ข้อสงสัยเกี่ยวกับการสนับสนุนรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 13:35, 27 ธันวาคม 2568 โดย Adminkpi (คุย | ส่วนร่วม) (สร้างหน้าด้วย "'''เรียบเรียง : ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร''' '''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร''' ในหนังสือ The King Never Smiles (2549) ของพอล แอนลีย์มีข้อความตอนหนึ่งว่า “...")
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

เรียบเรียง : ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร

ในหนังสือ The King Never Smiles (2549) ของพอล แอนลีย์มีข้อความตอนหนึ่งว่า “ทั้งหมดนี้—จดหมายของควง (อภัยวงศ์) และคำประกาศของจอมพล ป. พิบูลสงคราม และบทบาทของต่างชาติในทางการเมือง—ต้องทำให้พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงรู้สึกลำบากพระทัย   โดยส่วนพระองค์เอง พระองค์ทรงสนับสนุนการรัฐประหารในเดือนพฤศจิกายน ปี 1947  ตอนนี้ พระองค์พบว่าบทบาทของพระองค์ในการลงพระปรมาภิไธยให้เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่ได้รับการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยถูกลบออกไปในทันทีจากความทะเยอทะยานของกองทัพ และคำกระตุ้นเตือนของพระองค์ให้มีการใช้ความพอประมาณและไม่เห็นแก่ตัวนั้นไม่มีผล  ไม่ว่ารัฐธรรมนูญจะกล่าวไว้ว่าอย่างไร แต่ทหารก็ทำตามที่พวกเขาต้องการ และกระนั้น ก็เป็นสี่งที่แปลกแท้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งเป็นศัตรูที่ยาวนานต่อราชบัลลังก์ ยังคงขอให้พระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความเห็นชอบ” [1]                 

ข้อความข้างต้นสื่อว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้าทรงสนับสนุนโดยส่วนพระองค์ต่อการทำรัฐประหารเป็นกวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ซึ่งเป็นรัฐประหารครั้งแรกในรัชสมัยของพระองค์ [2]      ในการกล่าวเช่นนั้น แฮนลีย์มิได้ใส่เชิงอรรถแสดงหลักฐานอ้างอิงการแสดงออกซึ่งการสนับสนุนการทำรัฐประหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้าแต่อย่างไร                                            

อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องก่อนหน้าการตีพิมพ์หนังสือของแฮนลีย์ พบว่า มีการตีพิมพ์พระราชหัตถเลขาวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 พระราชทานแก่จอมพล ป. พิบูลสงคราม ดังความต่อไปนี้


โลซานน์

๒๕ พฤจิกายน ๒๔๙๐

ถึง จอมพล ป. พิบูลสงคราม

ฉันได้รับหนังสือลงวันที่ ๑๔ เดือนนี้ ทราบความตลอดแล้ว เมื่อเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นเช่นนี้ก็มีความหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ตั้งแต่บัดนี้เปนต้นไป ประชนชนพลเมืองไทยที่รักของฉัน ซึ่งฉันได้เป็นห่วงใยในความทุกข์สุขของเขาอยู่เสมอตลอดมา ก็คงจะได้บรรเทาและปลดเปลื้องความลำบากยากแค้นต่าง ๆ ลงไปจนหมดสิ้น และมีความสุขสบายตามสมควรของเขา

ฉันรู้สึกพอใจยิ่งนัก ที่ได้ทราบว่า เหตุการณ์ที่บังเกิดขึ้นนี้ มิได้เสียเลือดเนื้อและชีวิตของคนไทยด้วยกันเลย อนึ่งที่ได้บอกมาว่า ทุก ๆ คน ที่ได้ร่วมปฏิบัติการครั้งนี้ ได้ตกลงแน่วแน่ว่า ไม่ต้องการช่วงชิงอำนาจหาความดีใส่ตนเลย มีจุดประสงค์เพียงแต่จะให้รับบาลใหม่ที่เข้มแข็ง ได้เข้ามาบริหารราชการ ทำนุบำรุงให้ประเทศเจริญรุ่งเรืองและปลดเปลื้องความยุ่งยากที่บังเกิดขึ้นเฉพาะหน้าในบัดนี้ให้บรรเทาเบาบางลง ให้ประชาชนได้รับความสงบสุขร่มเย็นตามสมควรแก่สภาพ และให้ประเทศชาติได้รับการทำนุบำรุงให้เจริญ ฯลฯ นั้น ก็เป็นการแสดงให้เห็นอุดมคติอันดียิ่ง และเป็นความซื่อสัตย์ต่อประเทศชาติโดยแท้จริง เมื่อได้ยึดถืออุดมคติอันดีดังกล่าวนี้นำมาปฏิบัติ นอกจากจะปรากฏในประวัติศาสตร์แล้ว ก็ยังเป็นตัวอย่างอันดีแก่ข้าราชการและประชาชนโดยทั่วไปอีกด้วย ขอให้ทุก ๆ ฝ่ายจงช่วยกันร่วมมือประสานงานด้วยดี เพื่อนำมาซึ่งความรุ่งเรืองให้แก่ประเทศชาตี่รักของเราจะเป็นความพอใจสูงสุดของฉัน

