ประชานิยมกับกระบวนการประชาธิปไตย : จากประชานิยมสู่พลเมืองที่มีภูมิคุ้มกัน

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:06, 15 กรกฎาคม 2568 โดย Adminkpi (คุย | ส่วนร่วม)
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง : วิทวัส ชัยภาคภูมิ[1]

บทนำ

             ประเด็นของ "ประชานิยม" นั้นเปรียบเสมือนปรากฏการณ์ทางสังคมและการเมืองที่วนเวียนอยู่ในวงจรของการถกเถียงและวิพากษ์วิจารณ์มาอย่างยาวนาน แม้ว่าแนวคิดนี้จะไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับนักวิชาการและนักการเมือง แต่ความซับซ้อนและความหลากหลายของรูปแบบการแสดงออกของประชานิยมในแต่ละยุคสมัย ทำให้ประเด็นนี้ยังคงเป็นหัวข้อที่น่าสนใจและท้าทายต่อการศึกษาค้นคว้าอยู่เสมอ

             ความน่าสนใจของประชานิยมอยู่ที่ความสามารถในการดึงดูดความสนใจและกระตุ้นอารมณ์ของประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ผ่านการนำเสนอแนวคิดที่เรียบง่าย สร้างความขัดแย้ง และมุ่งเป้าไปที่ความรู้สึกของความไม่พอใจและความต้องการในการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่สังคมกำลังเผชิญกับความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการเมือง

             ผลกระทบของประชานิยมต่อระบบต่าง ๆ ในสังคมนั้น มีความซับซ้อนและหลากหลายมิติ ในระยะสั้น ประชานิยมอาจช่วยสร้างความหวังและกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ในระยะยาวอาจนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ เช่น ความขัดแย้งทางสังคม การลดทอนสถาบันทางการเมือง การบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร และการใช้อำนาจในทางที่ไม่ชอบธรรม นอกจากนี้ ประชานิยมยังอาจส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโดยการนำไปสู่การใช้นโยบายที่ไม่ยั่งยืน และส่งผลกระทบต่อระบบสังคม จนอาจถึงขั้นสร้างความแตกแยกและความไม่ไว้วางใจระหว่างกลุ่มคนในสังคมได้

             การสร้างสำนึกพลเมือง (Civic Awareness) จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถช่วยลดผลกระทบเชิงลบของนโยบายประชานิยม อันเป็นการสร้างความเข้าใจให้ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบในระยะยาวของนโยบายประชานิยม ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายสาธารณะ และกระตุ้นให้ประชาชนมีสำนึกในการตรวจสอบการดำเนินนโยบายของรัฐบาลอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ การสร้างสำนึกพลเมืองยังมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมประชาธิปไตยที่ยั่งยืน โดยการสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคประชาสังคม ส่งเสริมวัฒนธรรมทางการเมืองที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ และสร้างความเชื่อมั่นในระบบการเมืองในระยะยาว

ความหมายและผลกระทบของ “ประชานิยม”  

             แนวคิดของ "ประชานิยม" นั้นมีความหลากหลายและซับซ้อน โดยนักวิชาการได้ให้คำจำกัดความไว้แตกต่างกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นพ้องต้องกัน คือ ประชานิยมมักจะประกอบด้วยองค์ประกอบหลักสามประการที่เชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น ประการแรกคือ การอ้างถึง "ประชาชน" ในฐานะผู้ถูกกดขี่และถูกละเลย โดยตัวแทนของประชานิยมมักจะนำเสนอภาพลักษณ์ของตนเองว่าเป็นผู้พิทักษ์สิทธิ์และผลประโยชน์ของประชาชนที่แท้จริง ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มชนชั้นนำหรือกลุ่มอภิสิทธิ์ชนที่ถูกมองว่าเป็นผู้กดขี่และเอารัดเอาเปรียบ ประการที่สองคือ การสร้างภาพของ "ศัตรู" หรือ "กลุ่มคนร้าย" ซึ่งมักจะเป็นกลุ่มชนชั้นนำ นักการเมืองฝ่ายตรงข้าม หรือสถาบันต่างๆ ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาต่างๆ ในสังคม และประการที่สามคือ การสร้างความขัดแย้งระหว่าง "พวกเรา" กับ "พวกเขา" โดย "พวกเรา" หมายถึงประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ต้องการการเปลี่ยนแปลง ขณะที่ "พวกเขา" หมายถึงกลุ่มชนชั้นนำที่คอยขัดขวางการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

             วาทกรรมของประชานิยมมักจะอาศัยการสร้างภาพลักษณ์ที่เรียบง่ายและชัดเจน เพื่อดึงดูดความสนใจของประชาชน โดยเน้นย้ำถึงความขัดแย้งระหว่างกลุ่มคนดีและกลุ่มคนชั่ว และเสนอแนวทางแก้ไขปัญหาที่ดูเหมือนจะง่ายและรวดเร็ว ซึ่งอาจเป็นการลดทอนความซับซ้อนของปัญหาทางสังคมและการเมือง และอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ขาดเหตุผลและขาดความรอบคอบ

             ประชานิยมเป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่ซับซ้อนและมีมิติที่หลากหลาย ผลกระทบที่เกิดจากประชานิยมนั้นไม่สามารถสรุปได้ง่าย ๆ ว่าเป็นเพียงด้านดีหรือด้านเสีย เนื่องจากประชานิยมสามารถก่อให้เกิดทั้งผลกระทบเชิงบวกและเชิงลบต่อสังคมและการเมือง ขึ้นอยู่กับบริบทและปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง (Galston, 2018)

