การตรวจสอบการเป็นคอมมิวนิสต์ของหลวงประดิษฐ์ฯโดยไม่พิจารณาที่เค้าโครงเศรษฐกิจ
การตรวจสอบการเป็นคอมมิวนิสต์ของหลวงประดิษฐ์ฯโดยไม่พิจารณาที่เค้าโครงเศรษฐกิจ
เรียบเรียง : ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2476 ในเค้าโครงเศรษฐกิจ หลวงประดิษฐ์ฯได้กล่าวว่า “.. เราเกลียดชังลัทธิคอมมิวนิสต์ตามที่ท่านนักปราชญ์ในประเทศไทยท่านกล่าวนั้น และเราไม่ดำเนินวิธีริบทรัพย์มาแบ่งกันดังที่นักปราชญ์ท่านกล่าว” [1]
ต่อมาในกลางเดือนเมษายน หลวงประดิษฐ์ฯได้ยืนยันอีกครั้งว่า “ข้าพเจ้าไม่ใช่คอมมิวนิสต์ และทั้งมิได้นิยมชมชื่นคอมมิวนิสต์แม้แต่น้อยเลย ข้าพเจ้ายอมรับแต่ว่า ข้าพเจ้าเป็นราดิคัล และเป็นราดิคัลที่เป็นไปในแนวของลัทธิโซเชียลลิสต์ (สังคมนิยม/ผู้เขียน)” [2]
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยต่อเค้าโครงเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์ฯว่า “จริงอยู่มิใช่วิธีคอมมิวนิสต์ แต่ก็เป็นวิธีที่รัสเซียเขาใช้อยู่และประเทศต่างๆเขาเห็นว่า วิธีนี้แหละที่เป็นอันตรายแก่สันติสุขของโลก” [3] และ “วิธีดำเนินการนี้ (วิธีการที่หลวงประดิษฐ์ฯเสนอ) อาจไม่เรียกว่าคอมมิวนิสต์ก็ได้ แต่ความจริงมันมีอยู่ว่ารัสเซียใช้อยู่” [4] และทรงเห็นว่า เค้าโครงเศรษฐกิจที่หลวงประดิษฐ์ฯเสนอนั้น “....เป็นโครงการอันเดียวอย่างแน่นอนกับที่ประเทศรัสเซียใช้อยู่ ส่วนใครจะเอาอย่างใครนั้นข้าพเจ้าไม่ทราบ สตาลินจะเอาอย่างหลวงประดิษฐ์ฯ หรือหลวงประดิษฐฯ จะเอาอย่างสตาลินก็ตอบไม่ได้ ตอบได้ข้อเดียวว่า โครงการทั้ง ๒ นี้ เหมือนกันหมด” [5]
วิธีที่รัสเซียใช้อยู่ขณะนั้นเป็นอย่างไร ? นโยบายเศรษฐกิจที่ให้รัฐเป็นเจ้าของที่ดินทำกินส่วนใหญ่หรือทั้งหมดนี้ได้เริ่มขึ้นในสหภาพโซเวียดโดยการประกาศใช้กฎหมายที่ดินปี พ.ศ. 2465 (ค.ศ. 1922 ก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทย 10 ปี) กฎหมายที่ดินโซเวียด พ.ศ. 2465 กำหนดให้มีการเวนคืนที่ดินทั้งหมดเป็นของรัฐ และยกเลิกกรรมสิทธิ์ส่วนตัวในที่ดินและรวมทั้งกรรมสิทธิ์ในทรัพยากรธรรมชาติต่างๆที่อยู่ในที่ดินด้วย เช่น แร่ธาตุ น้ำและป่าไม้ [6] มาตรา 27 ของกฎหมายที่ดินโซเวียด พ.ศ. 2465 ห้ามไม่ให้มีการซื้อขาย ยกให้หรือจำนองที่ดิน แต่อนุญาตให้เช่าที่ดินจากรัฐได้จนถึง พ.ศ. 2471 แต่หลังจากนั้น ได้กำหนดเงื่อนไขการเช่าว่าจะต้องเป็นการเช่าเพื่อการทำการเกษตรรวม (หรือที่คนไทยชอบเรียกกันว่า การทำนารวม) การทำนาของแต่ละครอบครัวที่เช่าที่จากรัฐจะต้องถูกควบรวมเข้าเป็นนารวมขนาดใหญ่โดยรัฐเป็นเจ้าของที่ดิน [7]
อย่างไรก็ตาม การห้ามมีกรรมสิทธิ์ส่วนตัวในที่ดิน ไม่ได้หมายความว่า พลเมืองโซเวียดจะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากที่ดินได้ ครอบครัวในชนบทและในเมืองยังสามารถเพาะปลูกในที่แปลงขนาดเล็กๆได้ สามารถเพาะปลูกพืชพันธุ์สำหรับการบริโภคภายในครอบครัวและเป็นรายได้เสริมให้กับครอบครัว โดยที่ดินแปลงเล็กๆนี้มีชื่อเรียกว่า “แปลงเสริม” (auxiliary plots) [8]