การที่ขอให้ฉันกลับเข้าเมืองไทยในโอกาสที่ฉันได้บรรลุนิติภาวะ ณ วันที่ ๕ ธันวาคม ศกนี้นั้น ฉันขอขอบใจมาด้วย นอกจากเวลาจะได้กระชั้นชิดจนเกินไปแล้ว ยังมีเหตุผลอื่น ๆ ซึ่งฉันเข้าไปไม่ได้ ฉันได้สั่งให้หม่อมเจ้าจักรพันธ์ เพ็ญศิริ ไปแจ้งให้เข้าใจโดยละเอียดแล้ว แต่อย่างไรก็ดีฉันมีความประสงค์ที่จะกลับเข้าไปกรุงเทพ ชั่วคราวเพื่อถวายพระเพลิงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศในเดือนมีนาคมหน้านี้ ตามที่ได้กะไว้ ในขณะที่อยู่ในกรุงเทพฯ ชั่วคราวนี้ ฉันหวังว่าจะได้ช่วยทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติบ้านเมืองได้บ้างไม่มากก็น้อย

(พระปรมาภิไธย) ภูมิพลอดุลยเดช


พระราชหัตถเลขานี้ปรากฏเป็นตัวพิมพ์ในหนังสือ ว.ช. ประสังสิต สองเล่ม เล่มแรกและเป็นครั้งแรกที่ปรากฏความในพระราชหัตถเลขา คือ ปฏิวัติรัฐประหารและกบฏจลาจลในสมัยประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย (พระนคร: โรงพิมพ์บริษัทรัฐภักดี: 2492) หน้า 245-248 เล่มที่สองคือ เบื้องหลังการสวรรคต ร. ๘ (พระนคร : สำนักพิมพ์ธรรมเสวี: 2498), หน้า 274-277 และในหนังสือทั้งสองเล่มนี้ ไม่มีการกล่าวอ้างอิงว่า ผู้เขียนได้รับเอกสารสำเนาพระราชหัตถเลขานี้มาจากไหน  หนังสือสองเล่มนี้มีสาระสำคัญคือยกย่องจอมพล ป. พิบูลสงคราม และในส่วนที่เกี่ยวกับรัฐประหาร 8 พฤศจิกายนนั้น ว.ช. ประสังสิตเขียนสนับสนุนให้ความชอบธรรมแก่การทำรัฐประหาร และกล่าวว่าคณะผู้ก่อการรัฐประหารเห็นความสำคัญในการเชิญให้จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร แม้ว่าจอมพล ป. พิบูลสงครามจะเบื่อหน่ายการเมืองแล้วแต่ก็ยอมรับคำเชิญ ซึ่ง ว.ช. ประสังสิตเห็นว่าการตอบรับของจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นประโยชน์แก่คณะรัฐประหารและบ้านเมืองอย่างยิ่ง [3] และการนำพระราชหัตถเลขามาใส่ไว้ในส่วนที่ว่าด้วยรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ในหนังสือทั้งสองเล่มเพื่อชี้ให้ผู้อ่านได้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้าก็ทรงเห็นชอบกับการทำรัฐประหารและพระราชทานพระราชหัตถเลขาตอบหนังสือของจอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยใน ปฏิวัติรัฐประหารและกบฏจลาจลในสมัยประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย หน้า 244-245 มีข้อความว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานพระหัตถเลขาด้วยทรงพอพระทัย (จั่วหัว ตัวเข้ม) อนึ่ง จอมพล ป. พิบูลสงคราม เมื่อได้ทำการรัฐประหารสำเร็จแล้วก็ได้มีสาสน์ไปกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งประทับทรงศึกษาวิชาอยู่ ณ โลซานน์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และทูลเชิญให้เสด็จนิวัติพระนครด้วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานหัตถเลขาแสดงพระปิติโสมนัสเป็นอย่างยิ่งด้วยการรัฐประหารครั้งนี้ ดังสำเนาต่อไปนี้”                                                                            

ส่วนใน เบื้องหลังการสวรรคต ร. ๘ หน้า 274 มีข้อความว่า “พระราชหัตถเลขาพอพระราชหฤทัย (จั่วหัว) ต่อจากนั้น จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้มีสาส์นไปทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงประทับศึกษาอยู่ ณ โลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทูลเชิญให้เสด็จนิวัติพระนครด้วย สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชหัตถ์เลขาแสดงความปิติยินดีอย่างยิ่งด้วยคณะรัฐประหาร ดังสำเนาต่อไปนี้” ที่น่าสังเกตคือ ในสำเนาพระราชหัตถเลขาที่ปรากฏใน ปฏิวัติรัฐประหารและกบฏจลาจลในสมัยประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย หน้า 244 ได้มีการพิมพ์ตราครุฑไว้เหนือข้อความพระราชหัตถเลขา ส่วนใน เบื้องหลังการสวรรคต ร. ๘ หน้า 274 ไม่ได้พิมพ์ตราครุฑ แต่ใช้เป็นตัวหนังสือว่า “(ตราครุฑ)” ซึ่งการใช้สัญลักษณ์ตราครุฑก็ดีหรือพิมพ์คำว่า “(ตราครุฑ)” ก็ดี ย่อมจะทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกน่าเชื่อถือในสำเนาพระราชหัตถเลขาว่าเป็นพระราชหัตถเลขาที่แท้จริงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้าพระราชทานมา ในกรณีการใช้ตราครุฑ พบข้อมูลว่า หนังสือพระราชหัตถเลขา ไม่จำเป็นต้องมีตราครุฑเสมอไป ตราครุฑเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้กับหนังสือราชการทั่วไป แต่สำหรับหนังสือพระราชหัตถเลขาซึ่งเป็นหนังสือส่วนพระองค์ จะมีตราประจำพระองค์หรือตราประจำราชวงศ์ประทับแทน หนังสือพระราชหัตถเลขาเป็นหนังสือที่พระมหากษัตริย์ทรงมีไปถึงบุคคลต่างๆ โดยส่วนใหญ่เป็นเรื่องส่วนพระองค์ จึงใช้ตราประจำพระองค์หรือตราประจำราชวงศ์ ที่เป็นตราที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับพระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ เช่น ตราพระมหาพิชัยมงกุฎ ดังนั้น หนังสือพระราชหัตถเลขาจึงใช้ตราที่เหมาะสมกับความเป็นส่วนพระองค์ ไม่จำเป็นต้องใช้ตราครุฑเหมือนหนังสือราชการทั่วไป  นอกจากนี้ การใช้ตราครุฑในหนังสือราชการของไทย มี 2 แบบ คือ แบบครุฑเท้าตั้ง (ครุฑดุน) และแบบครุฑเท้าเหยียดตรง โดยแบบครุฑเท้าตั้งจะใช้เฉพาะกับพระมหากษัตริย์เท่านั้น ส่วนแบบครุฑเท้าเหยียดตรงจะใช้ในหนังสือราชการทั่วไป โดยตราครุฑเท้าตั้ง (ครุฑดุน) ใช้เฉพาะในหนังสือราชการที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์เท่านั้น เช่น ราชกิจจานุเบกษา, หนังสือเดินทาง, และหนังสือของกรมราชองครักษ์และหน่วยงานในกระทรวงการต่างประเทศ  ส่วนตราครุฑเท้าเหยียดตรงใช้ในหนังสือราชการทั่วไป  ดังนั้น ตราครุฑในหนังสือพระราชหัตถเลขาฯ ใน ปฏิวัติรัฐประหารและกบฏจลาจลในสมัยประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย หน้า 244 จึงเป็นกรณีที่ผิดธรรมเนียมปฏิบัติ อีกทั้งตราครุฑใน ปฏิวัติรัฐประหารและกบฏจลาจลในสมัยประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย หน้า 244 ยังเป็นตราครุฑแบบครุฑเท้าเหยียดตรงด้วย          