             ในแง่บวก ประชานิยมอาจเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญในการนำเสนอปัญหาและความต้องการของประชาชนกลุ่มใหญ่ที่ถูกมองข้ามหรือถูกละเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนที่ยากจนและด้อยโอกาส ประชานิยมสามารถกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองที่สำคัญ เช่น การกระจายอำนาจ การลดความเหลื่อมล้ำ และการเพิ่มความโปร่งใสในการบริหารจัดการภาครัฐ นอกจากนี้ ประชานิยมยังสามารถสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของและมีส่วนร่วมทางการเมืองให้กับประชาชนได้มากขึ้น

             อย่างไรก็ตาม ในแง่ลบ ประชานิยมก็อาจนำไปสู่ผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อสังคมและระบอบประชาธิปไตยได้เช่นกัน ประชานิยมมักจะสร้างความขัดแย้งและความแตกแยกในสังคม โดยการแบ่งประชาชนออกเป็นสองฝ่าย คือ "พวกเรา" ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์และถูกกดขี่ และ "พวกเขา" ซึ่งเป็นกลุ่มชนชั้นนำที่คอยขัดขวางการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ ประชานิยมยังอาจนำไปสู่การใช้อำนาจแบบเผด็จการ การละเมิดสิทธิมนุษยชน และการลดทอนสถาบันทางการเมืองที่เป็นประชาธิปไตย (Galston, 2018)

             ผลกระทบอีกประการหนึ่งของประชานิยมคือการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ผู้นำที่นิยมใช้กลยุทธ์ทางประชานิยมมักจะใช้สื่อและโซเชียลมีเดียในการเผยแพร่ข่าวสารที่บิดเบือนหรือเกินจริง เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่เป็นบวกของตนเองและโจมตีฝ่ายตรงข้าม ซึ่งอาจส่งผลให้ประชาชนขาดความสามารถในการตัดสินใจที่ถูกต้องและนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงยิ่งขึ้น

             นอกจากนี้ ประชานิยมยังอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยการนำไปสู่การใช้นโยบายที่ขาดความยั่งยืน เช่น การเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐอย่างมากเกินไป หรือการลดภาษีให้กับกลุ่มคนรวย ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาหนี้สาธารณะและเงินเฟ้อในระยะยาว

             สรุปได้ว่า ประชานิยมเป็นปรากฏการณ์ที่ซับซ้อนและมีหลายมิติ ผลกระทบที่เกิดจากประชานิยมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ เช่น บริบททางสังคมและการเมือง ผู้นำที่นิยมใช้กลยุทธ์ทางประชานิยม และวิธีการดำเนินนโยบายของรัฐบาล การทำความเข้าใจถึงธรรมชาติและผลกระทบของประชานิยมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาเสถียรภาพของระบอบประชาธิปไตย

ตัวอย่างของผลกระทบของนโยบายประชานิยมในระดับโลกและในประเทศไทย

             การใช้ภาพลักษณ์และวาทกรรมของความเป็นประชานิยม ได้ส่งผลกระทบต่อความหลากหลายของสังคม ผ่านการสร้างบรรยากาศแห่งความเกลียดชังและการแบ่งแยกชนชั้น ตัวอย่างเช่น นโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ที่ใช้สโลแกน “ระบายหนองน้ำ (drain the swamp)” เป็นการบอกว่านักการเมืองใน Washington มันเน่าเละเหมือนเป็นหนองน้ำเน่าที่ต้องถูกดูดออกไป เป็นการด่าเสียดสีเพื่อโจมตีกลุ่มนักการเมืองเก่าที่เขาอ้างว่าทุจริตและไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ นอกจากนี้ การที่ทรัมป์โจมตีผู้อพยพและส่งเสริมนโยบายคุ้มครองอุตสาหกรรมภายในประเทศ ยังเป็นการสร้างกำแพงกั้นทางวัฒนธรรมและลดทอนคุณค่าของความหลากหลาย ส่งผลให้เกิดความแตกแยกในสังคมและลดลงของความร่วมมือระหว่างประเทศ (Schroeder, 2020)

             เช่นเดียวกันกับการตัดสินใจของสหราชอาณาจักรในการออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของกระแสประชานิยมที่ได้รับความนิยมในหมู่ประชาชนที่รู้สึกว่าถูกทอดทิ้งจากรัฐบาลและสถาบันต่าง ๆ การลงประชามตินี้เปิดเผยความแตกแยกในสังคมอังกฤษและเป็นผลมาจากความไม่พอใจต่อสถาบันสหภาพยุโรป รวมถึงความต้องการที่จะควบคุมนโยบายภายในประเทศและลดการอพยพเข้าประเทศ แม้จะมีผู้เชี่ยวชาญเตือนถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจและการเมืองที่อาจตามมา แต่การผลักดันให้มีการลงประชามตินี้ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของกลยุทธ์ทางการเมืองแบบประชานิยมที่มุ่งเน้นการสร้างความขัดแย้งระหว่าง "พวกเรา" กับ "พวกเขา" (Iakhnis et al., 2018) กรณีศึกษาทั้งของสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรทำให้เห็นว่า ความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในสองประเทศนี้ ทำให้ประชาชนจำนวนมากรู้สึกถูกทอดทิ้งและมองหาผู้นำที่สัญญาว่าจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชานิยมได้รับความนิยม

