พัฒนาการของสถาปัตยกรรมไทยในช่วงสมัยรัชกาลที่ 7
ผู้เรียบเรียง : ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ
พัฒนาการของสถาปัตยกรรมไทยในช่วงสมัยรัชกาลที่ 7
ช่วงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว แม้จะสั้นเพียง 9 ปี เท่านั้น แต่เมื่อเทียบกับรัชกาลก่อน ๆ แล้วมีพัฒนาการในงานสถาปัตยกรรมที่เกิดขึ้นคู่ขนานไปกับความเปลี่ยนแปลงในบริบททางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองการปกครอง เพราะการขยายตัวของเมือง จำนวนพลเมืองที่ทวีสูงขึ้น ตลอดจนพัฒนาการในสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ การรับเอาระบบการผลิตวัสดุก่อสร้างตามแบบอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ตลอดจนวิธีการก่อสร้างสมัยใหม่ ล้วนเป็นปัจจัยเบื้องหลังการก่อสร้างอาคารจำนวนมากที่มีรูปแบบสมัยใหม่ที่เรียบง่าย ลดทอนลงกว่าสถาปัตยกรรมในช่วงรัชกาลก่อนๆ อาทิ การสร้างอาคารอย่างโรงกรองน้ำประปาสถานสามเสน ที่ทำการพัสดุไปรษณีย์ กรมรถไฟหลวง ตึกจักรพงษ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงเบียร์บุญรอดบริวเวอรี่ หรือศาลาเฉลิมกรุง ล้วนแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพเมืองกรุงเทพฯ ที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันทั้งภายในเขตเมืองเก่าและพื้นที่เมืองใหม่ที่เปิดขึ้น โดยวิสัยทัศน์ของการขยายตัวของพระนครออกไปสู่จังหวัดข้างเคียง ได้แก่ นนทบุรี ธนบุรี และสมุทรปราการ มีแนวความคิดในการควบคุมการขยายตัวทางกายภาพของเมือง ทั้งโดยพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พระราชบัญญัติการวางแผนผังเมือง (Town-planning) ตลอดจนการขยายโครงข่ายการคมนาคม โดยการสร้างสะพานและถนนเพิ่มเติมในช่วงรัชสมัย ชีวิตเมืองสมัยใหม่ที่มีโรงมหรสพปรับอากาศอย่างศาลาเฉลิมกรุง โรงแรมสมัยใหม่อย่างโรงแรมทรอคาเดโรและโรงแรมราชธานี ห้างสรรพสินค้าอย่างห้างบีกริม หรือพื้นที่สาธารณะอย่างสวนสนุกของพระยาคทาทรบดีที่สวนลุมพินี สะท้อนถึงวิถีชีวิตเมืองของคนกรุงเทพฯ ที่พัฒนาไปไกลกว่ารัชกาลก่อนหน้า ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงในวัฒนธรรม โลกทัศน์ของคนชั้นกลางในเมือง ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475
ความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลลัพธ์โดยตรงของความเปลี่ยนแปลงในการประกอบวิชาชีพสถาปนิก เห็นได้ชัดว่าช่วงรัชกาลที่ 7 เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่ช่างฝรั่งค่อย ๆ ลดบทบาทลงภายหลังการเริ่มเข้ารับราชการของ “สถาปนิกสยาม” รุ่นแรก การเลิกจ้างช่างฝรั่งที่เหลือในช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และช่วงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ขณะเดียวกันก็มีสถาปนิกชาวตะวันตกอีกกลุ่มหนึ่งที่ยังคงมีบทบาทในวงการก่อสร้างอยู่ ได้แก่ นายชาลส์ เบเกอแลง และนายเอ็ดเวิร์ด ฮีลีย์ ที่ยังคงประกอบวิชาชีพสถาปนิกในสยามจนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
พัฒนาการที่สำคัญประการหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงรัชกาลที่ 7 คือ การพัฒนาสถาบันการศึกษาด้านการช่าง ทั้งคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงเรียนช่างก่อสร้างอุเทนถวาย ซึ่งต่างก็มีจุดกำเนิดที่โรงเรียนเพาะช่าง อันได้สถาปนาขึ้นไว้ตั้งแต่รัชกาลที่ 6 ตามนโยบายของรัฐในการพัฒนาวิชาชีพช่างแขนงต่าง ๆ ความเป็นวิชาชีพนั้นยังปรากฏชัดในการตั้งสมาคมวิชาชีพ คือ สมาคมสถาปนิกสยาม ที่มุ่งเผยแพร่บทบาทความรับผิดชอบของสถาปนิกสู่สังคม การผดุงมาตรฐานการประกอบวิชาชีพ ตลอดจนการประชาสัมพันธ์ผ่านวารสารของสมาคมวิชาชีพ อันเป็นผลจากการผลักดันของสมาชิกรุ่นแรก ๆ ความเปลี่ยนแปลงในทุก ๆ มิตินี้เป็นรากฐานของการประกอบวิชาชีพสถาปนิกสืบมาจนทุกวันนี้
