๑ จัดให้มีคณะกรรมการสรรหากรรมการตรวจเงินแผ่นดิน รับบัญชีรายชื่อและเรียกประชุมวุฒิสภาเพื่อมีมติเลือกผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน
                  ๖.๒ เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการและนำความขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งผู้ได้รับเลือกเป็นกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน 
                  ๖.๓ รับคำร้องของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๔ ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ เพื่อขอให้วุฒิสภามีมติให้กรรมการตรวจเงินแผ่นดินพ้นจากตำแหน่ง
                  ๖.๔ รับบัญชีรายชื่อผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินแล้วเสนอต่อวุฒิสภาเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ
                  ๖.๕ เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง และนำความขึ้นกราบบังคมทูล

เพื่อทรงแต่งตั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน

                  ๖.๖ รับรายงานของกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน แล้วส่งให้คณะกรรมาธิการของวุฒิสภา ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการติดตามผลการใช้จ่ายเงินงบประมาณ เพื่อพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป
                  ๖.๗ ร่วมแต่งตั้งผู้ตรวจสอบการรับจ่ายเงินและทรัพย์สิน บัญชี ทะเบียน เอกสาร หรือหลักฐานอื่นของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน

๗. พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒ [๓๔] ๗.๑ เป็นผู้ออกบัตรประจำตัว สำหรับตำแหน่งประธานวุฒิสภา รองประธานวุฒิสภา สมาชิกวุฒิสภา เลขาธิการวุฒิสภา และข้าราชการฝ่ายการเมืองในวุฒิสภา ๗.๒ เป็นผู้รับการยื่นคำขอมีบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐของบุคคลดังต่อไปนี้ ได้แก่ ประธานวุฒิสภา รองประธานวุฒิสภา สมาชิกวุฒิสภา เลขาธิการวุฒิสภา และข้าราชการฝ่ายการเมืองในวุฒิสภา ๘. พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ [๓๕]

         	๘.๑ หน้าที่รับผิดชอบในการยื่นงบประมาณประจำปีของสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา 

ต่อผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ อำนาจหน้าที่ตามข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๑

                  หมวด ๒ : อำนาจและหน้าที่ของประธานวุฒิสภา 

ข้อ ๑๐ ประธานวุฒิสภามีอำนาจและหน้าที่ ดังต่อไปนี้ (๑) ควบคุมและดำเนินกิจการของวุฒิสภา (๒) เป็นประธานของที่ประชุม (๓) รักษาความสงบเรียบร้อยในที่ประชุมวุฒิสภา ตลอดถึงบริเวณที่ประชุม วุฒิสภา (๔) เป็นผู้แทนวุฒิสภาในกิจการภายนอก (๕) แต่งตั้งกรรมการเพื่อดำเนินการใด ๆ อันเป็นประโยชน์ต่อกิจการของวุฒิสภา (๖) อำนาจและหน้าที่อื่นตามที่มีกฎหมายบัญญัติไว้หรือตามที่กำหนดไว้ใน ข้อบังคับนี้ อำนาจหน้าที่ตามประมวลจริยธรรมของสมาชิกวุฒิสภาและกรรมาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๕ ๑. ประมวลจริยธรรมของสมาชิกวุฒิสภาและกรรมาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๕ ๑.๑ เป็นผู้รักษาการตามประมวลจริยธรรมฯ ๑.๒ เป็นประธานคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภา ๒. ระเบียบว่าด้วยวิธีพิจารณาของคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๔๘ ๒.๑ เป็นผู้รักษาการตามระเบียบฯ ๒.๒ หน้าที่ในการจัดส่งสำเนาคำร้องและหนังสือกำหนดเวลาให้ยื่นคำชี้แจง พร้อมทั้งสั่งปิดประกาศ และส่งสำเนาประกาศ รายนามประธานวุฒิสภาตั้งแต่อดีต – ปัจจุบัน [๓๖]

อ้างอิง


หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ

มานิตย์ จุมปา และคณะ, โครงการศึกษาวิเคราะห์เรื่อง ที่มาและอำนาจหน้าที่ของวุฒิสภาที่เหมาะสมกับประเทศไทย, สนับสนุนโดย คณะกรรมาธิการวิสามัญวิชาการตรวจร่างรัฐธรรมนูญและร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ สภาร่างรัฐธรรมนูญ.

บรรณานุกรม

พระราชบัญญัติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๖ ตอนที่ ๑๑๘ ก, ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๒.

พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๒, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๖ ตอนที่ ๓๔ ก, ๔ พฤษภาคม ๒๕๔๒.

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๔๒, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๖ ตอนที่ ๑๑๕ ก, ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๔๒.

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๔๒, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑๖ ตอนที่ ๘๑ ก, ๑๔ กันยายน ๒๕๔๒.

พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๗๖ ตอนที่ ๙๘ ก, ๒๗ ตุลาคม ๒๕๐๒.

สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ. กฏหมายที่เกี่ยวข้องและประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ. (กรุงเทพฯ : ห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงพิมพ์ชวนพิมพ์). ๒๕๔๖.

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. ข้อบังคับการประชุมการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๔๔ ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๔๔ ประมวลจริยธรรมของสมาชิกวุฒิสภาและกรรมาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๕. (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร). ๒๕๔๕.

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. ข้อบังคับการประชุมการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๑ ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๑. (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร). ๒๕๕๑.

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐. (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร). ๒๕๕๐.

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร.พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๑๘ พระราชบัญญัติจัดระเบียบปฏิบัติราชการฝ่ายรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๑๘ รวมกฎ ก.ร. . (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร). ๒๕๕๑.

ดูเพิ่มเติม