แต่แปลงเสริมนี้ไม่ได้ทำให้ครัวเรือนได้ผลผลิตอะไรมากนัก การผลิตอาหารและการขายอาหารจากรัฐและการทำนารวมจะต้องอยู่ภายใต้แผนเศรษฐกิจและควบคุมโดยรัฐบาลกลาง ขณะเดียวกัน ที่ดินแปลงเสริมไม่ถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัวของครัวเรือน แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ภายใต้แผนเศรษฐกิจและการควบคุมของรัฐก็ตาม เพราะตามกฎหมายที่ดินโซเวียด พ.ศ. 2465 ที่ดินทั้งหมดถูกเวนคืนเป็นของรัฐ ดังนั้น ในกรณีแปลงเสริม รัฐมีอำนาจที่จะกำหนดให้ครอบครัวหรือปัจเจกบุคลได้ใช้ไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือของครอบครัวได้ ซึ่งจริงๆแล้ว การปล่อยให้ครอบครัวหรือปัจเจกบุคคลใช้ประโยชน์จากที่ดินเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเป็นสิ่งที่ขัดต่ออุดมการณ์คอมมิวนิสต์ เพราะอุดมการณ์คอมมิวนิสต์จะไม่ยอมให้มีการใช้ที่ดิน (แม้ว่าจะเป็นของรัฐก็ตาม) ไปเพื่อประโยชน์ส่วนบุคคลได้เลย เพราะผลผลิตจากแปลงเสริมนี้และการปล่อยให้ใช้ที่ดินไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวถือเป็นซากเดนของระบบทุนนิยม [9]
แม้ว่าในสหภาพโซเวียด รัฐจะเป็นเจ้าของที่ดินไม่ต่างจากเค้าโครงเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์ฯ แต่ความแตกต่างคือ โซเวียดใช้วิธีการยึดที่ดินจากประชาชนมาเป็นของรัฐ ส่วนของหลวงประดิษฐ์ฯใช้วิธีให้รัฐบาลบังคับซื้อจากประชาชนโดยออกใบกู้ให้เจ้าของที่ดินถือไว้ตามราคาที่ดิน โดยที่ดินที่รัฐบาลต้องซื้อกลับคืนนี้คือที่ดินที่จะใช้ประกอบการเศรษฐกิจ เช่น ที่นาหรือไร่ ส่วนที่บ้านอยู่อาศัยนั้นไม่จำเป็นที่รัฐบาลต้องซื้อคืน เว้นไว้แต่เจ้าของประสงค์จะขายแลกกับใบกู้ [10]
ต่อความคิดของผู้ที่เป็นอาจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ที่เชื่อว่ามีอิทธิพลต่อหลวงประดิษฐ์ฯในครั้งที่ศึกษาอยู่ที่ฝรั่งเศสและมีอิทธิพลต่อการเขียนเค้าโครงเศรษฐกิจของเขาด้วย ซึ่งเขาได้ร่างเค้าโครงเศรษฐกิจโดยอิงกับคำบรรยายที่เขาได้เรียนที่ปารีส ตำราเศรษฐศาสตร์สองเล่มที่เขาใช้ในช่วงที่เขาศึกษาอยู่และมีอิทธิพลต่อเขาอย่างยิ่ง คือ Cours d’ Economie ของศาสตราจารย์ชาร์ล จี๊ด (Charles Gide ส่วนชื่อหนังสือในฉบับแปลภาษาอังกฤษคือ Political Economy) และ Histoire des Doctrines Economiques ที่เขียนโดยชาร์ล จี๊ด และ ชาร์ล รีสต์ (Charles Rist) แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าศาสตราจารย์จี๊ดเป็นอาจารย์ที่สอนหลวงประดิษฐ์ฯ แต่ชัดเจนว่า ตำราของศาสตราจารย์จี๊ดมีอิทธิพลต่อหลวงประดิษฐ์ฯแน่นอน เพราะหลวงประดิษฐ์ฯกล่าวอ้างอิงศาสตราจารย์จี๊ดโดยตรง [11] เขายังให้มีการแปลตำราของศาสตราจารย์จี๊ดและเผยแพร่ในหมู่สมาชิกของคณะราษฎรด้วย [12] อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์จี๊ดถือเป็นนักเศรษฐศาสตร์สังคมนิยมยุคแรกของฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงระดับเดียวกันกับ แซง ซีมอง (Saint-Simon), ฟูริเยต์ (Fourier) ปรูดอง (Proudhon) และหลุยส์ บลังค์ (Louis Blanc) แต่ไม่ได้มีชื่อเสียงในฐานะนักเศรษฐศาสตร์แนวคอมมิวนิสต์ [13]