จากการเผยแพร่พระราชหัตถเลขาในหนังสือของ ว.ช. ประสังสิต ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ตำหนิพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้าที่มีพระราชหัตถเลขาแสดงความยินดีกับการรัฐประหาร อีกทั้งยังได้มีการอ้างอิงเอกสารนี้ต่อๆกันมาในงานวิชาการ ทั้งที่เมื่อสืบค้นแล้วไม่พบแหล่งที่มาอื่นใดนอกจาก ปฏิวัติรัฐประหารและกบฏจลาจลในสมัยประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย และ  เบื้องหลังการสวรรคต ร.8  ทั้งที่ไม่มีการบอกที่มาของเอกสารพระราชหัตถเลขานี้ อีกทั้งก็ไม่เคยไม่ใครพบต้นฉบับพระราชหัตถเลขาฉบับนี้             นอกจากข้อสงสัยในพระราชหัตถเลขาปริศนาที่ปรากฏในหนังสือของ ว.ช. ประสังสิตแล้ว ยังพบความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีสามนักโทษประหารชีวิตคดีสวรรคตรัชกาลที่ 8 ฎีกาทูลเกล้าฯถวายขอพระราชอภัยโทษ ว.ช. ประสังสิตได้กล่าวว่า “ฎีกาของจำเลยทั้ง 3…ทำขึ้นทูลเกล้าฯถวายฎีกา ได้ผ่านการพิจารณาไปเป็นชั้นๆ ตั้งแต่อธิบดี, เจ้ากระทรวง, คณะรัฐมนตรีและคณะองคมนตรี นำขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าวินิจฉัยให้ยกฎีกาจำเลยทั้ง 3 นั้นเสีย” [4] โดยก่อนหน้าข้อความนี้ ว.ช. ประสังสิตได้กล่าวว่า “..การทูลเกล้าฯถวายขอพระราชทานอภัยโทษ ตามที่ทางราชการเคยพิจารณาเป็นทางปฏิบัติมาแต่ก่อนนั้น..จำเลยผู้ต้องคำพิพากษาของศาลทั้ง 3 ศาลมีพฤติการในการกระทำผิดเป็นอุกฤษฏโทษ…ทางกรมราชทัณฑ์อาจจะระงับฎีกานั้นเสีย ไม่นำฎีกานั้นทูลเกล้าฯถวายขึ้นไป” แต่กรณีของสามนักโทษประหารชีวิตคดีสวรรคตฯ ทางกรมราชทัณฑ์ได้นำเสนอต่อกระทรวงมหาดไทย (ซึ่งขณะนั้น จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นรัฐมนตรีว่าการ/ผู้เขียน) นำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาแนวทางทูลเกล้าฯถวาย (ซึ่งขณะนั้น จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย/ผู้เขียน) และจากนั้นได้นำเสนอสภาองคมนตรีให้พิจารณาอีกขั้นหนึ่ง “ส่วนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงพระมหากรุณาธิคุณเป็นที่ล้นพ้น แม้จะมีพระราชหฤทัยทรงเต็มเปี่ยมไปด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ก็ไม่ทรงมีพระราชหฤทัยเป็นกุศลหรืออกุศลใดๆ ในเรื่องการขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานหรือไม่ เพราะการที่พระองค์ท่านได้ทรงลงพระปรมาภิไธยไปตามที่รัฐบาลได้วางแนวทางไว้ จึงไม่เป็นข้อที่ประชาชนจะพึงต้องวิจารณ์ถึงพระราชอัธยาศัยด้วยข้อหนึ่งประการใดทั้งสิ้น” [5]                                                   

