การแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สิน

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:14, 16 กันยายน 2552 โดย Panu (คุย | ส่วนร่วม) (สร้างหน้าใหม่: '''ผู้เรียบเรียง''' สุรีย์ ขวัญบัว '''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทคว...)
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง สุรีย์ ขวัญบัว

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จเร พันธุ์เปรื่อง


บทนำ

การทุจริตคอร์รัปชัน หรือการประพฤติมิชอบในวงราชการ และการดำเนินงานที่ไม่โปร่งใสของภาครัฐ นับเป็นปัญหาสำคัญปัญหาหนึ่งที่ถ่วงรั้งการพัฒนาของประเทศ จึงเกิดแนวคิดวิธีการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำดังกล่าวตลอดมา นับตั้งแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา มีกฎหมายที่ชื่อว่าพระไอยการอาญาหลวง พุทธศักราช 1895 ได้กำหนดบทลงโทษข้าราชการที่กระทำการทุจริตประพฤติมิชอบไว้ 10 สถาน จากโทษหนักที่สุดไปสู่โทษเบาที่สุด ดังนี้

1. ฟันคอ ริบเรือน ริบราชบาทว์ เอาลูกเมียข้าคนเป็นราชบาทว์ ยึดทรัพย์สินสิ่งของเข้าพระคลัง

2. ตัดมือ ตัดเท้า จองจำใส่ตรุ โดยยถากรรม

3. ทวนด้วยลวดหนัง หรือไม้หวาย 1 ยก 2 ยก 3 ยก แล้วประจานจำใส่ตรุไว้ 1 เดือน 2 เดือน 3 เดือน (ทวน 1 ยก หมายถึง การเฆี่ยน จำนวน 12 ที)

4. ปรับไหม 4 เท่าของค่าเสียหาย เข้าเป็นพินัยหลวง แล้วเอาตัวลงหญ้าช้าง (ใส่ตระกร้อแล้วให้ช้างเตะ)

5. ปรับไหม 3 เท่า แล้วให้ออกจากราชการ

6. ปรับไหม 2 เท่า แล้วให้ประจานทั่วเมือง 3 วัน 7 วัน จึงพ้นโทษ

7. ปรับไหมหนึ่งลา แล้วชดใช้ข้าวของคืนแก่ผู้เสียหาย

8. ตัดปากแหวะปาก เอามะพร้าวห้าวยัดปาก

9. ภาคทัณฑ์

10. กดอุเบกษาไว้ (เรียกประกันทัณฑ์บน)[1]

หลังจากนั้น ก็มีกฎหมายอีกหลายฉบับที่ถูกบัญญัติขึ้นเพื่อใช้เป็นมาตรการป้องปรามการทุจริต และประพฤติมิชอบของภาครัฐ การแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินก็เป็นมาตรการหนึ่งตามแนวคิดการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ

การแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สิน มีการบัญญัติครั้งแรกในพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ พ.ศ. 2518 กำหนดให้มีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (คณะกรรมการป.ป.ป.) ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการโดยตำแหน่ง โดยมาตรา 23 ได้กำหนดให้อำนาจแก่คณะรัฐมนตรีสามารถสั่งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐแสดงทรัพย์สินและหนี้สินของตนตามรายการ วิธีการและเวลาที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกา[2] (พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการแสดงทรัพย์สินและหนี้สินของเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2524)

สำหรับการแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินของนักการเมือง ทั้งสมาชิกของรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี ได้มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 5) พุทธศักราช 2538 โดยมาตรา 95 กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกตามที่กฎหมายบัญญัติ และในมาตรา 170 วรรคสอง กำหนดให้รัฐมนตรีต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินตามที่กฎหมายบัญญัติ

การแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สิน

การยื่นหรือการแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ พ.ศ. 2518 และพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการแสดงสินทรัพย์และหนี้สินของเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2524 ได้กำหนดวิธีการ และมาตรการต่าง ๆ ไว้ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐตามที่กำหนด ต้องแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตนเองที่อยู่ในครอบครองทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งนี้เพื่อใช้ประกอบการตรวจสอบความร่ำรวยผิดปกติของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งโดยปกติถือเป็นเอกสารลับไม่เปิดเผย แต่จะนำมาใช้เมื่อมีมูลว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นมีพฤติการณ์หรือถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ หรือมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปกติ และหากผลการสืบสวนปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้นไม่สามารถชี้แจงได้ว่า ตนได้ทรัพย์สินมาโดยชอบ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ ก็จะขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดินต่อไป

การแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินในส่วนของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตามพระราชบัญญัติการแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินของสมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2539 กำหนดให้สมาชิกของรัฐสภายื่นบัญชีแสดงรายการดังกล่าวเฉพาะของตนเองต่อประธานของสภาที่ตนสังกัดภายใน 60 วัน นับแต่วันเข้ารับหน้าที่ ทั้งนี้ประธานของแต่ละสภาจะรับซองบัญชีนั้นไว้และลงลายมือชื่อกำกับไว้ที่หน้าซอง และเก็บรักษาไว้เป็นเอกสารลับ ณ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา หรือสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร แล้วแต่กรณี[3] และเมื่อสมาชิกภาพของสมาชิกนั้น ๆ สิ้นสุดลงเกิน 5 ปีแล้ว ประธานของแต่ละสภาอาจอนุญาตให้ทำลายบัญชีนั้นได้ สำหรับบทลงโทษกรณีไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน หรือจงใจยื่นบัญชีด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ภายหลังเมื่อมีการยกร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้กำหนดให้มีวิธีการตรวจสอบ และองค์กรตรวจสอบอำนาจรัฐที่เป็นอิสระ มีการตรวจสอบที่รัดกุมขึ้น เพื่อแก้ปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบของภาครัฐและองค์กรทางการเมืองให้มีประสิทธิภาพขึ้น ในแง่ของการเป็นอิสระขององค์กรตรวจสอบ รัฐธรรมนูญได้บัญญัติในมาตรา 297 ให้มีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติขึ้นคณะหนึ่ง จำนวน 9 คน โดยคณะกรรมการทั้งคณะมาจากการสรรหาตามกระบวนการที่กำหนด รวมถึงกำหนดอำนาจหน้าที่ในการตรวจสอบไว้ โดยประการหนึ่งคือ การไต่สวน และวินิจฉัยว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น ๆ ร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม เพื่อดำเนินการต่อไปตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต รวมถึงตรวจสอบความถูกต้อง ความมีอยู่จริง และความเปลี่ยนแปลงของทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเจ้าหน้าที่ของรัฐตามที่บัญญัติในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ตามบัญชีและเอกสารประกอบที่ได้ยื่นไว้ด้วย[4] (พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ. 2542)

การแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินนั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 และปีพุทธศักราช 2550 กำหนดไว้คล้ายกัน คือ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ต้องแสดงบัญชีทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่งหรือพ้นจากตำแหน่ง คือ

1. นายกรัฐมนตรี

2. รัฐมนตรี

3. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

4. สมาชิกวุฒิสภา

5. ข้าราชการการเมืองอื่น

6. ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นตามที่กฎหมายบัญญัติ

ทั้งนี้ ต้องยื่นบัญชีทั้งของตนเอง คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ และในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 เพิ่มเติมให้รวมถึงทรัพย์สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มอบหมายให้อยู่ในความครอบครองหรือดูแลของบุคคลอื่น ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมด้วย[5] และกำหนดให้ยื่นบัญชีดังกล่าว ใน 3 ช่วงเวลา ดังนี้

1. เมื่อเข้ารับตำแหน่ง ให้ยื่นภายใน 30 วัน นับแต่วันเข้ารับตำแหน่ง

2. เมื่อพ้นจากตำแหน่ง ให้ยื่นภายใน 30 วัน นับแต่วันพ้นจากตำแหน่ง

3. ภายใน 30 วัน นับจากวันที่พ้นจากตำแหน่งแล้วเป็นเวลา 1 ปี

นอกจากนี้ ยังกำหนดบทลงโทษทางการเมืองนอกเหนือจากการลงโทษทางอาญาในกรณีจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน หรือจงใจยื่นบัญชีและเอกสารประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ มีโทษต้องห้ามมิให้ผู้นั้นดำรงตำแหน่งทางการเมืองใด ๆ หรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมือง เป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย[6]

สำหรับการเปิดเผยบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินนั้น จะเปิดเผยให้สาธารณชนทราบเฉพาะบัญชีของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเท่านั้น ในกรณีบัญชีของผู้ดำรงตำแหน่งอื่นจะเปิดเผยต่อเมื่อจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาพิพากษาคดี หรือการวินิจฉัยชี้ขาด และได้รับการร้องขอจากศาลหรือคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินเท่านั้น

การแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินของต่างประเทศ

การกำหนดมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้ภาครัฐหรือผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมืองมีความโปร่งใสในการทำงาน โดยใช้วิธีการแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินนั้น มีการใช้ในหลายประเทศ อาทิตย์

ประเทศสหรัฐอเมริกา[7]

สภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกาได้ตรากฎหมายที่เรียกว่า The Ethics in Government Act of 1978 ขึ้น เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ไว้ พอสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

1. ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มีหน้าที่แสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สิน ประกอบด้วย

     1.1 ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี และประธานาธิบดี

     1.2 ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นรองประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดี

     1.3 ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

     1.4 ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกวุฒิสภา

2. ต้องแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตนเอง คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ

3. มีกำหนดระยะเวลาการยื่นบัญชีเป็น 3 ช่วงเวลา คือ

     3.1 ก่อนได้รับการเลือกตั้ง ผู้สมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งต่าง ๆ นั้น ต้องยื่นบัญชีภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีฐานะเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง หรือภายในวันที่ 15 พฤษภาคม ของปีที่มีการเลือกตั้ง

     3.2 เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้ว ต้องยื่นบัญชีภายใน 30 วัน นับแต่วันเข้ารับตำแหน่ง

     3.3 เมื่อพ้นจากตำแหน่ง ต้องยื่นบัญชีภายใน 30 วัน นับแต่วันพ้นจากตำแหน่ง

4. บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทุกตำแหน่ง จะเปิดเผยต่อสาธารณชนทั้งหมด

5. บทกำหนดโทษ หากยื่นบัญชีเลยระยะเวลาที่กำหนดจะถูกปรับ 200 เหรียญสหรัฐ และกรณีไม่ยื่นบัญชี หรือจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินประกอบด้วย ข้อความเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ จะถูกปรับไม่เกิน 10,000 เหรียญสหรัฐ

ประเทศสาธารณรัฐฝรั่งเศส[8]

รัฐสภาของฝรั่งเศสได้ตรากฎหมายว่าด้วยความโปร่งใสในการเงินของวิถีชีวิตทางการเมือง ฉบับที่ 88-226 และ 88-227 ลงวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ. 1988 (Loi organiqve n.88-226, 88-227 du mars 1988 relative a la transparence financiere de la vie politique) เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ พอสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

1. ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มีหน้าที่แสดงบัญชี ประกอบด้วย

     1.1 ประธานาธิบดี

     1.2 คณะรัฐมนตรี

     1.3 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

     1.4 สมาชิกวุฒิสภา

     1.5 นักการเมืองระดับท้องถิ่น

2. ต้องแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตนเอง คู่สมรส และทรัพย์สินที่ตนเองมีกรรมสิทธิ์ร่วมด้วย เช่น สินสมรส เป็นต้น

3. มีกำหนดระยะเวลาการยื่นบัญชี เป็น 3 ช่วงเวลา เช่นกัน คือ

     3.1 ก่อนได้รับเลือกตั้ง กำหนดให้ยื่นเฉพาะผู้สมัครรับเลือกตั้งในตำแหน่งประธานาธิบดี โดยให้ยื่นต่อคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ โดยถือเป็นเงื่อนไขแห่งความสมบูรณ์ของการสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดี โดยคณะตุลาการรัฐธรรมนูญจะเปิดซองบัญชีของผู้สมัครตำแหน่งประธานาธิบดีที่ได้รับเลือกตั้งแล้ว และพิมพ์เผยแพร่ในราชกิจจานุเบกษาพร้อมกับการประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ

     3.2 เมื่อได้รับเลือกตั้งแล้ว ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชี ต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินภายใน 15 วัน นับแต่วันที่เข้ารับตำแหน่ง

     3.3 เมื่อพ้นจากตำแหน่ง ต้องยื่นบัญชีภายใน 15 วัน หลังจากวันพ้นจากตำแหน่ง หรือตั้งแต่ 2 เดือน ก่อนพ้นจากตำแหน่งไปจนถึง 1 เดือน หลังจากพ้นจากตำแหน่งตามวาระปกติ

4. การเปิดเผยบัญชีการแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อสาธารณะนั้น จะกระทำเฉพาะตำแหน่งประธานาธิบดีเท่านั้น

5. บทกำหนดโทษ หากผู้ใดจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน หรือจงใจยื่นบัญชีที่ประกอบด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบจะมีโทษ ดังนี้