ในความเห็นของนักวิชาการตะวันตกที่พิจารณาเค้าโครงเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์ฯต่างมีความเห็นต่างๆกัน
ในความเห็นของเดวิด วัยอาจ (David Wyatt: 1982) เห็นว่าเค้าโครงเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์ฯคลุมเครือไม่ชัดเจนและมีความเป็นอุดมคติ โดยวัยอาจใช้คำว่า utopia ซึ่งมีความหมายหมายถึงสังคมในฝันหรือในอุดมคติที่ไม่มีอยู่จริง และวัยอาจเห็นว่า แนวทางเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์ฯเป็นแบบแผนอย่างสังคมนิยม (socialistic scheme) โดยต้องการให้รัฐบาลนำที่ดินและแรงงานมาเป็นของรัฐ และทำให้ราษฎรทุกคนรวมทั้งชาวไร่ชาวนาในประเทศเข้าสู่ระบบราชการเป็นข้าราชการ และมีโครงการที่จะทำนาในระบบอุตสาหกรรม [14]
จูดิธ สโตว์ (Judith Stowe: 1991) เห็นว่า ในการร่างเค้าโครงเศรษฐกิจ หลวงประดิษฐ์ฯดูจะไม่ตระหนักถึงดุลอำนาจทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปที่เกิดขึ้นหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่ยังคงร่างเค้าโครงเศรษฐกิจประสาคนหนุ่มไฟแรง (ขณะนั้น เขามีอายุเพียง 33 ปี/ผู้เขียน) โดยมุ่งมั่นที่จะทำในสิ่งที่ตั้งใจไว้ แม้จะยากลำบากก็ตาม [15] ซึ่งผู้เขียนตีความว่า ในสายตาของสโตว์ นอกจากเค้าโครงเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์ฯจะมีความเป็นอุดมคติมาก ปัญหาที่หลวงประดิษฐ์ฯไม่ตระหนักคือ การเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจทางการเมือง แทร์วิล (B.J. Terweil: 2005) เขาจัดให้แนวคิดของหลวงประดิษฐ์ฯเป็นพวกหัวรุนแรงที่มีความคิดเป็นอุดมคติมาก (more radical idealists) [16]
สุดท้ายคือความเห็นของลาโปมาเรเด (Baron de Lapomarede: 1934) อดีตผู้ช่วยทูตทหารฝรั่งเศสประจำประเทศไทย เขาได้เขียนบทความเรื่อง “The Setting of the Siamese Revolution” ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2477 [17] ซึ่งในขณะที่เขาเขียนนั้น เขายังไม่ทราบว่าปัญหาความขัดแย้งต่อเค้าโครงเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์ฯจะลงเอยอย่างไร ลาโปมาเรเดกล่าวว่า เขาคาดเดาว่า เค้าโครงเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์ฯน่าจะได้ความคิดมาจากแซงต์ ซิมองและปรูดอง และโดยหลักๆมีการประยุกต์แนวคิดเรื่องการสหกรณ์ของศาสตราจารย์ชาร์ล จี๊ด ในความเห็นของลาโปมาเรเด การปฏิวัติสยามโน้มเอียงไปทางสำนักสังคมนิยมฝรั่งเศส ซึ่งเขาเห็นว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเป็นเช่นนั้น เพราะหลวงประดิษฐ์ฯจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยปารีส แต่ขณะเดียวกัน ก็ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้ที่คณะราษฎรของหลวงประดิษฐ์ฯจะมีนโยบายที่ดินที่ได้รับอิทธิพลจากอุดมการณ์ของซุนยัดเซน ซึ่งหลักการสำคัญสองประการของซุนยัดเซนคือความเสมอภาคในทรัพย์สินและการควบคุมทุนอย่างเข้มงวด [18]
