การสืบทอดอำนาจทางการเมืองของคณะราษฎรระหว่าง พ.ศ. 2476-2489

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 13:21, 27 ธันวาคม 2568 โดย Adminkpi (คุย | ส่วนร่วม) (สร้างหน้าด้วย "'''การสืบทอดอำนาจทางการเมืองของคณะราษฎรระหว่าง พ.ศ. 2476-2489''' '''เรียบเรียง : ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร''' '''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร''' กา...")
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

การสืบทอดอำนาจทางการเมืองของคณะราษฎรระหว่าง พ.ศ. 2476-2489

เรียบเรียง : ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร

การสืบทอดอำนาจทางการเมืองของสมาชิกและเครือข่ายของคณะราษฎรเกิดขึ้นได้จากสองสาเหตุ ประการแรกคือ บางมาตราในรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 และพระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระหว่างที่ใช้บทบัญญัติเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475  ประการที่สอง เจตนาของคณะราษฎรที่ต้องการใช้บางมาตราในรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติฯเพื่อสืบทอดอำนาจของตน                                                                                          

สาเหตุจากมาตราในรัฐธรรมนูญฯและพระราชบัญญัติฯ

มาตรา 46 ในรัฐธรรมนูญฯ กำหนดไว้ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วยนายกนายหนึ่ง และรัฐมนตรีอีกอย่างน้อยสิบสี่นาย อย่างมากยี่สิบสี่นาย ในการตั้งนายกรัฐมนตรี ประธานแห่งสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ให้คณะรัฐมนตรี มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน” การกำหนดให้ประธานแห่งสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ หมายถึง ประธานสภาเป็นผู้เสนอชื่อบุคคลให้เป็นคณะรัฐมนตรี นั่นคือ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี และตามหลักการของระบบรัฐสภา ประธานแห่งสภาจะเสนอชื่อบุคคลที่สภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบต่อพระมหากษัตริย์  ความเห็นชอบที่ว่านี้หมายถึง เสียงส่วนใหญ่ของสภาผู้แทนราษฎรจะต้องเห็นชอบบุคคลที่ถูกเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี   มาตรา 47 กำหนดไว้ว่า “นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีอีกสิบสี่นาย ต้องเลือกจากสมาชิกของสภาผู้แทนราษฎร นอกนั้นจะเลือกจากผู้ที่เห็นว่ามีความรู้ความชำนาญเป็นพิเศษ แม้มิได้เป็นสมาชิกของสภาผู้แทนราษฎรก็ได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่อาจดำรงตำแหน่งการเมืองได้” [1]                                          

สาระสำคัญของข้อความในมาตรา 47 คือ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจำนวนสิบสี่นายจะต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร                                                                                                       หากพิจารณาข้อความข้างต้นอย่างผิวเผินย่อมจะเข้าใจไปว่า มาตรา 47 สร้างความเป็นประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นในการเมืองไทยโดยกำหนดให้ฝ่ายบริหารคือนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีกสิบสี่นายต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เพราะโดยปกติ การเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคือการเป็นตัวแทนของประชาชนที่มาการเลือกตั้งโดยประชาชน   ดังที่ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 มาตรา 16  กำหนดไว้ว่า “สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกซึ่งราษฎรเป็นผู้เลือกตั้งขึ้น” [2]                                                            

แต่บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 มาตรา 65 (1) และ (2) กำหนดให้มีสภาผู้แทนราษฎร 2 ประเภทที่มีจำนวนเท่ากัน ประเภทที่ 1 มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมของประชาชน ส่วนประเภทที่ 2 ประกอบด้วยสมาชิก 2  มาจากผู้ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระหว่างเวลาที่ใช้บทบัญญัติเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475” [3]                       

ดังนั้น คำว่า ประธานแห่งสภาในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475  จึงหมายถึง ประธานแห่งสภาผู้แทนราษฎรที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสองประเภท และรายชื่อของคณะรัฐมนตรีที่ประธานแห่งสภาเสนอต่อพระมหากษัตริย์ คือ รายชื่อที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสองประเภทเห็นชอบ   

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 มาจากไหน ?