แต่เมื่อสืบค้นรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ 85/2497 วันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2497  พบว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้สอบสวนพิจารณาแล้ว ไม่เห็นควรขอพระราชทานอภัยลดโทษได้ โดยอ้างว่า เรื่องนี้เป็นการประทุษร้ายแก่บุคคลสำคัญของประเทศตามหลักการของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบด้วยแล้วนั้น จะไม่ขอพระราชทานอภัยโทษให้ ควรยกฎีกาเสีย มติ-เห็นชอบด้วยตามกระทรวงมหาดไทย ให้นำความกราบบังคมทูลได้  ซึ่งการที่ ว.ช. ประสังสิตไม่ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงนี้อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ทราบข้อเท็จจริงก็ได้                                                                                     

ส่วนงานวิชาการชิ้นสำคัญที่ศึกษากรณีรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 และได้ถูกอ้างอิงอย่างกว้างขวางต่อๆมาคือ งานของ  สุชิน ตันติกุล รัฐประหาร พ.ศ.2490 ( นครหลวง : สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย,2515/พิมพ์ครั้งแรก), หน้า 128-129 โดยในฐานข้อมูลสถาบันพระปกเกล้าภายใต้หัวข้อ “รัฐประหาร พ.ศ. 2490” ที่เรียบเรียงโดย ณัฐพล ใจจริง ก็อ้างอิงงานชิ้นดังกล่าวของสุชิน และได้เขียนไว้ว่า “….‘คณะรัฐประหาร” ได้ส่งหม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธ์ เป็นผู้แทนเดินทางไปรายงานให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันทรงทราบที่สวิสเซอร์แลนด์ โดยพระองค์ได้ทรงส่งพระราชหัตถเลขาจากเมืองโลซานน์ถึงจอมพล ป. พิบูลสงคราม” [6] เมื่อตรวจสอบ รัฐประหาร พ.ศ.2490 (2557/ฉบับมติชน)  ของ สุชิน พบว่า พระราชหัตถเลขาฯปรากฎอยู่ในหน้า 130-13 แต่ไม่ปรากฏการอ้างอิงหลักฐานที่มา เมื่อสอบถาม สุชิน ตันติกุลว่า มีหลักฐานต้นฉบับพระราชหัตถเลขาฉบับนี้หรือไม่ สุชินตอบว่า ได้อ้างมาจาก ปฏิวัติรัฐประหารและกบฏจลาจลในสมัยประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย และ เบื้องหลังการสวรรคต ร.8 ของวิชัย ประสังสิต                    

อาจจะมีการตั้งสมมุติฐานว่า พระราชหัตถเลขาฉบับนี้น่าจะมาจากหม่อมเจ้าจักรพันธ์ เพ็ญศิริ ที่ทางคณะรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ได้ส่งหม่อมเจ้าจักรพันธ์ไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้าที่โลซานน์ [7] ซึ่งทรงออกเดินทางเมื่อวันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 [8] และในพระราชหัตถเลขาฯ มีข้อความว่า “ฉัน (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้า) ได้รับหนังสือลงวันที่ ๑๔ เดือนนี้” จึงเป็นไปได้ว่า จอมพล ป. พิบูลสงครามได้ฝากหนังสือดังกล่าวแก่หม่อมเจ้าจักรพันธ์เพื่อนำไปกราบบังคมทูลฯ  หม่อมเจ้าจักรพันธ์ทรงเดินทางถึงกรุงลอนดอนวันจันทร์และคาดว่าวันพุธ (วันที่ 19 พฤศจิกายน)  ทรงเดินทางต่อไปยังสวิสเซอร์แลนด์โดยเครื่องบิน [9] และทรงเดินทางกลับถึงประเทศไทยเมื่อวันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2490 และทรงกล่าวว่า พระองค์ได้ทรงกราบบังคมทูลถวายรายงานเกี่ยวกับการรัฐประหารวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงทราบ และทรงรายงานว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพลานามัยดี เว้นแต่เพียงเป็นเป็นหวัดเล็กน้อยในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา และพระองค์ทรงฟังการถวายรายงานเรื่องการรัฐประหารด้วยความสนพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง ทรงถามคำถามหลายข้อ พระองค์มิได้ทรงพระราชทานความเห็นอย่างใดและมิได้ทรงแสดงความรู้สึกอย่างใด แต่ความสนใจที่พระองค์ทรงแสดงออกนั้นเงียบและลึกซึ้งและจริงใจ และพระองค์ทรงพระราชทานแผ่นเสียงที่พระองค์ทรงบันทึกกระแสพระราชดำรัสอวยพรปีใหม่ด้วยพระองค์เองแก่รัฐบาลเพื่อออกอากาศกระจายเสียงในวันส่งท้ายปีเก่า [10] และหม่อมเจ้าจักรพันธ์ได้ทรงรายงานอีกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้ทรงระบุว่าพระองค์จะเสด็จนิวัติสยามก่อนพระราชพิธีถวายพระเพลิงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ [11] ซึ่งรายงานดังกล่าวนี้ต้องตรงกันกับข้อความในพระราชหัตถเลขาฯที่ว่า “การที่ขอให้ฉันกลับเข้าเมืองไทยในโอกาสที่ฉันได้บรรลุนิติภาวะ ณ วันที่ ๕ ธันวาคม ศกนี้นั้น ฉันขอขอบใจมาด้วย นอกจากเวลาจะได้กระชั้นชิดจนเกินไปแล้ว ยังมีเหตุผลอื่น ๆ ซึ่งฉันเข้าไปไม่ได้ ฉันได้สั่งให้หม่อมเจ้าจักรพันธ์ เพ็ญศิริ ไปแจ้งให้เข้าใจโดยละเอียดแล้ว แต่อย่างไรก็ดีฉันมีความประสงค์ที่จะกลับเข้าไปกรุงเทพ ชั่วคราวเพื่อถวายพระเพลิงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศในเดือนมีนาคมหน้านี้ ตามที่ได้กะไว้”

