กบฎ

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 09:44, 18 มิถุนายน 2568 โดย Adminkpi (คุย | ส่วนร่วม) (สร้างหน้าด้วย "'''ผู้เรียบเรียง :''' รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต '''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ :''' ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร '''<big>กบฎ</big>'''                    “'''กบฎ หมายถึงกา...")
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


กบฎ

                   “กบฎ หมายถึงการประทุษร้ายหรือทรยศต่อประเทศชาติ ในทางกฎหมายถือเป็นการกระทำความผิดต่อความมั่นคงของรัฐโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ หรือลบล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการ  หรือแบ่งแยกราชอาณาจักร หรือยึดอำนาจการปกครองในส่วนใดส่วนหนึ่งแห่งราชอาณาจักร ซึ่งเรียกว่า “ความผิดฐานกบฎ”

                   “หากมองย่อนไปในอดีต หลักฐานการก่อกบฏในราชอาณาจักรสยามครั้งสำคัญบันทึกไว้หลายเหตุการณ์ มูลเหตุกก็มีความแตกต่างกันไป เช่น สมัยกรุงศรีอยุธยา เกิดกบฏญาณพิเชียร (พ.ศ. 2124) ในรัชสมัยพระมหาธรรมราชา ญาณพิเชียร เป็นผู้มีวิชาอาคม ได้รวบรวมผู้คนแถบชานพระนคร (บ้านยี่ล้น อ่างทอง) ได้ราว 3,000 คน พร้อมช้าง ม้า จำนวนมากเข้ายึดเมืองลพบุรี แต่ถูกปราบปรามลงในที่สุด  กบฏธรรมเถียร (พ.ศ. 2341) ถือว่าเป็นกบฏไพร่ เกิดในสมัยพระเพทราชา  ธรรมเถียรอ้างตนเป็นเจ้าฟ้าอภัยทศ น้องชายสมเด็จพระนารายณ์ ได้รวบรวมผู้คนแถบเมืองนครราชสีมาได้ราว 4,000 คน ยกพลมาตีอยุธยา สุดท้ายก็พ่ายแพ้และถูกจับกุม

                   “ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เกอกบฏขึ้นหลายครั้ง เช่น กบฏอ้ายสาเกียดโง้ง (พ.ศ. 2362) เรียกว่าเป็นกบฏผีบุญของผู้นำหัวเมืองลาวตะวันออก รวบรวมคนลาวกว่า 6,000 คน ต่อต้านอำนาจสยามในสมัยรัชกาลที่ 2 โดยบุกเข้ายึดเมืองจำปาศักดิ์ ทางพระนครส่งกองทัพไปปราบปราม กบฏเจ้าอนุวงศ์ (พ.ศ. 2369-2371) เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศืฐานะกษัตริย์ประเทศราชของสยาม ต้องการแยกอาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์เป็นอิสระ จึงยกกำลังมาตีหัวเมืองโคราช กวาดต้อนผู้คนกลับไปเขตแดนลาว ก็ถูกกองทัพสยามเข้าโจมตีและหลบหนีออกไป

                   “ส่วนเหตุการณ์ในสมัยรัชกาลที่ 5 เกิดกบฏหลายครั้ง เนื่องจากพระองค์ทรงปฏิรูประเบียบการปกครองให้ทันสมัย เพื่อรวบศูนย์อำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง จัดระบบการปกครองหัวเมืองแบบมณฑลเทศาภิบาล ยกเลิกระบบเมืองพระยามหานคร และหัวเมืองประเทศราช ดังนั้น ระบบกินเมืองก็ยุติลง อำนาจการปกครองที่เคยตกอยู่กับผู้นำท้องถิ่นก็ลดบทบาทลง รวมไปถึงผลประดยชน์ด้านเศรษฐกิจการค้าและการสัมปทาน ก็หมดไปด้วย  ดังนั้น กลุ่มเจ้าเมืองและผู้นำท้องถิ่นจึงก่อกบฏขึ้น  เช่น กบฏผู้มีบุญภาคอีสาน ร.ศ. 121(พ.ศ. 2444-45) กบฏเงี้ยว้มืองแพร่ ร.ศ. 121 กบบฏแขกเจ็ดหัวเมือง ร.ศ. 121

                   “ในสมัยรัชกาลที่ 6 เกิดกบฎ ร.ศ. 130  มีร้อยเอกขุนทวยหาญพิทักษ์ (เหล็ง ศรีจันทร์) เป็นหัวหน้า วางแผนปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมอบให้ ร้อยเอกหลวงสินาด โยธารักษ์ เป็นผู้กระทำการปลงพระชนม์ในระหว่างพระราชพิธีศรีสัจจปานกาล ซึ่งตรงกับวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 5 (1 เมษายน 2454 ) ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม แต่ต่อมา หลวงสินาด เกิดความกลัว จึงนำเรื่องไปเล่าให้ผู้บังคับบัญชาฟัง เมื่อสมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถทรงทราบเรื่อง จึงได้ทรงสั่งการให้จับกุมกลุ่มคณะผู้ก่อการประทุษร้าย ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2454