ตามมาตรา 65 (2)  กำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่สองมาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และเมื่อพิจารณาพระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะพบว่าในพระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระหว่างที่ใช้บทบัญญัติเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่  21 ธันวาคม พ.ศ. 2475  ภาค 2 “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2” มาตรา 47 กำหนดไว้ว่า “ในชั้นต้น พระมหากษัตริย์ทรงประกาศพระราชกฤษฎีกาตั้งสมาชิกประเภทที่ 2 ขึ้นตามรัฐธรรมนูญมาตรา 65” [4]                                                                  

ข้อความใน มาตรา 47 ของพระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระหว่างที่ใช้บทบัญญัติเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 ไม่ได้กล่าวว่า พระมหากษัตริย์มีอำนาจในการเลือกบุคคลและแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่สอง แต่กำหนดให้พระมหากษัตริย์ทรงประกาศพระราชกฤษฎีกาตั้งสมาชิกประเภทที่สองตามมาตรา 65 ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 [5]      

จากมาตรา 47 ในพระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งฯ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่สองจึงมาจากการเสนอรายชื่อจากคณะรัฐมนตรี   และกำหนดให้จำนวนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่สองมีเท่ากับจำนวนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่หนึ่งตามมาตรา 65 ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 และรายชื่อคณะรัฐมนตรีที่จะได้ความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรย่อมจะต้องได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรที่ประกอบได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสองประเภท  

การแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ครั้งแรก: จุดกำเนิดการสืบทอดอำนาจของคณะรัฐมนตรีที่มาจากการทำรัฐประหาร

การแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่สองเกิดขึ้นครั้งแรกตามประกาศพระราชกฤษฎีกาตั้งสมาชิกผู้แทนราษฎรประเภทที่สองในวันที่ 9 ธันวาคม  พ.ศ. 2476 โดยมีพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ [6] นั่นคือ เป็นผู้เสนอรายชื่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่สองมีจำนวนทั้งสิ้น 78 คน เท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่หนึ่งที่มาจากการเลือกตั้งครั้งแรกของประเทศไทย (ซึ่งเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม) ในวันที่  15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2476 [7]        

เมื่อ มาตรา 47 ในพระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระหว่างที่ใช้บทบัญญัติเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2475 กำหนดให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่สอง คณะรัฐมนตรีที่เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่สองเป็นครั้งแรก คือ คณะรัฐมนตรีคณะที่ 4 ของประเทศไทยที่มาจากการทำรัฐประหารวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2476 [8]    คณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 จำนวน 17 คน มีที่เคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไทยชุดชั่วคราวจำนวน 10 คน และมีที่เป็นสมาชิกคณะราษฎรจำนวน 8 คน หลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภท

ที่ 1 ครั้งแรกในช่วงเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2476 คณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 ทั้ง 17 คนนี้ที่ทำหน้าที่รักษาการก่อนจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ได้เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่สองจำนวน 78 คน  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 จำนวน 78 คน เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราวจำนวน 32 คน และเป็นสมาชิกคณะราษฎรจำนวนถึง 47 คน มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด 78 คน  และในจำนวน 78 คนนี้ มีรายชื่อที่ซ้ำกับรายชื่อของคณะรัฐมนตรีคณะที่ 4 จำนวน 13 คน                              