             ในเอเชีย Narendra Modi นายกรัฐมนตรีของอินเดีย และพรรค Bharatiya Janata Party (BJP) ของเขาสามารถเอาชนะใจประชาชนด้วยจุดยืนแบบประชานิยมสุดโต่งที่ท้าทายการเมืองแบบดั้งเดิม โดยเสนอแนวทางชาตินิยมฮินดูและหลักการ "อินเดียต้องมาก่อน" ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ Modi ใช้กลยุทธ์หาเสียงคล้ายกับ Donald Trump โดยเน้นการใช้สื่อสังคมออนไลน์ เช่น Twitter มากกว่าสื่อดั้งเดิม จุดมุ่งหมายหลักของ Modi คือการฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของอารยธรรมฮินดู ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งกับวัฒนธรรมอิสลามและชนชั้นนำกลุ่มเดิม รวมถึงการโจมตีสื่อกระแสหลักที่เขาเรียกว่า “สื่อโสเภณี” และ “ผู้นิยมโลกฆราวาสจอมปลอม” แม้ในเลือกตั้งปี 2024 พรรค BJP จะไม่ชนะเสียงข้างมากเด็ดขาดตามคาดหวัง แต่ Modi ยังคงเป็นผู้นำที่มีอิทธิพลในการรวมกลุ่มสังคมฮินดูภายใต้การนำของเขา (Schroeder, 2020)

             ส่วนประชานิยมในยุโรปเป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่ซับซ้อนและหลากหลาย ซึ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา แม้จะมีความแตกต่างกันในด้านอุดมการณ์และนโยบาย แต่พรรคการเมืองแนวประชานิยมในยุโรปก็มีลักษณะร่วมกันหลายประการ เช่น การต่อต้านชนชั้นนำทางการเมืองและเศรษฐกิจ การเน้นชาตินิยมและอธิปไตยของประเทศ และการใช้ประโยชน์จากความไม่พอใจของประชาชนต่อปัญหาต่างๆ เช่น ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ การว่างงาน การอพยพเข้าเมือง และการสูญเสียอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม สาเหตุของการเติบโตของประชานิยมในยุโรปมีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับปัจจัยหลายประการ เช่น วิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 2008 ซึ่งทำให้เกิดความยากลำบากทางเศรษฐกิจและความไม่มั่นคงทางสังคม การอพยพเข้าเมืองจำนวนมาก ซึ่งทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์และความมั่นคงทางวัฒนธรรม และความไม่ไว้วางใจในสถาบันทางการเมืองและชนชั้นนำ ซึ่งถูกมองว่าไม่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชน ผลกระทบของประชานิยมในยุโรปมีความสำคัญและกว้างขวาง ประชานิยมได้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางการเมืองในหลายประเทศ ทำให้พรรคการเมืองแนวประชานิยมได้รับความนิยมและมีบทบาททางการเมืองมากขึ้น นอกจากนี้ ประชานิยมยังทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมืองและสังคมที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างกลุ่มคนที่สนับสนุนและต่อต้านประชานิยม นอกจากนี้ ประชานิยมยังท้าทายการรวมกลุ่มทางการเมืองในยุโรป เช่น สหภาพยุโรป โดยพรรคการเมืองแนวประชานิยมหลายพรรคเรียกร้องให้มีการปฏิรูปหรือแม้กระทั่งการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป อนาคตของประชานิยมในยุโรปยังไม่แน่นอน แต่เป็นที่ชัดเจนว่าประชานิยมจะยังคงเป็นพลังสำคัญในการเมืองยุโรปต่อไปอีกหลายปีข้างหน้า การทำความเข้าใจประชานิยมและผลกระทบของประชานิยมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำความเข้าใจการเมืองและสังคมในยุโรปในปัจจุบัน (Rooduijn, 2013)

             นอกจากผลกระทบทางการเมืองและสังคมแล้ว ประชานิยมยังสามารถนำไปสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจที่ยากจะแก้ไขได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกรณีของเวเนซุเอลา ภายใต้การนำของประธานาธิบดีฮิวโก ชาเวส (Hugo Chávez) และต่อเนื่องโดยประธานาธิบดีนิโคลัส มาดูโร (Nicolás Maduro) นโยบายประชานิยมที่มุ่งเน้นการแจกจ่ายรายได้จากน้ำมันให้กับประชาชน ส่งผลให้เกิดการขาดดุลงบประมาณอย่างรุนแรง รัฐบาลใช้การกู้ยืมเงินจำนวนมากเพื่อลงทุนในโครงการสวัสดิการและการช่วยเหลือทางสังคม ซึ่งนำไปสู่ปัญหาหนี้สาธารณะที่สูงและวิกฤติเศรษฐกิจที่รุนแรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างมาก (Posner, 2016; Hellinger, 2016)

             อาร์เจนตินาภายใต้การนำของประธานาธิบดีเนสตอร์ คิชเนอร์ (Néstor Kirchner) และคริสตินา เฟอร์นันเดซ เดอ คิชเนอร์ (Cristina Fernández de Kirchner) ได้ดำเนินนโยบายประชานิยม เช่น การแจกจ่ายสวัสดิการสังคมและการอุดหนุนราคาสินค้า ซึ่งแม้จะได้รับความนิยมในระยะสั้น แต่กลับนำไปสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงในระยะยาว นโยบายเหล่านี้ส่งผลให้เกิดการขาดดุลงบประมาณและหนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว นำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจและความจำเป็นในการปรับโครงสร้างหนี้ นอกจากนี้ การขาดวินัยทางการคลัง การใช้จ่ายเกินตัว และการสะสมหนี้สาธารณะยังส่งผลให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมา เช่น การขาดดุลการค้าและความไม่มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ (Dornbusch and Sebastian, 1991)