จากข้างต้น จะเห็นได้ว่า รายงานข่าวของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์เกี่ยวกับรายงานการเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้าของหม่อมเจ้าจักรพันธ์จะมีเนื้อหาสาระบางส่วนที่ต้องตรงกันกับความบางตอนในพระราชหัตถเลขาฯ ทำให้อาจคิดไปได้ว่า พระราชหัตถเลขาฉบับนี้มีจริงและเป็นพระราชหัตถเลขาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้าทรงพระราชทานมายังจอมพล ป. พิบูลสครามผ่านหม่อมเจ้าจักรพันธ์ แต่จากรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์เกี่ยวกับการเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของหม่อมเจ้าจักรพันธ์ เพ็ญศิริ ไม่มีการกล่าวถึงการพระราชทานพระราชหัตถเลขาถึงจอมพล ป. พิบูลสงครามแต่อย่างใด และไม่มีการกล่าวถึงหนังสือที่จอมพล ป. พิบูลสงครามได้เขียนกราบบังคมทูลที่ลงวันที่ 14 พฤศจิกายนแต่อย่างใด แต่เอกสารที่หม่อมเจ้าจักรพันธ์นำติดพระองค์ไปด้วยคือ หนังสือพิมพ์ในกรุงเทพทั้งฉบับปกติและฉบับพิเศษทั้งหมดที่รายงานเหตุการ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น [12]                                       

ขณะเดียวกัน มีข้อน่าสังเกตว่า ก่อนที่หม่อมเจ้าจักรพันธ์จะทรงเดินทางไปเข้าเฝ้าฯ ขณะนั้น ประเทศไทยได้มีนายกรัฐมนตรีหลังรัฐประหารแล้ว โดยนายควง อภัยวงศ์เป็นนายกรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรี คณะที่ 19 ตามประกาศพระบรมราชโองการ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2490 กรมขุนชัยนาทนเรนทร ประธานอภิรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการและมีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2490 [13] หากพระราชหัตถเลขาฯฉบับนั้นเป็นของจริง และเป็นพระราชหัตถเลขาฯตอบหนังสือของจอมพล ป. พิบูลสงคราม และหนังสือของจอมพล ป. พิบูลสงครามฉบับนี้ก็มีจริง ข้อสงสัย คือ    

1. จอมพล ป. พิบูลสงครามมีหนังสือไปกราบบังคมทูลฯ ในฐานะอะไร ? เพราะขณะนั้นมีนายกรัฐมนตรีแล้ว หรือจะกระทำการในฐานะ “ผู้บัญชาการทหารแห่งประเทศไทย” ที่ประกาศตั้งโดยพลโทผิน ชุณหะวัณหัวหน้าคณะรัฐประหาร ซึ่งตำแหน่งนี้เทียบเท่าหัวหน้าคณะรัฐประหาร [14]    

2. หากหนังสือของจอมพล ป. พิบูลสงครามมีจริงและฝากหม่อมเจ้าจักรพันธ์ไปกราบบังคมทูลฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯจะทรงมีพระราชหัตถเลขาฯตอบ “หัวหน้าคณะรัฐประหาร” ขณะที่มีนายกรัฐมนตรีที่เป็นทางการหรือ ?      

นอกจากข้อสงสัยดังกล่าวแล้ว และจากที่กล่าวไปก่อนหน้าที่ว่ายังไม่สามารถหาเบาะแสที่มาของพระราชหัตถเลขาวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ได้ ดังนั้น จึงยังไม่สามารถยืนยันได้ว่า พระราชหัตถเลขาฉบับนั้นเป็นของจริง และถ้าเป็นของจริง ก็ยังต้องสงสัยว่า วิชัย ประสังสิตได้มาอย่างไร และทำไมถึงนำมาตีพิมพ์ในหนังสือ เบื้องหลังการสวรรคต ร.8 ที่เผยแพร่หลังเหตุการณ์รัฐประหารเป็นเวลาถึง 8 ปีทั้งที่สาระในพระราชหัตถเลขาฯเป็นคุณมากกว่าจะเป็นโทษต่อการรัฐประหารครั้งนั้น                                                         

นอกจากนี้ จากการสำรวจวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องหลังการตีพิมพ์หนังสือของแฮนลีย์ พบว่า ในวิทยานิพนธ์เรื่อง “การเมืองไทยสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ภายใต้ระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. 2491-2500)” ของณัฐพล ใจจริงที่สำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. 2552  มีการกล่าวว่า “โดยหนังสือพิมพ์ไทยร่วมสมัยได้พาดหัวข่าวขณะนั้นว่า ‘ในหลวงรู้ปฏิวัติ 2 เดือนแล้ว’ ทั้งนี้ พล ท. กาจ กาจสงครามให้คำสัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์ต่อมาว่า เขาได้เคยส่งโทรเลขลับรายงานแผนรัฐประหารให้พระองค์ทรงทราบล่วงหน้า 2 เดือนก่อนลงมือรัฐประหาร” และใส่เชิงอรรถหมายเลข 9 ท้ายข้อความนี้โดยข้อความในเชิงอรรถคือ “เอกราช, 10 พฤศจิกายน 1947.” อันหมายความว่า หนังสือพิมพ์ไทยร่วมสมัยที่ณัฐพลหมายถึงคือ “หนังสือพิมพ์เอกราช” การกล่าวว่า “ในหลวงรู้ปฏิวัติ 2 เดือนแล้ว” อาจตีความได้ว่า ผู้เขียนต้องการสื่อว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงรู้ถึงแผนรัฐประหารล่วงหน้า 2 เดือน และเมื่อพระองค์มิได้ทรงแสดงการคัดค้านแต่อย่างใด ก็หมายความว่าพระองค์ทรงสนับสนุนการทำรัฐประหารอย่างที่แฮนลีย์ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้เป็นเวลา 3 ปี                