คณะรัฐมนตรีคณะที่ 4 จำนวน 13 คนใน 17 คนก็ได้เลือกตัวเองหรือเห็นชอบที่ตัวเองได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2  ที่มีอำนาจในการเลือกคณะรัฐมนตรีชุดต่อไปร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 ที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม หลังจากมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสองประเภทแล้ว ต่อมาได้มีการแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี คณะที่ 5 ของประเทศไทยตามมาตรา 46 ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475  โดยคณะรัฐมนตรี คณะที่ 5 (16 ธันวาคม 2476 – 22 กันยายน 2477) ที่ได้รับความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์จากสภาผู้แทนราษฎรทั้งสองประเภทที่เข้าประชุม 152 คน [9]  รายชื่อของคณะรัฐมนตรี คณะที่ 5 ทั้ง 18 คนนี้ซ้ำกับรายชื่อของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่สอง 13 คนและที่เคยเป็นคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 เป็นจำนวนทั้งสิ้น 12 คน [10] และนับตั้งแต่รัฐมนตรีจำนวนหนึ่งในคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 แต่งตั้งตัวเองและสมาชิกคณะราษฎรอื่นๆเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ใน พ.ศ. 2476 และให้ความเห็นชอบตัวเองและการสนับสนุนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ที่พวกตนแต่งตั้งให้พวกตนดำรงตำแหน่งคณะรัฐมนตรี คณะที่ 5 และจากนั้น รัฐมนตรีจำนวนหนึ่งในคณะรัฐมนตรี คณะต่อๆมาได้สืบทอดอำนาจตัวเองผ่านการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีโดยการให้ความเห็นชอบตัวเองและการแต่งตั้งและได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ต่อๆไปจนถึง พ.ศ. 2489 ผลที่เกิดขึ้นคือ ระหว่าง พ.ศ. 2476-2489 จะพบว่า เมื่อเทียบจำนวนรัฐมนตรีหรือผู้ใช้อำนาจบริหารที่มาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ที่มาจากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรีกับรัฐมนตรีที่มาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 ที่มาจากการเลือกตั้ง คือ 153:39 คิดเป็นอัตราส่วนเท่ากับ 3.9: 1

หากเกณฑ์ความเป็นประชาธิปไตยหมายถึงตัวแทนประชาชนที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้ใช้อำนาจบริหารผ่านการเป็นรัฐมนตรี  ในส่วนของการใช้อำนาจบริหารจะพบว่า ในช่วงระหว่าง 16 ธันวาคม พ.ศ. 2476 – 11 มิถุนายน พ.ศ. 2489  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 ที่ได้เข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมีส่วนในการใช้อำนาจบริหารเพียง 1 ส่วนเท่านั้น แต่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ที่มาจากการแต่งตั้งโดยคณะรัฐมนตรีมีส่วนใช้อำนาจบริหารถึง 3.9 ส่วน                                                                             

ตลอดระยะเวลา 13 ปี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่อเนื่องยาวนานที่สุดและรองลงมาได้แก่

1.     หลวงศุภชลาศัย (บุง) */** เป็นรัฐมนตรี 9 ใน 12  คณะ (คณะที่ 4-15)  ได้แก่ คณะที่ 4, 5, 6, 7, 8, 10, 11, 12, 14

2.     หลวงสินธุ์สงครามชัย (สินธุ์ กมลนาวิน) */** เป็นรัฐมนตรี 8 ใน 12  คณะ (คณะที่ 4-15)  ได้แก่ คณะที่ 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10, 11

3.     หลวงประดิษฐ์มนูธรรม */** เป็นรัฐมนตรี (รวมนายกรัฐมนตรี) 7 ใน 12  คณะ (คณะที่ 4-15)  ได้แก่ คณะที่ 4, 5, 6, 7, 8, 9, 15 (เว้นช่วงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ระหว่าง พ.ศ. 2484-2488)

4.     จอมพล ป. พิบูลสงคราม */** เป็นรัฐมนตรี (รวมนายกรัฐมนตรี) 7 ใน 12 คณะ (คณะที่ 4-15) ได้แก่ คณะที่ 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10

5.     หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ เป็นรัฐมนตรี 7 ใน 12 คณะ (คณะที่ 4-15) ได้แก่ คณะที่ 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10