             ประสบการณ์ของเวเนซุเอลาและอาร์เจนตินาแสดงให้เห็นถึงอันตรายของนโยบายประชานิยมที่ไม่ยั่งยืน ซึ่งอาจนำไปสู่หายนะทางเศรษฐกิจได้ แม้ว่านโยบายเหล่านี้จะได้รับความนิยมในระยะสั้น แต่ผลกระทบระยะยาวต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความสมดุลทางการเงินการคลังนั้นสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อประเทศ (Dornbusch and Sebastian, 1991)

             นอกจากปัญหาทางเศรษฐกิจแล้ว นโยบายประชานิยมยังอาจส่งผลเสียต่อเสถียรภาพทางการเมืองและสังคมได้อีกด้วย การมุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการของประชาชนในระยะสั้นโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบระยะยาว อาจนำไปสู่ความไม่ไว้วางใจในความสามารถของรัฐอย่างรุนแรง และสร้างความต้องการการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเกินไปโดยขาดข้อมูลและประสบการณ์ที่เพียงพอ ยิ่งไปกว่านั้น ประชานิยมยังอาจทำให้เกิดความแตกแยกทางสังคม การแบ่งฝ่าย และการทำลายหลักการพื้นฐานของการบริหารบ้านเมืองที่ดี เช่น การตรวจสอบถ่วงดุล การกระจายอำนาจ และการคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวม นอกจากนี้ การใช้นโยบายประชานิยมเพื่อสร้างความนิยมส่วนตัวหรือเพื่อรักษาอำนาจ อาจนำไปสู่การรวบอำนาจ การแทรกแซงการเลือกตั้ง และการทำลายกระบวนการยุติธรรม ซึ่งล้วนเป็นภัยคุกคามต่อระบอบประชาธิปไตย และหลักนิติธรรม (Urbinati, 2013; Weyland, 2020)

             ตัวอย่างเช่น นโยบายประชานิยมในตุรกี ประชานิยมได้รับการนำมาใช้โดยประธานาธิบดีเรเซป ทายยิป เออร์โดกัน (Recep Tayyip Erdoğan) และพรรค AKP (Justice and Development Party) โดยการควบคุมสื่อและการปราบปรามการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง โดยรัฐบาลใช้มาตรการที่เข้มงวดต่อสื่อมวลชนและองค์กรที่วิจารณ์รัฐบาล ซึ่งสะท้อนถึงการใช้อำนาจเพื่อปกป้องตำแหน่งของตนเองและเพิ่มการสนับสนุนจากกลุ่มฐานเสียง (Kılıç, 2015) จึงทำให้ประชานิยมถูกมองว่าเป็นปัญหาของระบอบประชาธิปไตย ส่วนในประเทศไทย ในช่วงทศวรรษ 2540 พรรคไทยรักไทยได้นำเสนอนโยบายหลายอย่างที่ถูกมองว่าเป็นนโยบายประชานิยม ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อดึงดูดคะแนนเสียงจากประชาชน นโยบายเหล่านี้ เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน และโครงการพักหนี้เกษตรกร ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่ประชาชนและมีส่วนสำคัญที่ทำให้พรรคไทยรักไทยได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ความสำเร็จของพรรคไทยรักไทยในการใช้นโยบายประชานิยมเป็นเครื่องมือทางการเมือง ได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ให้กับการเมืองไทย ทำให้พรรคการเมืองอื่น ๆ และผู้นำทางการเมืองต่างหันมาให้ความสำคัญกับนโยบายประชานิยมมากขึ้น เพื่อสร้างแรงสนับสนุนและความนิยมจากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

             เราไม่สามารถเหมารวมได้ว่า ประชานิยมเป็นต้นกำเนิดของวิกฤติปัญหาต่าง ๆ ทั้งในระบบเศรษฐกิจและในระบอบประชาธิปไตย เพราะปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมและเศรษฐกิจไม่ได้มาจากประชานิยมเพียงอย่างเดียว แต่ประชานิยมสามารถเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ปัญหาเหล่านั้นรุนแรงขึ้นหรือทำให้การจัดการปัญหาทำได้ยากขึ้นได้ ประชานิยมมักถูกมองว่าเป็นสาเหตุของปัญหาบางประการ เพราะประชานิยมสามารถส่งผลกระทบในหลายด้าน อาทิ การจัดการงบประมาณ โดยการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นตามนโยบายประชานิยมอาจทำให้เกิดปัญหาหนี้สาธารณะและการขาดดุลงบประมาณ แต่ปัญหาทางการเงินเหล่านี้อาจเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น การจัดการงบประมาณที่ไม่ดี การทุจริต หรือการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ดังนั้น ประชานิยมอาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ปัญหาต่าง ๆ รุนแรงขึ้น แต่ไม่ใช่สาเหตุเดียวของปัญหาทั้งหมด ปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคมมักมีหลายปัจจัยร่วมกันที่ต้องพิจารณาในการวิเคราะห์และการจัดการ (Weyland, 2020)