อย่างไรก็ดี ข้อควรพิจารณาประการหนึ่ง คือ ผลกระทบของพัฒนาการทางสถาปัตยกรรมมีการปรับเข้าสู่สภาวะ “สมัยใหม่” นั้นย่อมเป็นส่วนหนึ่งของพลวัตการเปลี่ยนแปลงในโลก ทว่าผลกระทบที่มีต่อสภาวการณ์ท้องถิ่น ในชีวิตประจำวันของผู้คนนั้น ย่อมมีสืบเนื่องต่อมาอย่างมาก ชนชั้นนำสยามตระหนักดีถึงความยากลำบากในการ “พัฒนา” ให้ทัดเทียมกับมาตรฐานตะวันตก โดยที่ยังคงธำรงรักษาอัตลักษณ์ความเป็นชาติไว้ ดังปรากฏมาแล้วในสถาปัตยกรรมพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทในรัชกาลที่ 5 และการสถาปนาโรงเรียนเพาะช่าง เพื่อ “เอาพรรณพืชของเราเองมาปลูกลงในพื้นแผ่นดินของเรา แล้วบำรุงให้เติบโตงอกงาม” ตามความในพระราชดำรัสวันเปิดโรงเรียนนั้น เมื่อถึงรัชกาลที่ 7 ความกังวลของชนชั้นนำในการรักษาเสถียรภาพของสถาบัน อัตลักษณ์ของชาติ ควบคู่ไปกับการพัฒนาให้ทันสมัย ก็ปรากฏชัดในปฐมบรมราชานุสรณ์ ที่สร้างเป็นพระบรมรูปรัชกาลที่ 1 ทรงเครื่องราชภูษิตาภรณ์อย่างจารีตประเพณี ประทับนั่งในซุ้มจรนัมที่ผสมผสานรูปแบบอาร์ตเดโคกับสถาปัตยกรรมไทยประเพณีและสถาปัตยกรรมขอม เบื้องหลังเป็นสะพานโครงสร้างเหล็กอย่างทันสมัย หรืออาคารศาลาเฉลิมกรุง ที่เป็นอาคารสาธารณะขนาดใหญ่ ปรับอากาศทั้งหลัง ออกแบบโดยภายในเน้นประโยชน์ใช้สอย ภายนอกเน้นรูปแบบความหรูหราของอาร์ตเดโคแต่ก็ยังตกแต่งด้วยลวดลายโลหะฉลุที่สะท้อนถึงสถาบันพระมหากษัตริย์และนาฏศิลป์อย่างจารีต ทั้งหมดนี้ออกแบบและก่อสร้างโดยสถาปนิกและวิศวกรชาวไทยที่ได้รับการศึกษาวิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ในโลกตะวันตก มี “ความเจริญในวิชาช่าง” ที่ไม่น้อยหน้าชาติใดในทวีปเอเชีย ชี้ให้เห็นได้ว่าชนชั้นนำสยามในครั้งนั้นตระหนักถึงทั้งอำนาจและความเสี่ยงของความเป็น “สมัยใหม่” อย่างไรก็ดี พึงเข้าใจว่า “สถาปัตยกรรมสมัยใหม่” ในนิยามของช่วงรัชกาลที่ 7 นั้นมิใช่สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ (Modern Architecture) ที่เป็นที่เข้าใจกันทุกวันนี้ ทว่าเป็นความเข้าใจรวม ๆ ถึงสถาปัตยกรรมที่ลดทอนเครื่องตกแต่ง (Stripped Classicism) หรือมีรูปแบบอย่างอาร์ต เดโค ซึ่งมีลักษณะร่วมในความเรียบ ลดทอนเครื่องตกแต่งให้น้อยลง สำแดงสัจจะของวัสดุและโครงสร้างให้มากขึ้น มีการออกแบบที่เน้นหน้าที่ใช้สอยมากขึ้นกว่าแต่เดิม
ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่รัดตัวอย่างยิ่งในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ยังทรงดำเนินการทำนุบำรุงประเทศอย่างไม่หยุดยั้ง การก่อสร้างในสมัยนี้ส่วนใหญ่แล้ว เป็นการสร้างเพื่อประโยชน์สุขของบ้านเมืองและประชาชนชาวสยาม เช่น การสร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้าเชื่อมฝั่งพระนครและฝั่งธนบุรีเข้าด้วยกัน นับเป็นการขยายตัวของกรุงเทพมหานครอย่างกว้างขวางขึ้น ตลอดจนการสร้างสถานีรถไฟโรงเก็บรถไฟมักกะสัน สถานีวิทยุ โรงแรม โรงภาพยนตร์ และการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมของชาติในการบูรณะปฏิสังขรณ์สถาปัตยกรรมทั้งวัดและวัง รวมทั้งการสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ในการสร้างสิ่งต่าง ๆ ให้กับประเทศสยามในยามคับขันให้อยู่คู่กับประเทศในเวลาต่อมา
บรรณานุกรม
นารถ โพธิประสาท. สถาปัตยกรรมในประเทศไทย. พระนคร : โรงพิมพ์อุดม, 2499.
แน่งน้อย ศักดิ์ศรี, ม.ร.ว. “สถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว” เอกสารประกอบการเสวนาเรื่อง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกับศิลปกรรม. จัดโดยสำนักบรรณสารสนเทศ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมธิราช, 2542.
พีรศรี โพวาทอง. สถาปัตย์ใต้ร่มฉัตรพระปกเกล้า. กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้าจัดพิมพ์, 2563.
index.php?title=หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2475-2500 index.php?title=หมวดหมู่:การบริหารราชการแผ่นดิน index.php?title=หมวดหมู่:พระปกเกล้าศึกษา index.php?title=หมวดหมู่:สารานุกรม คำศัพท์ต่าง ๆ