แต่อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาหนังสืออ้างอิงเรื่อง An Economic History of Soviet Russia ของ Lancelot Lawton ในพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จะพบว่าเค้าโครงเศรษฐกิจฯมีความคล้ายคลึงกับแผนเศรษฐกิจของโซเวียดรัสเซียอย่างมาก [19]
ปัจจุบัน หากหากป้อนคำถามให้ AI ว่า “Was Pridi Banomyong’s economic policy influenced by communism ?” (เค้าโครงเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์ได้รับอิทธิพลจากลัทธิคอมมิวนิสม์ไหม ?”
คำตอบที่ได้คือ “Yes, Pridi Banomyong's early economic policies were influenced by socialist and communist principles. He proposed a socialist economic plan shortly after the 1932 Siamese Revolution, which included ideas like nationalizing key industries and land redistribution, reflecting communist influences. While not a full embrace of communism, his plan incorporated several ideas that were also present in communist ideologies, such as a more prominent role for the state in the economy and a focus on reducing economic inequality. These proposals, however, faced strong opposition and ultimately were not fully implemented.” (ใช่ นโยบายเศรษฐกิจในช่วงแรกของปรีดีได้รับอิทธิพลจากหลักการสังคมนิยมและคอมมิวนิสต์ เขาเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจสังคมนิยมหลังจากปฏิวัติสยาม 2475 ไม่นาน ซึ่งมีแนวคิดอย่างการให้อุตสาหกรรมสำคัญเป็นของรัฐและการเวนคืนที่ดิน ซึ่งสะท้อนอิทธิพลแบบคอมมิวนิสต์ แม้ว่าจะไม่ได้รับแนวคิดคอมมิวนิสต์เต็มที่ แต่เค้าโครงฯของเขาได้ผนวกเอาแนวคิดหลายอย่างที่อยู่ในอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ เช่น ให้รัฐมีบทบาทมากขึ้นในเศรษฐกิจและเน้นไปที่การลดทอนความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอเหล่านี้ต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างรุนแรงและในที่สุดก็ไม่ได้นำมาบังคับใช้ได้เต็มที่)
อันที่จริง เมื่อย้อนกลับไปในวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2475 สามเดือนหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง และหกเดือนก่อนจะเกิดปัญหาความขัดแย้งเรื่องเค้าโครงเศรษฐกิจ ได้มีใบปลิวกระจายไปตามถนนต่างๆในกรุงเทพ พิจิตร อุดร หนองคาย สกลนครและนครพนม และเมืองต่างๆที่มีชุมชนชาวเวียดนาม ใบปลิวเขียนขึ้นในนามของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (the Communist Party of Siam) มีข้อความทั้งในภาษาไทย ภาษาจีนและภาษาอังกฤษโดยมีข้อความขึ้นต้นว่า “ชาวนา คนงานและประชาชนที่ถูกกดขี่ของสยาม รัฐบาลทรราชประชาธิปกได้ถูกโค่นล้มลงในแค่คืนเดียว โดนแทนที่โดยรัฐบาลภายใต้รัฐธรรมนูญ แต่รัฐบาลใหม่นี้ เป็นรัฐบาลของประชาชน เพื่อประชาชน โดยประชาชนหรือ ?” และตามมาด้วยการวิพากษ์วิจารณ์สมาชิกคณะราษฎรหลายคนที่ถูกโจมตีว่ามุ่งแต่ผลประโยชน์ส่วนตัว ใบปลิวลงท้ายว่า “ลุกขึ้นเถิด ประชาชนแห่งสยาม ! คณะราษฎรเป็นนักปฏิวัติจอมปลอม