             โดยสรุป แม้ว่านโยบายประชานิยมจะได้รับความนิยมในระยะสั้นเนื่องจากตอบสนองความต้องการของประชาชนบางกลุ่มได้อย่างรวดเร็ว แต่ในระยะยาวอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของประเทศ เช่น การเพิ่มหนี้สาธารณะ ความไม่ยั่งยืนของเศรษฐกิจ และการบิดเบือนกลไกตลาด นอกจากนี้ แม้ว่านโยบายประชานิยมจะมุ่งเน้นการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย แต่ในบางกรณีอาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้น เนื่องจากการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นพิเศษ ผู้นำที่ใช้นโยบายประชานิยมมักสร้างภาพลักษณ์ของตนเองว่าเป็นตัวแทนของประชาชนที่แท้จริง และอาจสร้างความแตกแยกในสังคม ผู้นำประชานิยมบางคนอาจพยายามลดทอนบทบาทของสถาบันต่าง ๆ เช่น ศาลและสื่อมวลชน เพื่อให้ตนเองมีอำนาจเด็ดขาดมากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนของฝ่ายตรงข้าม สรุปได้ว่าการศึกษาเรื่องประชานิยมเป็นสิ่งสำคัญในการเข้าใจปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นรอบตัว การทำความเข้าใจประชานิยมช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองได้อย่างรอบด้าน และปกป้องระบอบประชาธิปไตยพร้อมทั้งสร้างสังคมที่เป็นธรรมได้ดียิ่งขึ้น

ความหมายของการเป็นพลเมืองตื่นรู้

             ในทางกฎหมาย "พลเมือง" หมายถึง บุคคลที่มีสถานะทางกฎหมายผูกพันกับรัฐหรือประเทศหนึ่ง ซึ่งสถานะนี้ให้สิทธิและกำหนดหน้าที่ต่าง ๆ ที่บุคคลอื่นซึ่งไม่มีสถานะพลเมืองไม่ได้รับ สิทธิและหน้าที่เหล่านี้เป็นองค์ประกอบสำคัญที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและพลเมือง โดยสิทธิที่พลเมืองพึงได้รับมีหลากหลาย เช่น สิทธิในการมีส่วนร่วมทางการเมือง เช่น การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง การสมัครรับเลือกตั้ง หรือการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย นอกจากนี้ พลเมืองยังมีสิทธิในสวัสดิการและบริการต่าง ๆ จากรัฐ เช่น การรักษาพยาบาล การศึกษา และการได้รับความช่วยเหลือเมื่อประสบปัญหาทางเศรษฐกิจหรือภัยพิบัติทางธรรมชาติ นอกจากนี้ พลเมืองยังมีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายจากรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการคุ้มครองสิทธิในชีวิตและทรัพย์สิน การได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม หรือการได้รับความช่วยเหลือจากสถานทูตหรือสถานกงสุลเมื่อเดินทางไปต่างประเทศ ในขณะเดียวกัน พลเมืองก็มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ เพื่อธำรงไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของสังคม นอกจากนี้ พลเมืองยังมีหน้าที่ต้องชำระภาษี ซึ่งเป็นรายได้หลักของรัฐในการนำไปพัฒนาประเทศและให้บริการสาธารณะแก่ประชาชน ในบางประเทศ พลเมืองชายอาจมีหน้าที่ต้องรับราชการทหารเมื่อถึงคราวจำเป็น เพื่อปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและพลเมืองเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งต่อการพัฒนาและความมั่นคงของประเทศ หากรัฐสามารถให้สิทธิและคุ้มครองพลเมืองได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม พลเมืองก็จะเกิดความรักและความผูกพันต่อชาติบ้านเมือง และพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนเองเพื่อสร้างสรรค์สังคมให้เจริญก้าวหน้าต่อไป (Leydet, 2023)

             อย่างไรก็ตาม ความเป็นพลเมืองไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่สถานะทางกฎหมายและสิทธิหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในโครงสร้างและกระบวนการทางสังคม พลเมืองที่ดีควรตระหนักถึงบทบาทของตนเองในการสร้างสรรค์สังคมให้เป็นธรรมและเท่าเทียม มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและเสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ตลอดจนตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลและองค์กรต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนได้รับการปฏิบัติอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมกัน การเป็นพลเมืองที่ดีจึงไม่ใช่เพียงการได้รับสิทธิและปฏิบัติตามหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางและอนาคตของสังคมด้วย พลเมืองที่ดีควรมีความตื่นตัวทางการเมืองและสังคม ติดตามข่าวสารบ้านเมือง มีความรู้ความเข้าใจในประเด็นสาธารณะ และสามารถวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารได้อย่างมีวิจารณญาณ นอกจากนี้ พลเมืองที่ดีควรมีความกล้าหาญที่จะแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ เสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหา และร่วมมือกับผู้อื่นเพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น

             การตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลและองค์กรต่าง ๆ ก็เป็นอีกหนึ่งบทบาทสำคัญของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย พลเมืองที่ดีควรตระหนักว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย และรัฐบาลมีหน้าที่รับใช้ประชาชน ดังนั้น พลเมืองจึงมีสิทธิและหน้าที่ในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล เพื่อให้มั่นใจว่ารัฐบาลดำเนินการตามนโยบายที่ได้สัญญาไว้ และใช้อำนาจโดยชอบธรรม โปร่งใส และเป็นธรรม ด้วยเหตุนี้ ความเป็นพลเมืองจึงเป็นแนวคิดสำคัญที่สนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกคนในระบอบประชาธิปไตยที่คำนึงถึงความยุติธรรมในสังคม การสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นพลเมืองให้กับประชาชนทุกคนจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน การศึกษา การอบรม และการสร้างพื้นที่สำหรับการมีส่วนร่วมของประชาชน ล้วนเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมความเป็นพลเมืองที่ดี และสร้างสังคมประชาธิปไตยที่เข้มแข็งและยั่งยืน (Print, 2008) (Pancer, 2015)