หลังจากได้สืบค้นส่วนวารสารและหนังสือพิมพ์ฉบับล่วงเวลา สำนักหอสมุดแห่งชาติ ไม่พบว่ามีหนังสือพิมพ์เอกราชฉบับวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 [15] แต่หลังจากสืบค้นที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ พบว่า มีเอกสารที่มีข้อความหน้าปกว่า “หจช.สบ. 9.2.3/8 – ภาพและข่าวเหตุการณ์ด้านสังคม การเมืองและเศรษฐกิจ – ข่าวการรัฐประหารปี 2490 (พ.ศ. 2488-2491) [หมายเหตุ มีเอกสาร 1 เล่ม จำนวน 118 หน้า และเอกสาร 1 ปึก จำนวน 19 แผ่น] หน้าที่ ๒๗ มีกฤตภาค [16] ที่มีข้อความว่า

“ทหารเข้ายึดการปกครอง....! ในหลวงรู้ปฏิวัติ ๒ เดือนแล้ว ไม่หวั่นเสรีไทยยกทัพมารบ” และหน้าที่ ๒๘ มีกฤตภาครูปหน้าแรกของหนังสือพิมพ์เอกราช The Independence Daily  ฉบับข่าวพิเศษเที่ยง จันทร์ ๑๐ พฤศจิกายน ๙๐ และมีข้อความพาดหัวว่า “คณะรัฐประหารส่งโค๊ต กรมขุนชัยนาทเปนประธานอภิรัฐ ฯ” และมีข้อความในเนื้อข่าวว่า “ในที่สุด ความลึกลับแห่งเหตุการณ์รัฐประหาร ก็ได้ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว ว่าคณะทหารผู้ทำการล้มรัฐบาลและประกาศรัฐธรรมนูญใหม่นี้ ได้มีโค๊ตลับกราบถวายบังคมทูลไปยังโลซานน์ให้ในหลวงทรงทราบล่วงหน้ามาเปนเวลาถึง ๒ เดือนแล้ว ทั้งนี้ปรากฏจากคำให้สัมภาษณ์ของ นอ. หลวงกาจสงคราม แก่นักข่าว นสพ. ที่กระทรวงกลาโหมเช้าวันนี้..” แต่ในหน้าที่ 34 มีกฤตภาคที่มีข้อความจั่วหัวว่า “ในหลวงทรงคาดเรื่องรัฐประหาร” และมีข้อความในเนื้อข่าวว่า “ข่าวใน ‘เอกราช’ และเพื่อน นสพ. บางฉบับที่เสนอข่าว ในหลวงทรงทราบเรื่องการก่อรัฐประหารล่วงหน้ามาเปนเวลา ๒ เดือนแล้วนั้น พอ. หลวงกาจสงครามชี้แจงว่า ที่ได้ให้สัมภาษณ์นั้น พูดเปนใจความว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบเรื่องราษฎรชาวไทยอดอยากมาแล้ว ๒ เดือน และทรงคาดคะเนว่าอาจเกิดรัฐประหารขึ้นก็ได้”                      

จากการให้สัมภาษณ์ครั้งหลังนี้ของหลวงกาจสงครามที่ปฏิเสธเนื้อความที่ปรากฏในข่าวก่อนหน้า ชี้ให้เห็นว่า หลวงกาจสงครามได้ปฏิเสธว่า คณะรัฐประหารได้เคยส่งโทรเลขลับรายงานแผนรัฐประหารให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้าให้ทรงทราบล่วงหน้า 2 เดือนก่อนลงมือรัฐประหาร                         

นอกจากนี้ ใน ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี ณัฐพล ใจจริงได้กล่าวถึงเนื้อหาในพระราชหัตถเลขาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีถึงคณะรัฐประหารว่า “ฉันรู้สึกพอใจยิ่งนักที่ได้ทราบว่าเหคุการณ์ที่บังเกิดขึ้นนี้มิได้เสียเลือดเนื้อและชีวิตของคนไทยด้วยกันเลย” [17] โดยณัฐพลได้ขยายความต่อไปว่าหลังจากที่มีพระราชหัตถเลขาฉบับนี้ พึ่ง ศรีจันทร์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ถูกโค่นล้มไปได้ให้สัมภาษณ์ถึงความเหมาะสมของพระราชหัตถเลขาดังกล่าว โดยณัฐพลได้อ้างอิงแหล่งข้อมูลคือหนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย วันที่ 2 ธันวาคม 2490 และสัจจา วันที่ 6 ธันวาคม 2490 [18]                                                            

