Firmin Oulès

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 15:12, 19 ธันวาคม 2568 โดย Adminkpi (คุย | ส่วนร่วม) (สร้างหน้าด้วย "'''เรียบเรียง : ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร''' '''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร''' ----'''Firmin Oulès พระอาจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ของพระบาทสมเด็จพระมหาภู...")
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

เรียบเรียง : ศาสตราจารย์ ไชยันต์ ไชยพร

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


Firmin Oulès พระอาจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่เก้า)

         ความตอนหนึ่งใน พระบรมราโชวาทเกี่ยวกับ “เศรษฐกิจพอเพียง”: “……..ก็ขอให้แต่ละคนมีความสำเร็จพอสมควร เศรษฐกิจพอเพียง คือทำให้พอเพียง ถ้าไม่พอเพียงไปไม่ได้ แต่ถ้าทำพอเพียงสามารถนำพาประเทศให้ดี ไปได้ดี….ก็ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จพอเพียง เพื่อให้บ้านเมืองบรรลุความสำเร็จที่แท้จริง  ก็ไม่รู้ คนที่รับพรก็รับไป คนที่ไม่รับพรก็คิดในใจ ขอบใจที่ท่านทั้งหลายมาให้พร เรารับพรของท่าน” [1]      ประเด็นเรื่อง ‘เศรษฐกิจพอเพียง’ ในพระบรมราโชวาทนี้ จะมีนัยและความหมายมากขึ้นกว่าที่เราจะทำความเข้าใจกันไปเอง หากเราทราบว่า พระองค์ได้ศึกษาวิชาอะไรในทางเศรษฐศาสตร์ และศึกษากับใคร ในช่วงที่พระองค์ศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยโลซาน วิชาทางเศรษฐศาสตร์ที่พระองค์ได้ทรงศึกษา ได้แก่ เศรษฐศาสตร์การเมือง สัมมนาเศรษฐศาสตร์การเมือง สถิติ ประวัติลัทธิเศรษฐกิจ และพระองค์ทรงศึกษาวิชาเหล่านี้อย่างเข้มข้น นั่นคือ ทรงลงทะเบียนศึกษาวิชาเหล่านี้ต่อเนื่องตลอดระยะเวลาที่ทรงศึกษาที่มหาวิทยาลัยโลซาน และที่น่าสังเกตคือ วิชาทางเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายที่กล่าวไปนี้ พระองค์ทรงศึกษากับ M. Oulès (Firmin Oulès) เพียงท่านเดียว และหากเรารู้ข้อมูลเกี่ยวกับ M. Oulès ผู้เป็นพระอาจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ที่พระองค์ได้ทรงลงทะเบียนศึกษาวิชาทางเศรษฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์การเมืองกับพระอาจารย์ M. Oulès ถึง ๗ วิชา ตลอดระยะเวลา ๓ ปี อาจจะทำให้เราต้องระมัดระวังในการทำความเข้าใจ “เศรษฐกิจพอเพียง” ของพระองค์มากขึ้นกว่าที่เราจะคิดและตีความไปเองตามความรู้ความเข้าใจที่เราแต่ละคนมีอยู่   [2]                                                                                                                       

Firmin Oulès เป็นลูกศิษย์ที่เก่งที่สุดของ Gaetan Pirou ผู้เป็นศาสตราจารย์ทางเศรษฐศาสตร์แห่งคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบอร์กโดซ์ และมหาวิทยาลัยปารีส มีผลงานมากมายเกี่ยวกับลัทธิเศรษฐกิจและเศรษฐศาสตร์เชิงสถาบันในอเมริกา  Pirou เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการของคณะรัฐมนตรีภายใต้ประธานาธิบดี Paul Doumer หลังจาก Oulès จบการศึกษาจากฝรั่งเศส เขาได้มาเป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยโลซาน และในปีค.ศ. ๑๙๔๗ อันเป็นช่วงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่เก้ายังทรงศึกษากับ Oulès   Oulès ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ อันเป็นตำแหน่งที่ Vilfredo Pareto และ Léon Walras เคยดำรงตำแหน่งนี้มาก่อน [3]                                                                     