6.     เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร์ ณ สงขลา) ** เป็นรัฐมนตรี 6 ใน 12 คณะ (คณะที่ 4-15) ได้แก่ คณะที่ 4, 5, 8, 9, 11, 14

7.     หลวงนฤเบศร์มานิต (สงวน จูฑะเตมีย์) */** เป็นรัฐมนตรี 6 ใน 12 คณะ (คณะที่ 4-15) ได้แก่ คณะที่ 4, 5, 6, 8, 9, 15

8.     นายควง อภัยวงศ์ */** เป็นรัฐมนตรี (รวมนายกรัฐมนตรี) 5 ใน 12 คณะ (คณะที่ 4-15) ได้แก่ คณะที่  8. 9. 10, 11, 14

9.     พระยาพหลพลพยุหเสนา */** เป็นรัฐมนตรี (รวมนายกรัฐมนตรี) 5 ใน 12 คณะ (คณะที่ 4-15) ได้แก่ คณะที่  4, 5, 6, 7, 11

10. หลวงอดุลเดชจรัส  ** (ไม่ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ตั้งแต่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2481)  เป็นรัฐมนตรี 5 ใน 12 คณะ (คณะที่ 4-15) ได้แก่ คณะที่  8, 9, 10, 12, 13

11. พระเวชยันต์รังสฤษฏ์ (มุนี มหาสันทนะ) ** 5 ใน 12 คณะ (คณะที่ 4-15) ได้แก่ คณะที่  7, 8, 9, 11, 14

หากเกณฑ์ความเป็นประชาธิปไตยหมายถึงตัวแทนประชาชนที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติผ่านทางกระบวนการรัฐสภา ในส่วนของการใช้อำนาจนิติบัญญัติจะพบว่า ในช่วงระหว่าง 16 ธันวาคม พ.ศ. 2476 – 11 มิถุนายน พ.ศ. 2489 เนื่องจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 มีจำนวนเท่ากัน ดังนั้น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 1 ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนจึงมีอำนาจนิติบัญญัติเพียง 50% หรือเพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้น

ความเป็นคณาธิปไตยของคณะรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2

ภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 หากพิจารณาจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ระหว่างวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2475 – 11 มิถุนายน พ.ศ. 2489 พบว่า มีจำนวนทั้งสิ้น 96 คน พบว่าในจำนวน 96 คน  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ชุดแรกที่แต่งตั้งเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2476 จำนวน 78 คน ได้รับแต่งตั้ง (หรือแต่งตั้งตัวเองหรือเห็นชอบที่ได้รับแต่งตั้ง) เป็นรัฐมนตรีถึง 47 คน นั่นคือ กว่าครึ่งหนึ่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ชุดแรก 78 คน   และหากนับทั้งหมด 96 คน ผู้ที่ได้เป็นรัฐมนตรีมีจำนวนทั้งสิ้น 51 คน จะพบว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ชุดแรก (78 คน) ได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีมากที่สุดตลอดระยะเวลา 13  ปี                      

นอกจากนี้ ในสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ชุดแรก (แต่งตั้งวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2476) จำนวน 78 คน เป็นสมาชิกคณะราษฎรเสีย 46 คน ต่อมาในการแต่งตั้งเพิ่มหรือไม่ก็สลับกันไปมาก็เป็นบุคคลจากสมาชิกคณะราษฎรเสียส่วนใหญ่   หรือไม่ก็เป็นบุคคลที่เป็นเครือข่ายของรัฐมนตรีที่ทรงอำนาจอิทธิพลทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายสายทหารและคนสนิทของหลวงพิบูลสงครามหรือเครือข่ายสายลูกศิษย์นักกฎหมายและเครือข่ายเสรีไทยของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม        