                   “หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2567) มีคณะบุคคลก่อกบฎรวม 12 ครั้ง หากจำแนกตามพฤติกรรมการก่อการของผู้ต้องโทษและคำพิพากษาของศาล พบว่า การก่อกบฎหลายครั้งยังมิได้ลงมือ เพียงเริ่มก่อตัวเป็นกลุ่มเป็นคณะ หลายครั้งได้เข้ายึดกลไกลของรัฐด้วยกองกำลังพร้อมอาวุธ สร้างอำนาจต่อรอง ในด้านผลกระทบจากการกก่อกบฏแย่งชิงอำนาจก็มีความรุนแรงแตกต่างกัน

                   “กบฎที่ยังมิได้ลงมือปฏิบัติการ  ได้แก่ กบฏนายสิบ กกบฏพระยาทรง สุรเดช กบฏเสนาธิการ กบฏแบ่งแยกดินแดนอิสาน กบฏสันติภาพ และกบฏทหารอากาศ โดยมีเนื้อหาโดยสังเขปของแต่ละเหตุการณ์ ดังนี้

                   “กบฎนายสิบ (3 สิงหาคม 2478) หลังจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสละราชย์สมบัติและประทับอยู่ในประเทศอังกฤษ ปรากฎว่ามีคณะทหารชั้นประทวนสังกัดกองพลทหารที่ 2 รักษาพระองค์ มีสิบเอกสวัสดิ์ มะหะมัด เป็นหัวหน้า คณะทหารชั้นประทวนคิดวางแผนสังหารบุคคลสำคัญ ซึ่งเป็นกลุ่มคณะราษฎร เช่น พันเอกพิบูลสงคราม นายปรีดี พนมยงค์  พ.ต.อ. หลวงอดุล เดชจรัส แด่แผนสังหารครั้งนี้ มีบางคนในคณะไม่เห็นด้วย และความลับรั่วไหลล่วงรู้ไปถึงพันเอกหลวงพิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

                   “รัฐบาลเข้าจับกุม ได้ผู้ก่อการที่เป็นทหาร 22 นาย พลเรือน 1 นาย รัฐบาลพยายามสืบสวนความเชื่อมโยงไปยัง พันเอกพระยาทรงสุรเดช แต่ก็ไม่มีใครยอมรับ ศาลพิเศษได้พิพากษาโทษของกบฎครั้งนี้ ตัดสินให้ประหารชีวิต สิบเอกสวัสดิ์ มะหะมัด และจำคุกผู้ร่วมก่อการกบฎ ลดหลั่นกันไป

                   “กบฏพระยาทรงสุรเดช พระยาทรงสุรเดช (เทพ พันธุมเสน) เป็นบุคคลสำคัญของคณะราษฎร แต่เกิดความขัดแย้งกับพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาและพันเอกหลวงพิบูลสงคราม เรื่องการพิจารณาเค้าโครงเศรษฐกิจที่ไปสนับสนุนพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ซึ่งเป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยม ต่อมา พระยาทรงสุรเดชได้ลาออกจากราชการ แล้วเดินทางไปอยู่ต่างประเทศราว 2 ปี หลังจากนั้นกลับเข้ามารับราชการ ในเดือนมีนาคม 2478 ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนทหารรบ ตั้งอยู่ที่กองพันทหารราบที่ 31  จังหวัดเชียงใหม่

                   “เมื่อพันเอกพิบูลสงคราม ขึ้นรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เริ่มกวาดล้าง บุคคลใกล้ชิดกับพระยาทรงสุรเดช โดยกล่าวเชื่อมโยงไปถึงเหตุการณ์เกี่ยวกับกบฏบวรเดช กบฏนายสิบว่า แม้จะมีการพิพากษาคดีกบฏบวรเดชไปแล้วก็ตาม แต่บางคนได้หลบหนีออกนอกประเทศ ยังทนงองอาจหาได้ยุติ ยังคงดำเนินการกบฏอยู่เสมอ มีแผนการลอบสังหาร สะสมผู้คนและกล่าวให้ร้ายผู้นำ