ไม่มีทางทำให้พวกเราได้ดีอะไร ชาวรัสเซียเท่านั้นที่เป็นประชาชนกลุ่มเดียวในโลกในขณะนี้ที่มีเสรีภาพและมีความสุขที่แท้จริง เพราะพวกเขาได้กำจัดพวกพระเจ้าซาร์ พวกเจ้าและนักปฏิวัติจอมปลอม และยึดประเทศให้อยู่ในมือของพวกเขา ประชาชนแห่งสยาม เราจงเดินตามรอยเท้าของพี่น้องของเราในรัสเซีย รวมตัวกันต่อต้านกษัตริย์ พวกเจ้าและคณะราษฎร นักปฏิวัติจอมปลอม และลัทธิจักรวรรดินิยม จงสถาปนารัฐบาลโซเวียดแห่งสยามขึ้นเพื่อเราจะได้อิสรภาพและเสรีภาพอันแท้จริง” [20] และใบปลิวนั้นมุ่งโจมตีไปที่หลวงประดิษฐ์ฯโดยมีการกล่าวชื่อของเขาโดยตรง โดยกล่าวหาว่าหลวงประดิษฐ์ฯคือสมาชิกคณะราษฎรที่มุ่งแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวที่สร้างความเสียหายต่อผลประโยชน์ของประชาชนทั่วไป [21]
คำถามที่เกิดขึ้นคือ ทำไมพรรคคอมมิวนิสต์แห่งสยามถึงมุ่งโจมตีไปที่หลวงประดิษฐ์ฯโดยกล่าวหาว่าเขาไม่ทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนจริง แต่กลับมุ่งผลประโยชน์ส่วนตัว และเป็นนักปฏิวัติจอมปลอม ? มีข้อพึงสังเกตว่า ต่อมาในรายงานการประชุมกรรมานุการพิจารณาเค้าโครงเศรษฐกิจแห่งชาติ วันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2475 หลวงประดิษฐ์ฯได้แสดงความเห็นว่า “คนของเราเวลานี้เปรียบเหมือนเด็ก รัฐบาลต้องนำโดยบังคับในทางตรงหรือทางอ้อม ให้ขะมักเขม้นประกอบการเศรษฐกิจ ถ้าเราคงทำตามแบบเก่า การเปลี่ยนแปลงการกครองคราวนี้ไม่มีประโยชน์ เพราะเราไม่ทำสาระสำคัญคือแก้ความฝืดเคืองของราษฎร แบบที่เราจะเดินนั้นต้องเดินทางอย่างอาศัยหลักวิชา อาศัยแผน อาศัยโครงการ วิธีโซเชียลลิสต์เป็นวิธีทางวิทยาศาสตร์โดยแท้ รับรองความเห็นหม่อมเจ้าวรรณ ฯ ว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองคราวนี้ไม่ใช่ coup d’ etat เป็น revolution ทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่ในทางการปกครองซึ่งเปลี่ยนจากพระเจ้าแผ่นดินเดียวมาเป็นหลายคนเท่านั้น” [22] และในรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2475 หลวงประดิษฐ์ฯได้กล่าวว่า “ตามโครงการของนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นลิเบอร์ราลลิสต์ ส่วนของข้าพเจ้านั้น เป็นโซเชียลลิสต์ผสมกับแคปิตาลิสต์……โครงการที่ข้าพเจ้าทำนั้นได้คิดล่วงหน้าไว้ป้องกันคำทำนายภัยแห่งเศรษฐกิจซึ่งจะมีมาในภายหน้า เราจะปล่อยให้เปลี่ยนแปลงไปเองทีละเล็กทีละน้อย (อีโวลูชั่น) แล้วก็จะเป็นประโยชน์อย่างใด ในการที่เราคิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง การที่เราเปลี่ยนแปลงการปกครองก็เพราะจะเปลี่ยนแปลงหลักการต่างๆ ไม่ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรมอย่างของเก่า...” [23]