จากการสืบค้นหนังสือพิมพ์ทั้งสองฉบับที่หอสมุดแห่งชาตินั้นพบว่าไม่มีหนังสือพิมพ์ตามวันเดือนปีที่ระบุอยู่ในคลังเอกสารของหอสมุดแห่งชาติ กล่าวคือหนังสือพิมพ์ทั้งสองฉบับที่มีอยู่ในคลังนั้นมีเพียงฉบับในปี พ.ศ. 2475 และ พ.ศ. 2500 ตามลำดับ ส่วนการสืบค้นในหอจดหมายเหตุแห่งชาตินั้นมีความเป็นไปได้ว่าหนังสือพิมพ์ทั้งสองฉบับอาจจะเป็นข่าวตัดแปะหรือกฤตภาคที่อยู่ในแฟ้มส่วนบุคคล โดยเฉพาะแฟ้มของเอก วีสกุล ซึ่งได้รวบรวมข่าวสำคัญๆ ในช่วง 25 ปีแรกหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองไว้ไม่น้อย แต่ในช่วงที่ไปทำการสืบค้นนั้น หอจดหมายเหตุแห่งชาติได้เก็บแฟ้มของเอก วีสกุล ไว้ในตู้เก็บเอกสารและปิดผนึกเอาไว้เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อเอกสารจากการก่อสร้างรอบๆ ตัวอาคาร โดยเอกสารนี้จะสามารถสืบค้นได้อีกครั้งราวช่วงต้นปีหน้า นอกจากนี้ได้ทำการสืบค้นเพิ่มเติมในแฟ้มบัญชีรายการข่าวที่พอจะมีอยู่ก็ไม่พบว่ามีการกล่าวถึงหนังสือพิมพ์ทั้งสองฉบับหรือข่าวที่ณัฐพลได้ทำการอ้างอิงเอาไว้                                   

ดังนั้น จากที่กล่าวมาข้างต้น พบว่า ไม่มีหลักฐานใดที่จะกล่าวได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้าทรงสนับสนุนการรัฐประหารวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 เพราะการกล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้าทรงสนับสนุนการรัฐประหารวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ของแฮนลีย์นั้นขาดหลักฐานอ้างอิง และการตีพิมพ์พระราชหัตถเลขาฯ วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2490 ในหนังสือของวิชัย ประสังสิต ก็ไม่มีอ้างอิงและที่ไม่รู้ที่มา และไม่ปรากฏในหนังสือเล่มอื่นใดนอกเหนือไปจากหนังสือของ วิชัย ประสังสิต และการกล่าวว่า “คณะรัฐประหารได้ส่งโทรเลขลับรายงานแผนรัฐประหารให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้าให้ทรงทราบล่วง หน้า 2 เดือนก่อนลงมือรัฐประหาร” ในวิทยานิพนธ์ของณัฐพล ใจจริง ก็พบว่าณัฐพลไม่ได้กล่าวถึงคำสัมภาษณ์ครั้งหลังของหลวงกาจสงครามที่ปฏิเสธการส่งโทรเลขถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้าที่โลซานน์ที่ปรากฎใน “หจช.สบ. 9.2.3/8 – ภาพและข่าวเหตุการณ์ด้านสังคม การเมืองและเศรษฐกิจ – ข่าวการรัฐประหารปี 2490 (พ.ศ. 2488-2491) ในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ"


เชิงอรรถ


[1] Paul Handley, The King Never Smiles: A Biography of Thailand’s Bhumibol Adulyadej, (New Haven: Yale University Press: 2006), pp. 90-91: “All of this—Khuang’s letter and Phibun’s declarations, and the foreign role in politics—must have bewildered King Bhumibol. He had personally endorsed the November 1947 coup. Now he found that his prerogative of signing into office the democratically chosen prime minister and cabinet had been wiped away in an instant by the ambitions of the army, and that his exhortation for moderation and selflessness fell on deaf ears. Whatever the constitution said, the generals did as they pleased. And yet, oddly, Phibun, the throne’s longtime enemy, still asked for the king’s blessing.”

[2] ราชกิจจานุเบกษา, ประกาศ เรื่อง สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดชทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์, เล่ม ๖๓, ตอน ๓๙ ก ฉบับพิเศษ, ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙, หน้า ๔;  อิทธิพล โคตะมี, รัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 พิมพ์เขียน ‘ข้ออ้าง’ การยึดอำนาจในไทย, สถาบันปรีดี พนมยงค์ https://pridi.or.th/th/content/2021/11/887

[3] ว.ช. ประสังสิต, ปฏิวัติรัฐประหารและกบฏจลาจลในสมัยประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย (พระนคร: โรงพิมพ์บริษัทรัฐภักดี: 2492), หน้า 141-153, 165-177; เบื้องหลังการสวรรคต ร. ๘ (พระนคร : สำนักพิมพ์ธรรมเสวี: 2498), หน้า 253-266, 536-538.

[4] ว.ช. ประสังสิต, เบื้องหลังการสวรรคต ร. ๘ (พระนคร : สำนักพิมพ์ธรรมเสวี: 2498), หน้า 553.

[5] ว.ช. ประสังสิต, เบื้องหลังการสวรรคต ร. ๘ (พระนคร : สำนักพิมพ์ธรรมเสวี: 2498), หน้า 553-554.

[6] ณัฐพล ใจจริง, รัฐประหาร พ.ศ. 2490, ฐานข้อมูลสถาบันพระปกเกล้า  

[7] หจช.สบ. 9.2.3/8 – ภาพและข่าวเหตุการณ์ด้านสังคม การเมืองและเศรษฐกิจ – ข่าวการรัฐประหารปี 2490 (พ.ศ. 2488-2491) [หมายเหตุ มีเอกสาร 1 เล่ม จำนวน 118 หน้า และเอกสาร 1 ปึก จำนวน 19 แผ่น], หน้า 28.  Bangkok Post, Monday November 10, 1947, p. 8: “It is now reported that Momchao Chakraphan Pensiri will be sent to Lausanne shortly to inform His Majesty of developments.”