                   “พระยาทรงสุรเดช ถูกควบคุมตัวที่กรมทหารราบราชบุรี เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2481  และมีคำสั่งให้ออกจากราชการ คือมีความผิดฐานเป็นกบฏ ถูกบังคับให้เดินทางไปนอกประเทศ ใช้ชีวิตในกัมพูชา และเมืองไซ่ง่อนในเวียดนาม ในคดีดังกล่าว มีผู้ต้องโทษประหารชีวิต  18 คน และจำคุกตลอดชีวิต  21 คน

                   “กบฏเสนาธิการ (1 ตุลาคม 2491) คณะเสนาธิการทหาร เป็นนายทหารระดับนายพล ไม่พอใจการทำรัฐประหาร (2490) ของพลโทผิน ชุณหะวัณ ที่ไปเชิญจอมพล ป. พิบูลสงคราม มาเป็นนายกรัฐมนตรี บุคคลสำคัญของคณะเสนาธิการคือ พลตรีสมบูรณ์ ศรานุชิต และพลตรี เนตร เขมะโยธิน ได้วางแผนก่อการยึดอำนาจ กำหนดจะลงมือในวันจัดงานสมรสของพันเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ กับนางสาววิจิตรา ชลทรัพย์ รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม รู้แผนเสียก่อน จึงนำกำลังไปล้อมจับกลุ่มนายทหาร ที่กระทรวงกลาโหม

                   “กบฏแบ่งแยกดินแดนอีสาน (พ.ศ. 2491 - 2493) ผู้แทนราษฎรอีสาน ซึ่งเคยทำงานร่วมกับเสรีไทยในสงครามโลกครั้งที่ 2  กลายเป็นเป้าหมายของการจับกุมกวาดล้างในข้อหากบฏแบ่งแยกดินแดนอีสาน เมื่อรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม เข้าจับกุมนายเตียง ศิริขันธ์ นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายถวิล อุดล และนายจำลอง ดาวเรือง ในข้อหากบฏในราชอาณาจักร และกล่าวหานายฟอง สิทธิธรรม ว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการกู้ชาติลาว จึงตั้งข้อหากบฏนอกราชอาณาจักร การจับกุมกลุ่มผู้แทนฯอีสาน เกิดขึ้น 3 ครั้ง ในพ.ศ. 2491, 2492 และ 2493

                   “กบฏสันติภาพ  (10 พฤศจิกายน 2495) เมื่อรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ลงนามเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกาเพื่อส่งทหารไปร่วมรบในสงครามเกาหลี พ.ศ. 2494 กลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐบาลประกอบด้วยนักข่าวหนังสือพิมพ์ นักเขียนและกลุ่มปัญญาชน ได้ก่อตั้งคณะกรรมการสันติภาพแห่งประเทศไทยเมื่อ  22 เมษายน 2495  นายแพทย์เจริญ สืบแสง เป็นประธาน และมีบุคคลสำคัญอื่น เช่น นายกุหลาบ สายประดิษฐ์ เป็นกรรมการ

                   “จุดมุ่งหมายสำคัญของคณะกรรมการสันติภาพ คือเรียกร้องสันติภาพและกดดันให้รัฐบาลไทยถอนตัวจากสงครามในเกาหลี เพราะก่อนหน้านี้รัฐบาลไทยได้ส่งทหารไปร่วมรบในเกาหลี 4,000 นาย และยังส่งข้าวสารตามไปอีก 40,000 ตัน

                   “รัฐบาลเห็นว่าคณะสันติภาพ ทำการยุยง ปลุกปั่น แบ่งแยกชนชั้น ทำให้ราษฎรแตกแยก เกลียดชังชาวต่างชาติซึ่งเป็นพันธมิตรที่ดี มุ่งหมายจะทำให้การเมืองเป็นระบอบอื่น อันมิใช่ระบอบประชาธิปไตย

ตำรวจเข้าจับกุมนักเคลื่อนไหว จำนวน 104 คน ในข้อหากบฏโดยอ้างกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.  127  มาตรา 102  104 177  และ 181  และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมลักษณะอาญา (ฉบับที่ 7)  พ.ศ 2478  มาตรา 4  พิพากษาจำคุก  54 คน ผู้ถูกจำคุกคดีนี้ 54 คน ผู้ถูกจำคุกคดีนี้พ้นโทษเมื่อออก พ.ร.บ. นิรโทษกรรมในโอกาสครบรอบ 25 พุทธศตวรรษ  พ.ศ. 2499 ในปี 2500