สาเหตุจากเจตนาของคณะราษฎร

การสืบทอดอำนาจของคณะราษฎรจะไม่เกิดขึ้นหากคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 ที่มาจากการทำรัฐประหารไม่เสนอรายชื่อส่วนใหญ่ที่มีตัวเองและเครือข่ายสมาชิกคณะราษฎรให้ได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2  และระบอบคณาธิปไตยสืบทอดอำนาจตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 ก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นคณาธิปไตยในระดับที่มีความเข้มข้นและ “เป็นพวกเดียวกัน” เสียส่วนใหญ่อย่างที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลา 13 ปี

และหากการเสนอชื่อแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 เป็นไปตามที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเข้าพระทัยในขณะที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 นั่นคือ “เสนอรายชื่อมากกว่าจำนวนสมาชิกที่ต้องการตั้ง เพื่อพระองค์จะได้มีโอกาสเลือก และรับจะพิจารณาคำทักท้วงของพระองค์” คำทักท้วงนี้เป็นไปตามหลักการที่พระองค์ได้วางไว้ ไม่ใช่ให้พระองค์ทรงเพียงลงพระปรมาภิไธยรับรองเท่านั้น ดังที่ปรากฏในพระราชกระแสแลกเปลี่ยนกับคำสนองพระราชบันทึกของคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6 ภายใต้พระยาพหลพลพยุหเสนา ที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2477 - 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 (วันประกาศสละราชสมบัติ) ว่า                                                                                  

“ข้าพเจ้าไม่ได้คัดค้านเป็นลายลักษณ์อักษรต่อวิธีการที่จะเลือกสมาชิกประเภทที่ 2 ดั่งที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติเลือกตั้งผู้แทนราษฎร เพราะว่า                                                              

ก. พระยามโนฯ ได้สัญญาแก่ข้าพเจ้าว่า อันบัญชีรายนามผู้ที่เสนอให้เป็นสมาชิกนั้น จะส่งมาให้ข้าพเจ้าล่วงหน้าเป็นเวลานานก่อนที่จะตราขึ้นเป็นพระราชกฤษฎีกา        

ข. และว่าจะเสนอรายชื่อมากกว่าจำนวนสมาชิกที่ต้องการตั้ง เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีโอกาสเลือกได้บ้าง และรับจะพิจารณาคำทักท้วงของข้าพเจ้า

ค. กับว่าอันบัญชีรายนามนั้นจะได้ทำขึ้นให้ตรงต่อหลักการ ซึ่งข้าพเจ้าได้วางไว้ให้แล้วให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ [11]    

จริงอยู่อันข้อสัญญาต่างๆดังที่ได้กล่าวมาแล้ว มิได้ทำขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรเลย ครั้นเมื่อถึงเวลาที่จะเสนอนามสำหรับคัดเลือกตั้ง พระยามโนฯก็ได้ออกจากตำแหน่งหน้าที่ไปแล้วโดยถูกรัฐประหาร ข้าพเจ้าได้ร้องขอหลายครั้งหลายหนว่า อันบัญชีรายนามผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งนั้นควรเสนอมาให้ข้าพเจ้าโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่อันที่จริงบัญชีรายนามนี้ได้ส่งมาให้ข้าพเจ้าในตอนกลางคืน ก่อนวันซึ่งได้กำหนดไว้สำหรับเป็นวันเปิดสภาผู้แทนราษฎร ความจริงประมาณเพียง 12 ชั่วโมงก่อนที่จะถึงเวลาเริ่มการพิธีเปิดสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น การที่ทำเช่นนี้เห็นได้ชัดๆว่า มุ่งหมายที่จะให้ข้าพเจ้าจำต้องเซ็นอนุมัติรายนามนั้นไปอย่างหลับหูหลับตา จะแสดงความขัดข้องประการใดก็คงจะทำให้การเปิดสภาผู้แทนราษฎรล่าช้าไปอีก และอย่างไรก็ดีก็คงจะไม่เป็นผลประการใดเลย” [12] [13]                                                                                                 