[8] Bangkok Post, Saturday November 15, 1947, p. 8 : “M.C. Chakrapan Pensiri left for Lausanne yesterday morning to inform His Majesty King Phumiphol on events of the last weekend.”

[9] Bangkok Post, Vol. 2, No. 93, Thursday, November 20, 1947: “B.B.C. last night said that Momchao Chakraphan Pensiri arrived at London Monday and was expected to proceed to Switzerland by plane yesterday.”

[10] Bangkok Post, Vol. 2, No. 118, Monday, December 22, 1947: “A phonograph record bearing the New Year message of His Majesty King Phumiphol Aduldej, to be broadcast to the nation on New Year’s Eve, was brought and handed to the government by M.C. Chakraphandhu Pensiri On his return Friday evening from Lausanne, Switzerland, where he had made a report on the November 8 coup’etat, to His Majesty. The message was recorded by His Majesty himself at his home in Lausanne. His Majesty was in good health except for a slight cold on his birthday, December 5, and he listened with great interest to the report on the coup, asking a number of questions, reported Momchao Chakraphandhu. He made no comment and displayed no emotion but the interest he showed was quiet and deep and sincere.”

[11] Bangkok Post, Vol. 2, No. 118, Monday, December 22, 1947: “His Majesty did not indicate that he would return to Siam before the cremation of His royal brother, the late King Ananda Mahidol.”

[12] Bangkok Post, Saturday November 15, 1947, p. 8: “He took with him regular and special editions of all Bangkok papers which reported incidents.”

[13] https://www.soc.go.th/?page_id=5832

[14] ภูริ ฟูวงศ์เจริญ, การเมืองการปกครองไทย: พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ (พ.ศ. 2475-2540), คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 2563, (ปทุมธานี: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์: 2563), หน้า 190.

[15] ได้มีการตรวจสอบการจดแจ้งการพิมพ์กับตำรวจสันติบาลตาม พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์พ.ศ.2484 พบว่าปัจจุบันได้ยกเลิกแล้ว (ตามมาตรา 3 พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550) ไม่มีข้อมูลและการจัดเก็บเอกสารไว้  ได้มีการตรวจสอบวิทยานิพนธ์ “การดำรงอยู่ของหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เอกราช ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคม” ของ พัชราภรณ์ ครุฑเมือง (วิทยานิพนธ์นิเทศศาสตร์มหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. 2552) ระบุว่าจัดตั้งขึ้นเมื่อ 24 มิ.ย.2500 โดยมี เล็ก พิชญกุล เป็นบรรณาธิการ  ได้มีการตรวจสอบบทความบุญเลิศ ครุฑเมือง กล่าวว่าตนเคยเป็นนักเขียนที่ นสพ.เอกราช ระบุว่าจัดตั้งขึ้นเมื่อ 24 มิ.ย.2500 (บุญเลิศ ครุฑเมือง เป็นบิดาของพัชราภรณ์ ครุฑเมือง) หลังจากการตรวจสอบการจดแจ้งการพิมพ์ ISSN ISBN หรือเลขสืบค้นสิ่งพิมพ์ของหนังสือพิมพ์“เอกราช” พบข้อมูลการจดทะเบียนเก่าที่สุดคือ เอกราช เลขทะเบียน 277/2520 ซึ่งสำนักหอสมุดแห่งชาติเพิ่งรับข้อมูลมากจากสันติบาล หนังสือพิมพ์ถ้าจดแจ้งใหม่ต้องจดแจ้งตาม (กฎกระทรวงการจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2551 ข้อ 7) ซึ่งอาจจะไม่พบข้อมูลที่เก่ากว่าปี 2551 เมื่อตรวจสอบหนังสือพิมพ์เอกราช ฉบับจริงที่เก็บไว้ที่หอสมุดแห่งชาติ พบฉบับที่เก่าที่สุดคือ ปีที่ 2 ฉบับที่ 25 วันที่ 25 ต.ค.2502 เมื่อเทียบเวลาการจัดจำหน่ายย้อนหลัง พบว่าหนังสือพิมพ์เอกราช ฉบับแรกจะออกจำหน่ายประมาณวันที่ 25 มิ.ย.2500 จากการสอบถามเจ้าหน้าที่หอสมุดและการสืบค้นไม่พบหนังสือพิมพ์เอกราช อื่นๆที่ส่งสำเนามาเก็บไว้ที่หอสมุดแห่งชาติ และไม่พบหนังสือพิมพ์ชื่อเอกราชในปี พ.ศ.2490

[16] กฤตภาค  คือ ข่าวสาร บทความต่างๆ ที่มีความสำคัญและน่าสนใจ ซึ่งตัดจากหนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร แล้วนำมาผนึกลงบนกระดาษ A4  เว้นจากขอบด้านซ้ายประมาณ 1 นิ้ว เว้นด้านบนและด้านล่างให้พอเหมาะ บอกแหล่งที่มา คือ ชื่อ หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร  ปีที่ ฉบับที่ เดือน ปี  เลขหน้า  นำมาให้บรรณารักษ์ให้หัวเรื่อง  จัดเก็บเข้าแฟ้มตามหัวเรื่อง เรียงก-ฮ  เพื่อให้บริการ    แต่ในปัจจุบันความสำคัญและประโยชน์ในการใช้น้อยลง ดู  กฤตภาค (Clipping) บล็อกแลกเปลี่ยนเรียนรู้ หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์ http://www.snc.lib.su.ac.th/snclibblog/?p=62340

[17] ณัฐพล ใจจริง, ขุนศึก ศักดินา และพญาอินทรี (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2563), หน้า 61.

[18] อ้างแล้ว, หน้า 61 เชิงอรรถที่ 3.