             จากคำจำกัดความทั้งสองลักษณะข้างต้น ในบทความนี้จึงให้ความหมายของคำว่า "พลเมืองในระบอบประชาธิปไตย" (Democratic Citizen) ว่าเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการธำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

             ด้วยเหตุนี้ ความเป็นพลเมืองจึงเป็นแนวคิดสำคัญที่สนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกคนในระบอบประชาธิปไตยที่คำนึงถึงความยุติธรรมในสังคม การสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับความเป็นพลเมืองให้กับประชาชนทุกคนจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน การศึกษา การอบรม และการสร้างพื้นที่สำหรับการมีส่วนร่วมของประชาชน ล้วนเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมความเป็นพลเมืองที่ดี และสร้างสังคมประชาธิปไตยที่เข้มแข็งและยั่งยืน การปลูกฝังจิตสำนึกพลเมืองตั้งแต่เยาว์วัย ผ่านการศึกษาในโรงเรียนและกิจกรรมต่าง ๆ จะช่วยให้เยาวชนเติบโตขึ้นมาเป็นพลเมืองที่มีคุณภาพ พร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศชาติต่อไป

             การสร้างสังคมที่มีพลเมืองตื่นรู้และมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม เป็นภารกิจที่ท้าทาย แต่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการพัฒนาประชาธิปไตยที่ยั่งยืนในประเทศไทย หากทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการเป็นพลเมืองที่ดี และร่วมมือกันสร้างสรรค์สังคมให้เป็นธรรมและเท่าเทียม เราจะสามารถสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับประเทศชาติได้อย่างแน่นอน การเป็นพลเมืองที่ดีจึงไม่ใช่เพียงการได้รับสิทธิและปฏิบัติตามหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางและอนาคตของสังคมด้วย พลเมืองที่ดีควรมีความตื่นตัวทางการเมืองและสังคม ติดตามข่าวสารบ้านเมือง มีความรู้ความเข้าใจในประเด็นสาธารณะ และสามารถวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารได้อย่างมีวิจารณญาณ นอกจากนี้ พลเมืองที่ดีควรมีความกล้าหาญที่จะแสดงความคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์ เสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหา และร่วมมือกับผู้อื่นเพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น โดยยึดมั่นในหลักการของความเสมอภาค ความยุติธรรม และความรับผิดชอบต่อส่วนรวม การมีส่วนร่วมดังกล่าวอาจแสดงออกผ่านการทำกิจกรรมเพื่อสังคม การมีส่วนร่วมทางการเมือง เช่น การเข้าร่วมการเลือกตั้ง การแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะ หรือการเข้าร่วมองค์กรพัฒนาเอกชน และการใช้สิทธิทางการเมืองอย่างสม่ำเสมอ เช่น การตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล การเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการตามนโยบายที่ได้สัญญาไว้ หรือการเข้าร่วมการชุมนุมประท้วงอย่างสันติ

             โดยนัยยะข้างต้นนี้ พลเมืองในระบอบประชาธิปไตย คือ บุคคลที่มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย และมีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์สังคมที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โดยยึดมั่นในหลักการพื้นฐานของความเสมอภาค ความยุติธรรม และความรับผิดชอบต่อส่วนรวม พลเมืองประชาธิปไตยจึงไม่เพียงแต่เป็นผู้รับสิทธิเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายและการตัดสินใจที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของตนเองและชุมชน โดยการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น การเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม และการใช้สิทธิทางการเมืองอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเลือกตั้ง การเข้าร่วมการประชุมชุมชน หรือการเป็นอาสาสมัคร ซึ่งลักษณะเด่นของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย คือ การมีความตระหนักถึงสิทธิและเสรีภาพของตนเอง พร้อม ๆ กับความรับผิดชอบต่อสังคม การมีความคิดวิเคราะห์ที่เป็นเหตุเป็นผล และความสามารถในการทำงานร่วมกับผู้อื่นเพื่อประโยชน์ส่วนรวม พลเมืองประเภทนี้มักจะมีความสนใจในประเด็นสาธารณะ และมีความปรารถนาอย่างแรงกล้า ที่จะเห็นสังคมเกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน

             ลักษณะของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่กล่าวมาข้างต้น สอดคล้องกับแนวคิดของ "พลเมืองตื่นรู้" (Active Citizen) ซึ่งเป็นพลเมืองที่มีความตระหนักรู้เกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของตนเอง มีความกระตือรือร้นในการมีส่วนร่วมทางการเมืองและสังคม และมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น พลเมืองตื่นรู้เป็นกำลังสำคัญในการสร้างสังคมประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง ยุติธรรม และมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม

             พลเมืองตื่นรู้ หรือ Active Citizen คือ ตัวอย่างที่ชัดเจนของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่เป็นแบบอย่าง พวกเขาไม่เพียงแต่ตระหนักถึงสิทธิและหน้าที่ของตนเองเท่านั้น แต่ยังมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ อย่างแข็งขัน เป็นผู้ริเริ่มและขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ทั้งในระดับชุมชนและระดับประเทศ พลเมืองตื่นรู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างวัฒนธรรมการมีส่วนร่วม ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วน และสร้างสังคมที่เป็นประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง พวกเขาเป็นกระบอกเสียงของประชาชน เป็นผู้ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล และเป็นผู้ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม

             ที่สำคัญ พลเมืองในระบอบประชาธิปไตย คือ ผู้ที่จะค้ำยันระบอบประชาธิปไตยในยามที่ระบบต่าง ๆ เช่น ตุลาการ และนิติบัญญัติ ไม่สามารถถ่วงดุลอำนาจได้ อันเนื่องมาจากผลกระทบของประชานิยม เนื่องจากพลเมือง คือ ผู้คนหมู่มากและเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย การมีพลเมืองที่ตื่นรู้และตระหนักถึงบทบาทของตนเองจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการปกป้องและธำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตย

             เพื่อที่จะส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน จึงมีการให้ความสำคัญในการศึกษาเพื่อผลิตพลเมืองในระบอบประชาธิปไตย โดยการปลูกฝังให้นักเรียนรู้จักสิทธิและหน้าที่ตั้งแต่วัยเรียน เช่น การเลือกตั้งสภานักเรียน และการปลูกจิตสำนึกค่านิยมในระบอบประชาธิปไตย ผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ของสถาบันพระปกเกล้าในเรื่องการสร้างสำนึกพลเมือง การสร้างพลเมืองตื่นรู้ตั้งแต่เยาว์วัยจะช่วยให้สังคมไทยมีพลเมืองที่มีคุณภาพ มีความรู้ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย และพร้อมที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าต่อไป

การสร้างสำนึกพลเมือง: ภูมิคุ้มกันของประชาชน

             นโยบายประชานิยมนั้นเปรียบเสมือน "ยาแก้ปวด" ที่รัฐบาลหรือผู้มีอำนาจใช้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนในระยะสั้น มุ่งเน้นการตอบสนองความต้องการเฉพาะหน้าและสร้างความพึงพอใจให้กับประชาชนในวงกว้าง ซึ่งมักจะได้ผลในการเรียกคะแนนนิยมและสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาล อย่างไรก็ตาม นโยบายประชานิยมมักจะมองข้ามการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ และอาจก่อให้เกิดผลกระทบในระยะยาว เช่น ภาระหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น การบิดเบือนกลไกตลาด หรือการสร้างค่านิยมที่ไม่พึ่งพาตนเอง

             ในทางตรงกันข้าม การสร้างสำนึกพลเมืองเปรียบเสมือน "การสร้างภูมิคุ้มกัน" ให้กับสังคม เพื่อให้สังคมสามารถรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างยั่งยืน แนวทางนี้มุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพของประชาชนให้มีความรู้ ความเข้าใจ และทักษะในการแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง โดยส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน ไปจนถึงระดับประเทศ พลเมืองตื่นรู้ (Active Citizen) ซึ่งเป็นผู้ที่ตระหนักถึงปัญหาในสังคม เข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตนเอง และพร้อมที่จะลงมือแก้ไขปัญหาด้วยตนเองร่วมกับคนในชุมชน ถือเป็นหัวใจสำคัญของแนวทางนี้

             แม้ว่านโยบายประชานิยมอาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อเศรษฐกิจและสังคม ทั้งยังอาจบ่อนทำลายสถาบันทางการเมืองแบบประชาธิปไตย แต่การหลีกเลี่ยงนโยบายประเภทนี้โดยสิ้นเชิงก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เนื่องจากการตีความว่านโยบายใดเป็นประชานิยมหรือไม่นั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและขึ้นอยู่กับบริบททางสังคมและการเมืองที่แตกต่างกันไป ยิ่งไปกว่านั้น การจำกัดหรือกีดกันการแสดงออกทางนโยบายของตัวแสดงทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองหรือผู้สมัครรับเลือกตั้ง อาจส่งผลกระทบต่อหลักการประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารและตัดสินใจเลือกตัวแทนของตนเอง

             ดังนั้น การแก้ไขปัญหาผลกระทบจากนโยบายประชานิยมจึงไม่ควรกระทำโดยการจำกัดเสรีภาพในการนำเสนอนโยบาย แต่ควรหันมาให้ความสำคัญกับการสร้างสำนึกพลเมือง (Civic Awareness) ซึ่งเป็นแนวทาง "ล่างขึ้นบน" ที่เน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับบุคคล ครอบครัว ชุมชน ไปจนถึงระดับประเทศ โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาความรู้ ความเข้าใจ และทักษะของพลเมือง เพื่อให้สามารถระบุปัญหา วิเคราะห์สาเหตุ และร่วมกันหาทางออกอย่างสร้างสรรค์ แม้ว่าการสร้างสำนึกพลเมืองอาจต้องใช้เวลาและความพยายามมากกว่าการใช้นโยบายประชานิยม แต่ผลลัพธ์ที่ได้คือการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อสังคมในระยะยาว เพราะพลเมืองที่ตื่นรู้และมีความรับผิดชอบต่อสังคม จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า และเป็นเกราะป้องกันที่แข็งแกร่งต่อภัยคุกคามจากประชานิยมหรือการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรม

             โดย KPI YEARBOOK 2024 ฉบับนี้ จะแสดงให้เห็นถึง แนวคิดด้านประชานิยมกับกระบวนการประชาธิปไตย ที่มุ่งศึกษาและนำเสนอในหลักการ แนวคิด รูปแบบ ตลอดจนแนวทางที่เหมาะสมที่ระบอบประชาธิปไตยจะใช้ในการควบคุมนโยบายประชานิยม โดยประกอบไปด้วยบทความจำนวน 10 เรื่อง แบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ ส่วนแรก ข้อความคิดหลัก (Core Concept) กล่าวถึงแนวคิดทฤษฎี หลักการ และขบวนการประชานิยมทั่วโลก แนวคิดความสัมพันธ์ระหว่างประชานิยมกับระบอบประชาธิปไตย ส่วนที่สอง นำเสนอแนวคิดประชานิยมกับมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง รวมไปถึงการมีส่วนร่วมของประชาชนในการออกเสียง ตรวจสอบการดำเนินนโยบายประชานิยม และส่วนที่สาม เป็นข้อพิจารณาถอดบทเรียนจากกรณีต่างประเทศ ที่จะนำไปสู่ข้อเสนอแนะสำหรับการปรับใช้และพัฒนานโยบายประชานิยมในประเทศไทย

รายการอ้างอิง

Bonikowski, B., Halikiopoulou, D., Kaufmann, E., and Rooduion , M.  (2018).  Populism and Nationalism in a Comparative Perspective: a Scholarly Exchange.  Nations and Nationalism, 1-24.  Retrieved from https://scholar.harvard.edu/files/bonikowski/

files/bonikowski_et_al.__populism_and_nationalism_in_a_comparative_perspective.pdf

Evgeniia Iakhnis1, Brian Rathbun1, Jason Reifler2 and Thomas J. Scotto. (2018). Populist referendum: Was 'Brexit' an expression of nativist and anti-elitist sentiment?, Research and Politics April-June 2018: 1-7. Retrieved from https://journals.sagepub.com/doi/10.1177/2053168018773964Levitsky, S., & Roberts, K. M.  (2011).  The Resurgence of the Latin American Left.  Baltimore: Johns Hopkins University Press.

Dornbusch, R., & Sebastian, E.  (1991). The Macroeconomics of Populism. In R. Dornbusch, and E. Sebastian (Eds.), The Macroeconomics of Populism in Latin America (pp. 7-13).  Chicago: University of Chicago Press.

Galston, W. A.  (2018).  The Populist Challenge to Liberal Democracy.  Retrieved from https://www.brookings.edu/articles/the-populist-challenge-to-liberal-democracy/

Hellinger, D.  (2016).  Venezuela: Revolution as a Process.  Texus: University of Texas Press.

Holshek, C.  (2019).  Populism’s Call to Citizenship.  Sicherheit Und Frieden (S+F) / Security and Peace, 37(1), 8-12.

Kılıç, A.  (2015).  Erdogan’s Populism: The Changing Dynamics of Turkish Politics.  Turkish Review, 4(1), 35-50.

Leydet, D.  (2023).  Citizenship and Civic Identity: Theoretical Perspectives and Practical Implications. Journal of Political Philosophy, 31(2), 112-130.

Macedo, S.  (2021).  Populism, Localism and Democratic Citizenship.  Philosophy and Social Criticism, 47(4), 447-476.

Odmalm, P.  (2021).  Chapter 25: Populism, Citizenship and Migration. In G. D. Rawnsley, Y. Ma, and K. Pothong (Eds.), Research Handbook on Political Propaganda (pp. 376–389). Cheltenham, UK: Edward Elgar Publishing.

Pancer, M. S.  (2015).  The Psychology of Citizenship and Civic Engagement.  New York: Oxford University Press.

Posner, P. W.  (2016).  Laboring Under Chávez: Populism for the Twenty-first Century.  Latin American Politics and Society, 58(3), 26-50.

Print, M. (2008).  Education for Democratic Citizenship in Australia: In Education for Citizenship and Democracy.  London: Sage Publication.

Roniger, L.  (2023).  Chapter 1 Populism and Citizenship: Do Populisms Shape a Sui Generis Type of Citizenship? In C. d. Torre, & O. Mazzoleni (Eds.), Populism and Key Concepts in Social and Political Theory (pp. 21-43).  Leiden: Brill.

Rooduijn, M.  (2013).  The Nucleus of Populism: In Search of the Lowest Common Denominator.  Government and Opposition, 49(4), 573 - 599.

Rooduijn, M., De Lange, S. L. And Van Der Brug, W.  (2014).  Populist Zeitgeist? Programmatic Contagion by Populist Parties in Western Europe.  Party Politics, 20(4), 563–575.

Schroeder, R.  (2020).  The Dangerous Myth of Populism as a Thin Ideology. Brill, 3(1), 13–28.

Stiglitz, J. E. (2016). he Euro: How a Common Currency Threatens the Future of Europe. . New York: W.W. Norton & Company.

Urbinati, N. (2013). The Populist Phenomenon. Raisons Politiques, 51(3), 137-154. doi: https://doi.org/10.3917/rai.051.0137.

Weyland, K.  (2020).  Populism’s Threat to Democracy: Comparative Lessons for the United States.  Retrieved from https://www.cambridge.org/core/journals/perspectives-on-politics/article/populisms-threat-to-democracy-comparative-lessons-for-the-united-states/BF94B9ED2AE558EBCC8682CF4DC08F7A


[1] เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า

index.php?title=หมวดหมู่:การเมืองภาคพลเมือง index.php?title=หมวดหมู่:สารานุกรม คำศัพท์ต่าง ๆ