ต่อมา ได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบการเป็นคอมมิวนิสต์ของหลวงประดิษฐ์ฯขึ้น และผลการตรวจสอบคือ หลวงประดิษฐ์ฯไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์ แต่การตรวจสอบนั้นมิได้ตรวจสอบเค้าโครงเศรษฐกิจ แต่เป็นการสอบถามความเห็นของตัวหลวงประดิษฐ์ฯเองว่าเป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่ เมื่อมีการนำรายงานผลการตรวจสอบต่อสภาผู้แทนราษฎร มีสมาชิกจำนวนหนึ่งไม่เห็นด้วยกับกรอบการตรวจสอบ แต่เสียงส่วนใหญ่เห็นด้วย [24] มีผู้ลงความเห็นว่า “ปัญหาการสอบสวนหลวงประดิษฐ ฯ ว่าเป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่นั้น...ก็เป็นการสอบสวนเพียงเป็นพิธีการเท่านั้น เพราะความมุ่งหมายก็เพียงแต่ว่าเพื่อเป็นการล้างมลทินตัวหลวงประดิษฐ ฯอันเกี่ยวกับข้อหาเป็นคอมมูนิสต์ให้หมดไป เพราะฉะนั้น การสอบสวนจึงมิได้มีความหมายอันใดนัก” [25]
เชิงอรรถ
[1] ชัยอนันต์ สมุทวนิชและขัตติยา กรรณสูตร, เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ. 2517-2477, โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2518), หน้า 265.
[2] วิเทศกรณีย์ (นามแฝง), ความเป็นมาของระบอบประชาธิปไตยของไทย, หน้า 180 อ้างใน ภูริ ฟูวงศ์เจริญ, การเมืองการปกครองไทย: พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ (พ.ศ. 2475-2540), จัดพิมพ์โดย คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์: 2563), หน้า 48.
[3] ชัยอนันต์ สมุทวนิชและขัตติยา กรรณสูตร, เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ. 2517-2477, โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2518), หน้า 285-286.
[4] ชัยอนันต์ สมุทวนิชและขัตติยา กรรณสูตร, เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ. 2517-2477, โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2518), หน้า 328 และส่วนที่ว่า “วิธีดำเนินการนี้ (วิธีการที่หลวงประดิษฐ์ฯเสนอ) อาจไม่เรียกว่าคอมมิวนิสต์ก็ได้ แต่ความจริงมันมีอยู่ว่ารัสเซียใช้อยู่” ดู “Lancelot Lawton ในพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว” ฐานข้อมูลสถาบันพระปกเกล้า
[5] ชัยอนันต์ สมุทวนิชและขัตติยา กรรณสูตร, เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ. 2517-2477, โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2518), หน้า 354.
[6] Land Tenure, Soviet And Post-Soviet, https://www.encyclopedia.com/history/encyclopedias-almanacs-transcripts-and-maps/land-tenure-soviet-and-post-soviet
[7] Land Tenure, Soviet And Post-Soviet, https://www.encyclopedia.com/history/encyclopedias-almanacs-transcripts-and-maps/land-tenure-soviet-and-post-soviet
[8] Land Tenure, Soviet And Post-Soviet, https://www.encyclopedia.com/history/encyclopedias-almanacs-transcripts-and-maps/land-tenure-soviet-and-post-soviet
[9] Land Tenure, Soviet And Post-Soviet, https://www.encyclopedia.com/history/encyclopedias-almanacs-transcripts-and-maps/land-tenure-soviet-and-post-soviet
[10] ชัยอนันต์ สมุทวนิชและขัตติยา กรรณสูตร, เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ. 2517-2477, โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2518), หน้า 248-249.