5.1 กรณีประธานาธิบดี ถือว่าการสมัครรับเลือกตั้งไม่สมบูรณ์

5.2 กรณีคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีจะดำเนินการสั่งการต่อรัฐมนตรีคนนั้นตามสมควร

5.3 กรณีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา จะถูกเพิกถอนสิทธิการสมัครรับเลือกตั้ง 1 ปี

5.4 กรณีนักการเมืองระดับท้องถิ่น ถือว่าเป็นความผิดอาญา และถูกห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง 1 ปี

บทสรุป

มาตรการที่กำหนดให้เจ้าหน้าที่ของรัฐโดยเฉพาะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สิน รวมถึงการกำหนดบทลงโทษที่ค่อนข้างรุนแรง คือ ห้ามมิให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนานถึง 5 ปี เป็นมาตรการที่เป็นผลมาจากความต้องการปฏิรูปการเมือง แก้ไขปัญหาการดำเนินงานที่ไม่โปร่งใสของผู้ดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ทางการเมือง คาดหวังให้เกิดการตระหนักและมีความรับผิดชอบในการดำเนินงานของภาครัฐมากขึ้น รวมถึงการเผยแพร่สื่อสารให้สาธารณชนทราบ นับเป็นการให้ภาคประชาชนร่วมตรวจสอบรับรู้อีกทางหนึ่ง แม้การดำเนินงานที่ผ่านมาอาจไม่เห็นผลมากนัก เพราะต้องผ่านขั้นตอนกระบวนการตรวจสอบที่รอบคอบ รัดกุม แต่มาตรการนี้ก็เป็นที่ยอมรับว่าเป็นมาตรการหนึ่งที่จะสามารถพัฒนาการเมืองและประเทศไทยได้

อ้างอิง

  1. ผาสุก พงษ์ไพจิตร, คอรัปชั่นกับประชาธิปไตย. หน้า 319-320
  2. พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริต และพระพฤติมิชอบในวงราชการ พ.ศ. 2518, มาตรา 23.
  3. พระราชบัญญัติการแสดงทรัพย์สินและหนี้สินของสมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2539, มาตรา 3-10.
  4. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540, มาตรา 301.
  5. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550, มาตรา 259.
  6. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550, มาตรา 263.
  7. ปัญญา อุดชาชน, รายการงานวิจัย เรื่อง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ กับการตรวจสอบการแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 295, หน้า 41-45.
  8. เรื่องเดียวกัน, หน้า 46-48

หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ

กิตติพงศ์ ทองปุย, (2542) การแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง, คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรุงเทพฯ.

นันทวัฒน์ บรมานันท์, (2544) การแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สิน, โครงการเฉลิมพระเกียรติ สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2540) สถาบันพระปกเกล้า, กรุงเทพฯ.

ปัญญา อุดชาชน, (2549) รายงานการวิจัย เรื่อง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติกับการตรวจสอบการแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 295, เสนอต่อคณะกรรมการวิจัยและพัฒนาของวุฒิสภา, กรุงเทพฯ.

บรรณานุกรม

กิตติพงศ์ ทองปุย, (2542) การแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง, คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรุงเทพฯ.

ชิดชัย พานิชพัฒน์, (2540) รายงานวิจัย เรื่อง ผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานตรวจสอบทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่รัฐของ ป.ป.ป., วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร, กรุงเทพฯ.

นันทวัฒน์ บรมานันท์, (2544) การแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สิน, โครงการเฉลิมพระเกียรติ สารานุกรม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ. 2540) สถาบันพระปกเกล้า, กรุงเทพฯ.

ปัญญา อุดชาชน, (2549) รายงานการวิจัย เรื่อง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และการตรวจสอบการแสดงบัญชีรายการทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 295, เสนอต่อคณะกรรมการวิจัยและพัฒนาของวุฒิสภา, กรุงเทพฯ.

ผาสุก พงษ์ไพจิตร, (2537) คอรัปชั่นกับประชาธิปไตย, (พิมพ์ครั้งที่ 1) คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรุงเทพฯ.

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 5) พุทธศักราช 2538. กรุงเทพฯ : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร.

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540. กรุงเทพฯ : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร.

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550. กรุงเทพฯ : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร.

พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริต และประพฤติมิชอบในวงราชการ พ.ศ. 2518. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 92 ตอน 52 ก ฉบับพิเศษ 3 มีนาคม 2518.

พระราชบัญญัติการแสดงทรัพย์สินและหนี้สินของสมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2539. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 113 ตอนที่ 57 ก 31 ตุลาคม 2539.