หลังจากที่ Oulès สืบทอดตำแหน่งดังกล่าว เขาได้แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างแข็งขันต่อสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นข้อบกพร่องในตัวองค์ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ก่อนหน้าเขา และเขายังไม่เห็นด้วยต่อสภาพเศรษฐกิจโดยทั่วไปในขณะนั้น แม้ว่า Oulès จะเน้นให้ตระหนักถึงความสำคัญของข้อเท็จจริงทางเศรษฐศาสตร์ (economic facts) ดุลยภาพ (equilibrium) และความข้องเกี่ยวกัน (interdependence) ระหว่างเศรษฐศาสตร์และการเมือง อันเป็นแนวคิดที่ Walras และ Pareto เป็นผู้เสนอ แต่ Oulès ก็ได้ชี้ให้เห็นถึงความไร้ประโยชน์และความไม่สอดคล้องกับความจริงของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ก่อนหน้า และยังชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องลดช่องว่างระหว่างทฤษฎีและการปฏิบัติในสาขาเศรษฐศาสตร์การเมืองด้วย เนื่องจาก Oulès มีความเชื่ออย่างแน่วแน่ว่าทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่แท้จริงควรถูกสร้างขึ้นเพื่อให้เกิดความเข้าใจในข้อเท็จจริง และเป็นพื้นฐานที่มั่นคงสำหรับการแก้ไขปัญหาในทางนโยบายเศรษฐกิจ ทั้งนี้ Oulès ยังได้กล่าวถึงความพยายามที่จะเน้นย้ำในความสำคัญของการสร้างความเข้าใจ (Understanding Approach) ในสาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง เสริมต่อจากการสร้างคำอธิบาย (Explaining Approach) อันเป็นแนวทางที่อาจารย์ของเขาใช้ ซึ่งส่งผลให้ Oulès มีความเข้าใจที่ก้าวหน้าขึ้นในสาขาวิชานี้ [4]                                                

ที่สำคัญอย่างยิ่งคือ Oulès ตระหนักถึงความเลวร้ายของระบบเศรษฐกิจสองแบบที่ทรงอิทธิพลและแข่งขันกันอยู่ในเวลานั้น นั่นคือ ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม Oulès พยายามคิดค้นแนวคิดทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ที่ไม่อยู่ภายใต้กรอบทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ทั้งแบบทุนนิยมและสังคมนิยม และมุ่งมั่นที่จะให้ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่เขาคิดค้นขึ้นนี้สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจการเมืองที่สังคมสมัยใหม่ต้องเผชิญ และนั่นเป็นที่มาของการก่อตั้ง สำนักเศรษฐศาสตร์ของ Oulès ที่โลซานน์ โดยเขาและนักวิชาการที่มีแนวคิดร่วมกันได้ตั้งชื่อสำนักเศรษฐศาสตร์นี้ว่า “สำนักเศรษฐศาสตร์แผนใหม่แห่งโลซาน (The New School of Lausanne)”---ซึ่งชื่อ “สำนักเศรษฐศาสตร์แผนใหม่” นี้ของ Oulès ย่อมทำให้เราอดนึกถึง 'เศรษฐกิจพอเพียง' ที่พระองค์ทรงเรียกว่า “ทฤษฎีใหม่” ไม่ได้---โดยความสำคัญหรือคุณูปการของแก่นแนวคิดของสำนักเศรษฐศาสตร์แผนใหม่ของ Oulès คือการเสนอระบบเศรษฐกิจที่กลมกลืน (l’ economie harmonisée) ซึ่งเป็นระบบที่เป็นทางเลือกต่อตัวเลือกที่จำกัดอยู่เพียงระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและแบบสังคมนิยมที่ทรงอิทธิพลอยู่ในขณะนั้น ระบบเศรษฐกิจกลมกลืนจึงเป็น “พลังทางเลือกที่สาม” (the third force) ที่สามารถหลีกเลี่ยงความเลวร้ายของระบบเศรษฐกิจทุนนิยมและสังคมนิยมที่ทรงอิทธิพลอยู่ขณะนั้นได้ ขณะเดียวกัน ระบบเศรษฐกิจกลมกลืนนี้ก็จะยังคงสามารถรักษาเสรีภาพและ “ชีวิตที่ดี” ทางเศรษฐกิจ ไว้ได้ด้วย [5]                                                                                                               