[11] ชัยอนันต์ สมุทวนิชและขัตติยา กรรณสูตร, เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ. 2517-2477, โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2518), หน้า 255; วิชิตวงศ์ ณ ป้อมเพชร, ดูมโนทัศน์ทางเศรษฐกิจของปรีดี พนมยงค์ ทาบกับ “เศรษฐศาสตร์ของชาร์ลส์ จิ๊ด” ศิลปะวัฒนธรรม, https://www.silpa-mag.com/history/article_10152
[12] ชาร์ลส จี๊ด, แนวคิดเบื้องต้นในเศรษฐวิทยา La premiere notion de l' economic politique, แปลและเรียบเรียงโดย หลวงไพจิตรวิทยการ, (พระนคร : โรงพิมพ์ ส.จ. จำฯ: 2476).
[13] Célestin Bouglé, From ‘Utopian Socialism’ to ‘Industrial Democracy’, Paris, Librairie Armand Colin, 1932 Collection Armand Colin (History & Economics Department) no. 149, Edited by Cayce Jamil, Translated by Shaun Murdock, Published by little big eye publishing, Charlotte, NC, 28205, USA, www.littlebigeyepublishing.com/.
[14] David K. Wyatt, Thailand A Short History, 1st edition 1982, 2nd edition, (Bangkok: Silkworm: 2003), p. 236.
[15] Judith A. Stowe, Siam becomes Thailand: A Story of Intrigue, (Honolulu: University of Hawaii Press: 1991), p. 36.
[16] B.J. Terweil, Thailand’s Political History: From the 13th century to recent times, (Bangkok: River Books: 2005), p. 260.
[17] Baron de Lapomarede, “The Setting of the Siamese Revolution,” Pacific Affairs , Sep., 1934, Vol. 7, No. 3 (Sep., 1934), pp. 251-259
[18] Baron de Lapomarede, “The Setting of the Siamese Revolution,” Pacific Affairs , Sep., 1934, Vol. 7, No. 3 (Sep., 1934), pp. 251-259
[19] ดู Lancelot Lawton , An Economic History of Soviet Russia, (London: Macmillan: 1932) และ Lancelot Lawton ในพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ฐานข้อมูลสถาบันพระปกเกล้า
[20] Bangkok Times Weekly Mail, Oct. 3, 7 and 13, 1932 cited in Judith A. Stowe, Siam becomes Thailand: A Story of Intrigue, (Honolulu: University of Hawaii Press: 1991), p. 47.
[21] Judith A. Stowe, Siam becomes Thailand: A Story of Intrigue, (Honolulu: University of Hawaii Press: 1991), p. 47.
[22] ชัยอนันต์ สมุทวนิชและขัตติยา กรรณสูตร, เอกสารการเมือง-การปกครองไทย พ.ศ. 2517-2477, โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, (กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2518), หน้า 361.
[23] รายงานการประชุมคณะรัฐมนตรี วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2475, วีณา มโนพิโมกษ์, ความขัดแย้งในคณะราษฎร, วิทยานิพนธ์อักษรศาสตรมหาบัณฑิต แผนกวิชาประวัติศาสตร์, บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย พ.ศ. 2520, หน้า 255-256.
[24] “ญัตติของนายฟัก ณ สงขลา เรื่องขอให้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญ ไต่สวนหลวงประดิษฐฯ” ใน รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 2 (สมัยสามัญ สมัยที่สอง) วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2476, หน้า 49-60. ดู กระบวนการ “การสอบสวนหลวงประดิษฐ ฯว่าเป็นคอมมูนิสต์หรือไม่” ใน ความเป็นมาแห่งระบอบประชาธิปไตยของไทย, วิเทศกรณีย์, (พระนคร: ผ่านฟ้าพิทยา: 2511), หน้า 288-354. ดู การประท้วงของสมาชิกสภาฯใน “พิจารณารายงานคณะกรรมการสอบสวนหลวงประดิษฐ ฯ” ใน รายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 24 (สมัยสามัญ สมัยที่สอง) วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2476, หน้า 1518-1536
[25] ความเป็นมาแห่งระบอบประชาธิปไตยของไทย, วิเทศกรณีย์, (พระนคร: ผ่านฟ้าพิทยา: 2511), หน้า 355.