ซึ่งคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6 ได้สนองพระราชกระแสที่ทรงไขข้อความที่ 1 ว่า                                  

“พระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้สัญญาไว้กระไรนั้น รัฐบาลไม่อาจที่จะทราบได้เลย พระยามโนปกรณ์ นิติธาดาได้ปิดบังความจริงที่ได้กราบบังคมทูลไว้ รัฐบาลเพิ่งทราบโดยพระราชบันทึกไขความฉบับหลังนี้เอง    ส่วนรายนามสมาชิกประเภทที่ 2 ซึ่งได้นำทูลเกล้าฯถวาย รับส่งว่า 12 ชั่วโมงก่อนเริ่มพิธีเปิดสภาผู้แทนราษฎรนั้น ความเป็นจริงเป็นดังนี้                                                                               

ในระหว่างที่เกิดกบฏ (กบฏคณะกู้บ้านกู้เมือง ซึ่งต่อมารู้จักกันในนามของ กบฏบวรเดช/ผู้เขียน) พระบาทสมเด็จอยู่หัวได้เสด็จไปประทับที่สงขลา รัฐบาลได้พยายามกราบบังคมทูลขอให้รีบทรงกลับสู่พระนคร เพื่อที่จะได้ทรงพระราชทานความเห็นในการเลือกสมาชิกประเภทที่ 2 แต่พระองค์ก็หาได้เสด็จกลับไม่ คงเสด็จกลับมาถึงกรุงเทพฯ ในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2476  ซึ่งรุ่งขึ้นก็จะเริ่มการเปิดพิธีสภาผู้แทนราษฎร รัฐบาลก็มิได้นิ่งนอนใจ จึงขอพระราชทานโอกาสให้ได้เข้าเฝ้าเพื่อทูลเกล้าฯ ถวายรายนามสมาชิกประเภทที่ 2 ก็โปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าได้ต่อเมื่อเวลาค่ำและขณะที่เฝ้านี้เอง รัฐบาลก็ได้ทูลเกล้าฯ ถวายรายนามสมาชิกประเภทที่ 2 ซึ่งรัฐบาลได้คัดเลือกจากข้าราชการสัญญาบัตร หรือเทียบสัญญาบัตรตามที่ได้กล่าวมาแล้วในตอนบันทึกฉบับก่อน อีกประการหนึ่ง ข้อไขความที่ว่า ในขณะที่เกิดกบฏนั้นยังไม่มีสมาชิกประเภทที่ 2 เลย มีแต่สมาชิกประเภทเดียว กบฏจะมาอ้างถึงสมาชิกประเภทที่ 2 ก็ดูกระไรอยู่” [14]

ที่มีการกล่าวถึงกบฏกับสมาชิกประเภทที่ 2 นั้น ก็เพราะหนึ่งในข้อเรียกร้องของคณะกู้บ้านกู้เมือง ในช่วงเดือนตุลาคม พ.ศ. 2476 (กบฏบวรเดช) คือ การขอให้ “การเลือกตั้งผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 ต้องถวายให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเลือก”  [15]

อ้างอิง


[1] https://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2475/A/529.PDF

[2] https://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2475/A/529.PDF

[3] https://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2475/A/529.PDF

[4] https://dl.parliament.go.th/handle/20.500.13072/16516    แม้ว่าต่อมาจะมีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการเลือกตั้ง พ.ศ. 2476 ฉบับที่ แต่ก็มิได้แก้ไขเพิ่มเติมในส่วนที่ว่าด้วยที่มาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรประเภทที่ 2 https://dl.parliament.go.th/handle/20.500.13072/17656

[5] พระราชกฤษฎีกาคืออะไร ?  พระราชกฤษฎีกา คือ บัญญัติแห่งกฎหมายที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้น โดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี       การที่พระมหากษัตริย์ทรงตรากฎหมายหรือพระราชกฤษฎีกาตามคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี เป็นการใช้อำนาจตาม มาตรา 7 แห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 ดังข้อความดังนี้คือ “พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจบริหารทางคณะรัฐมนตรี” https://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2560/A/040/1.PDF