  ระบบเศรษฐกิจที่กลมกลืนนี้ มีฐานคิดว่า ปัญหาทางการเมืองต่างๆเป็นปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่การทำสงคราม และสาเหตุและปัจจัยหลักที่ก่อให้เกิดปัญหาทางการเมืองต่างๆในปัจจุบันคือ ปัญหาเศรษฐกิจ ดังนั้น ถ้าสามารถแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจได้ อันตรายจากสงครามก็จะเป็นเรื่องไกลตัว และการแก้ปัญหาสำคัญทางเศรษฐกิจจะก่อให้เกิดเงื่อนไขความสงบสันติในทางเศรษฐกิจ และปัญหาสำคัญทางเศรษฐกิจที่สังคมสมัยใหม่ต้องเผชิญได้แก่ ความไม่ประสบความสำเร็จในการปรับการผลิตให้เข้ากับการบริโภค, ความขัดแย้งระหว่างแรงงานกับทุน, การที่ยังไม่สามารถค้นพบระบบการกระจายรายได้และทรัพยากรที่เป็นธรรม   สาเหตุสำคัญคือ ทฤษฎีต่างๆไม่ได้สร้างขึ้นบนฐานของข้อเท็จจริง [6] ปัญหาดังกล่าวเหล่านี้ จะต้องได้รับการแก้ไขเยียวยา ถ้าต้องการให้โลกมีสันติภาพ และสำนักเศรษฐศาสตร์แผนใหม่ของ Oulès เชื่อว่าระบบเศรษฐกิจแห่งการประสานกลมกลืนจะช่วยให้เราเห็นว่า เราควรทำอย่างไรถึงจะบรรลุเป้าหมายดังกล่าวนี้ได้ [7]               

นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ที่ศึกษาแนวคิดสำนักเศรษฐศาสตร์แผนใหม่ของ Oulès ชี้ว่า Oulès มิได้มีอิทธิพลแต่ในเฉพาะสวิสเซอร์แลนด์เท่านั้น แต่รวมทั้งฝรั่งเศสและเบลเยี่ยมด้วย และการที่แนวคิดเรื่องเศรษฐกิจกลมกลืนของ Oulès ได้ลงหลักปักฐานในสามประเทศสำคัญในยุโรปนี้ถือว่ามีความชอบธรรมที่คนในโลกภาษาอังกฤษควรจะทำความรู้จัก ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม โดยเฉพาะผู้ที่สนใจในประเด็นความก้าวหน้าขององค์ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ [8]   จาก ประวัติของศาสตราจารย์ Firmin Oulès พระอาจารย์ที่ได้ถวายการสอนในด้านเศรษฐศาสตร์และเศรษฐศาสตร์การเมือง, การก่อกำเนิด ‘สำนักเศรษฐศาสตร์แผนใหม่แห่งโลซาน (The New School of Lausanne)’, และจากบทสัมภาษณ์ที่ในหลวงทรงพระราชทานแก่นิตยสารชื่อ La Tribune de Genève เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๑๔ (1971) ทำให้เราควรพึงตระหนักให้ดีในการตีความและทำความเข้าใจนัยและความหมายของ 'เศรษฐกิจพอเพียง' ของในหลวง โดยใจความตอนหนึ่งที่ทรงพระราชทานสัมภาษณ์คือ “ที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยโลซาน ข้าพเจ้าได้ศึกษาทฤษฎีมาร์กซิสม์ตลอดทั้งภาคการศึกษาภายใต้การสอนของศาสตราจารย์ Oulès และต้องขอขอบคุณบทเรียนเหล่านั้นที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้แน่ชัดว่า...อะไรที่ไม่เหมาะสมสำหรับประชาชนของข้าพเจ้า” [9]   เหตุที่พระองค์ทรงให้ความสำคัญศึกษาทฤษฎีมาร์กซิสม์อย่างยิ่ง Olivier Grivat ได้กล่าวว่า  “ระหว่างที่ทรงศึกษา ณ มหาวิทยาลัยโลซาน ทรงลงทะเบียนเรียนวิชาเกี่ยวกับลัทธิมารก์ซิสม์ทั้งภาคการศึกษา เพื่อศึกษาให้รู้ซึ้งถึงลัทธิดังกล่าว ราวกับทรงจะทราบว่าในเวลาต่อมาลัทธินี้จะแพร่ระบาดไปทั่วดินแดนแหลมทอง...ทรงศึกษารัฐธรรมนูญและระบอบประชาธิปไตย...เพื่อที่จะได้ทรงนำเอาความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ไปพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของไทย” [10]                                           

ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แผนใหม่ของศาสตราจารย์ Oulès ที่เกิดขึ้นจากการเล็งเห็นข้อบกพร่องและความเลวร้ายไม่เฉพาะในระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมเท่านั้น แต่รวมทั้งระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมด้วย จึงเป็น “ทางเลือกที่สาม” ภายใต้ข้อจำกัดของอิทธิพลของสองตัวเลือก ระหว่างระบบทุนนิยมและระบบสังคมนิยม ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แผนใหม่นี้น่าจะเป็นเงื่อนไขสำคัญประการหนึ่งในการทำความเข้าใจพระบรมราโชวาทเกี่ยวกับ “เศรษฐกิจพอเพียง” ของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่เก้า)

ภาพถ่ายการลงทะเบียนเรียนวิชาต่างๆของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่เก้า) ที่มหาวิทยาลัยโลซาน สวิสเซอร์แลนด์


 





ภาพถ่ายการลงทะเบียนเรียนวิชาต่างๆของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่เก้า) ที่มหาวิทยาลัยโลซาน สวิสเซอร์แลนด์






เชิงอรรถ


[1] ข้อความตอนหนึ่งในพระบรมราโชวาทเกี่ยวกับ “เศรษฐกิจพอเพียง”, พระราชดำรัส พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล ในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา

พระราชวังดุสิต วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๘.

[2] ข้อมูลการลงทะเบียนศึกษาข้างต้นได้รับจาก The Archive of the University of Lausanne โดย

ความอนุเคราะห์ของ Mr.Olivier Robert บรรณารักษ์และผู้ดูแลหอจดหมายเหตุทางประวัติศาสตร์แห่ง

มหาวิทยาลัยโลซาน (Archiviste – Archives Historiques, UNIL) เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐

[3] Léon Walras เป็นนักคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลก เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในหมู่ผู้ศึกษาเศรษฐศาสตร์ Vilfredo Pareto เป็นนักคิดทางเศรษฐศาสตร์และสังคมศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลก เป็นที่รู้จักดีสำหรับผู้ที่ศึกษาเศรษฐศาสตร์ สังคมวิทยาและรัฐศาสตร์: “Pareto นักเศรษฐศาสตร์และนักรัฐศาสตร์ชาวอิตาเลียนที่มีชื่อเสียงโด่งดังโดยเฉพาะแนวคิดเรื่องดุลยภาพที่เหมาะสมที่สุดแบบพาเรโต (Pareto Optimality) ในทางเศรษฐศาสตร์ และรวมถึงทฤษฎีเกี่ยวกับชนชั้นนำทางการเมือง (Political Elitism) ในทางรัฐศาสตร์ โดยแนวทางดังกล่าวได้ถูกนำมาพัฒนาสานต่อในงานของ Léon Walras นักเศรษฐศาสตร์ชาวฝรั่งเศสผู้มีชื่อเสียงจากการบุกเบิกแนวทางทฤษฎีเรื่องดุลยภาพทั่วไปในทางเศรษฐศาสตร์ (General Equilibrium Theory) ขึ้น และกลายเป็นแนวทางสำคัญในการศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมืองของสำนักเศรษฐศาสตร์แผนใหม่แห่งโลซานในเวลาต่อมา นอกจากนี้ศาสตราจารย์ Walras ยังได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ประจำสาขาเศรษฐศาสตร์การเมืองที่มหาวิทยาลัยโลซานต่อจาก Pareto และถือเป็นอาจารย์คนสำคัญของศาสตราจารย์ Oulès ผู้ซึ่งรับตำแหน่งศาสตราจารย์ประจำสาขาวิชาดังกล่าวต่อจาก Walras อีกทีหนึ่ง และนำมาพัฒนาสานต่อจนมีชื่อเสียงในปัจจุบัน โดยเฉพาะในแง่ของการเชื่อมโยงข้อเท็จจริงทางเศรษฐศาสตร์เข้ากับแนวทางในเชิงทฤษฎีเพื่อนำมาใช้ปรับปรุงนโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐและเพื่อแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ ๒๐”     ข้อมูลนี้ผู้เขียนได้จากเอกสารชั้นต้น ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศสจาก Mr.Olivier Robert บรรณารักษ์และผู้ดูแลหอจดหมายเหตุทางประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยโลซาน (Archiviste – Archives Historiques, UNIL) เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐

[4] ข้อมูลนี้ได้จาก เอกสารชั้นต้นซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศสจาก Mr.Olivier Robert บรรณารักษ์และผู้ดูแลหอจดหมายเหตุทางประวัติศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยโลซาน (Archiviste – archives historiques, UNIL) เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐

[5]Les Conditions économiques de la paix” by J. F. Beglinger Review by: Peter R. Senn,  Journal of Political Economy, Vol. 61, No. 6 (Dec., 1953), pp. 545-546.

[6] Oulès ยืนยันตาม Walras ว่า การสร้างทฤษฎีเศรษฐศาสตร์จะต้องไม่เกิดขึ้นจากการสร้างทฤษฎีเพื่อความสมบูรณ์สอดคล้องทางทฤษฎีเองหรือเป็นเพียงทฤษฎีที่สวยหรู แต่จะต้องสร้างบนพื้นฐานของความเป็นจริง และสามารถอธิบายปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างภาวะวิสัย ดังที่ Walras ไม่เห็นด้วยกับทรรศนะเกี่ยวกับการสร้างทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ของศาสตราจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงก้องโลกอย่าง Paul Samuelson ดูบทความ (ภาษาอังกฤษ) ที่กล่าวถึง Oulès นี้ใน Renato Cirillo, “The True Significance of Walras’ General Equilibrium Theory,” Revue europeenne des sciences sociales, Tome XIV-1976-No. 37,  p. 6 และดูทรรศนะดังกล่าวของ Paul Samuelson ได้ใน The Collected Scientific Papers of Paul A. Samuelson, edited by Joseph E. Stiglitz, (Cambridge, Mass.: the M.I.T. Press: 1966, 1991), p. 18.

[7] Les Conditions économiques de la paix” by J. F. Beglinger Review by: Peter R. Senn, Journal of Political Economy, Vol. 61, No. 6 (Dec., 1953), pp. 545-546.

[8] Renato Cirillo, The Economics of Vilfredo Pareto, (New York: Frank Cass: 1979), pp. 35-38.

[9] Olivier Grivat, Un roi en suisse: La jeunesse helvetique du roi Bhumibol de Thailande (Lausanne: Favrem, 2011), pp. 123, 125: “À la faculté de droit de l'université de Lausanne, j'ai pu approfondir pendant tout un semestre, sous la direction du professeur Oulès, les théories du marxisme. Et c'est grâce à ces leçons que j'ai pu savoir exactement... ce qui pouvait ne pas convenir à mon peuple !

[10] Olivier Grivat ผู้แต่งหนังสือ Un roi en Suisse-La jeunesse helvétique du roi Bhumibol

de Thaïlande (‘องค์ราชันในสวิตเซอร์แลนด์: พระราชจริยาวัตรเมื่อยังทรงวัยเยาว์ ณ ดินแดนสวิสของ

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชแห่งประเทศไทย’) ซึ่งเป็นงานเขียนเกี่ยวกับพระราช

ประวัติและพระราชจริยาวัตรของในหลวงรัชกาลที่ ๙ เมื่อครั้งประทับอยู่ ณ เมืองโลซาน ดู Olivier Grivat, Un roi en suisse: La jeunesse helvetique du roi Bhumibol de Thailande (Lausanne: Favrem, 2011) ทั้งนี้ Mr.Olivier  Grivat ผู้เขียนหนังสือยังได้มีโอกาสเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ วังไกลกังวล เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๕๒ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมใน

http://www.posttoday.com/kingbhumibol/news/462026