[6] https://dl.parliament.go.th/handle/20.500.13072/35919

[7] http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=สภาผู้แทนราษฎร#

[8] รัฐประหาร 20 มิถุนายน 2476 ฐานข้อมูลสถาบันพระปกเกล้า https://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=รัฐประหาร_20_มิถุนายน_2476

[9] https://dl.parliament.go.th/handle/20.500.13072/383525

[10] https://www.soc.go.th/?page_id=5754

[11] ผู้เขียนเข้าใจว่า น่าจะเป็นเนื้อหาที่อยู่ร่างรัฐธรรมนูญที่พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯให้พระยาศรีวิสารวาจาและนายเรมอนด์ บี. สตีเวนส์ร่างขึ้นสำหรับการเปลี่ยนแปลงการปกครอง  โดยชี้ว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรควรมีสองประเภท ประเภทแรกมาจากการเลือกตั้ง และประเภทที่สองมาจากการแต่งตั้ง โดยมีจำนวนเท่ากัน โดยข้อดีของสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้งควรจะเป็นบุคคลที่มีประสบการณ์และมีความสามารถในการตัดสินเกี่ยวกับกิจการสาธารณะ (persons of experience and judgment in public affairs) แต่สมาชิกประเภทนี้จะมีข้อเสียตรงที่ไม่เป็นอิสระพอและประชาชนจะไม่ถือว่าเป็นตัวแทน ส่วนสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งจะมีข้อดีตรงที่มีความเป็นตัวแทนประชาชน แต่ข้อเสียอาจจะไม่มีประสบการณ์และวิจารณญาณในการตัดสินเรื่องสาธารณะได้ ดู “An Outline of Changes in the Form of the Government,” ใน แผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบ “ประชาธิปไตย” ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. ๒๔๖๙-๒๔๗๕), สถาบันพระปกเกล้า จัดพิมพ์ในพระราชพิธีเปิดพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว วันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๕, พิมพ์ครั้งที่สี่, หน้า 199.

[12] “พระราชกระแสที่ทรงไขความแก้คำสนองของรัฐบาลในข้อ 1” ใน ชัยอนันต์ สมุทวณิช และ ขัตติยา กรรณสูตร, เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ. 2417-2477, โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์แห่งประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช: 2518), หน้า 383-384.

[13] ผู้สนใจ แนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในการแก้ไขป้องกันไม่ให้เกิดการสืบทอดอำนาจโดยคณะบุคคล โปรดดูเพิ่มเติม แนวพระราชดำริของพระปกเกล้าฯเกี่ยวกับหลักการตรวจสอบถ่วงดุล ฐานข้อมูลสถาบันพระปกเกล้า

[14] “สนองพระราชกระแสที่ทรงไขความข้อ 1” ใน ชัยอนันต์ สมุทวณิช และ ขัตติยา กรรณสูตร, เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ. 2417-2477, โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์แห่งประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช: 2518), หน้า 384.

[15] “กองประวัติศาสตร์ทหารเรือ, แฟ้มกบฏบวรเดช ประกาศและแถลงการณ์ของรัฐบาลเรื่องกบฏ พ.ศ ๒๔๗๖” อ้างใน นิคม จารุมณี, กบฏบวรเดช พ.ศ. ๒๔๗๖, วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต แผนกวิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย พ.ศ ๒๕๑๙, หน้า 268 และดู พระราชโทรเลขถึงพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา, กรมเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ๕๔/๑๖๓, เรื่องพระราชกระแสเตือนรัฐบาลในเรื่องการรับอาสาสมัคร การจับกุมผู้ต้องสงสัยและขอให้อภัยโทษแก่พวกกบฏ และพระราชหัตถเลขาฉบับอื่นๆ, หน้า 203, 206.