                   “กบฏ 2507 หรือกบฏทหารอากาศ (3 ธันวาคม 2507) สมัยจอมพลถนอม กิตติขจร ตำรวจสันติบาลได้เข้าจับกุม คณะกบฏ 2507 ซึ่งมีพลอากาศเอกนักบิน บิณศรี อดีตรองผู้บัญชาการกองทัพอากาศ เป็นหัวหน้า การแถลงข่าวของจอมพลถนอม กิตติขจร มีความว่าได้จับกุมผู้กระทำการกบฏ พร้อมทั้งเอกสารจำนวนมาก ซึ่งจะลงมือกระทำการในวันสวนสนามราชวัลลภ 3 ธันวาคม แล้วจะจัดตั้งรัฐบาลของตน มีผู้ถูกจับกุม 10 คน ถูกลงโทษเพียง 3 คน เหตุการณ์นี้ไม่ค่อยเป็นข่าวแพร่หลายมากนัก

                   “กบฏที่มีการลงมือปฏิบัติการ ได้แก่  กบฏบวรเดช กบฏวังหลวง กบฏแมนฮัตตัน กบฏพลเอกฉลาด หิรัญศิริ กบฏยังเตอร์ก และกบฏ 9 กันยายน 2528 โดยมีรายละเอียดพอสังเขปดังนี้

                   “กบฏบวรเดช (11-25 ตุลาคม 2476) พลเอกพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช เป็นผู้นำกองกำลังทหารจากหัวเมืองต่างๆ สั่งการให้ล้อมพระนคร ในวันที่ 11 ตุลาคม 2476 ยึดดอนเมืองเป็นที่มั่น ประกาศยื่นคำขาดให้รัฐบาล พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ลาออกภายใน 1 ชั่วโมง มิฉะนั้นจะใช้กองกำลังบุกโจมตี แต่ฝ่ายรัฐบาลโต้ตอบโดยส่งกองทหารเข้าปราบปราม มีพันโทหลวงพิบูลสงครามเป็นผู้บัญชาการ การต่อสู้เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2476 สู้รบหลายวัน ฝ่ายกบฏต้องถอนทหารออกจากพระนคร ฝ่ายรัฐบาลติดตามไป สามารถยึดนครราชสีมา ฐานบัญชาการของฝ่ายก่อการได้ในวันที่ 25 ตุลาคม 2476 การสู้รบจึงยุติลง

                   “พระองค์เจ้าบวรเดชเดช เสด็จหนีไปต่างประเทศ แม่ทัพสำคัญคือ พระยาศรีสิทธิสงคราม เสียชีวิตในการสู้รบ รัฐบาลได้จัดตั้งศาลพิเศษพิพากษาโทษคดีกบฏ มีผู้ต้องโทษประหารชีวิตและจำคุกตลอดชีวิตจำนวนมาก บริเวณที่เกิดการสู้รบแถวแยกหลักสี่ รัฐบาลได้สร้างอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานการปราบกบฏ

                   “กบฏวังหลวง (26-27 กุมภาพันธ์ 2492) นายปรีดี พนมยงค์ ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพเรือ และกลุ่มเสรีไทยนำกำลังยึดอำนาจจากรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม โดยใช้พระบรมมหาราชวังเป็นกองบัญชาการ คณะก่อการใช้ชื่อว่าขบวนการประชาธิปไตย 26 กุมภาพันธ์ บุคคลสำคัญประกอบด้วยพลเรือตรีทหาร ขำหิรัญ พลเรือตรีสังวร สุวรรณชีพ และเรือเอกวัชรชัย ชัยสิทธิเวช คณะก่อการประกาศถอดถอนรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม และแต่งตั้งนายดิเรก ชัยนาม เป็นนายกรัฐมนตรี

                   “รัฐบาลตอบโด้โดยแต่งตั้งพลตรีสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นผู้อำนวยการปราบปราม ส่งกำลังเข้าทำลายประตูวิเศษไชยศรี บุกเข้าไปควบคุมฝ่ายก่อการได้ แต่นายปรีดี พนมยงค์ กับเรือเอกวัชรชัย ชัยสิทธิเวช หลบหนีออกไปทางประตูเทวาภิรมย์ แล้วหนีออกไปต่างประเทศ หลังจากนั้นรัฐบาลได้กวาดล้างผู้นำเสรีไทยภาคอีสานและเครือข่ายของผู้ก่อการอย่างรุนแรง

                   “กบฏแมนฮัตตัน (29-30 มิถุนายน 2494) กลุ่มทหารเรือ มีพลเรือตรีทหารขำหิรัญ เป็นหัวหน้า ได้ก่อตั้งคณะกู้ชาติมีนายทหารคนสำคัญที่เข้าร่วมคือ นาวาเอก อานนท์ ปุณฑริกาภา นาวาตรีมนัส จารุภา และนาวาตรีประกาย พุทธารี ได้วางแผนก่อการ การก่อการเกิดขึ้นเมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้แทนรัฐบาลไทยเข้าร่วมพิธีรับมอบเรือขุดชื่อ แมนฮัตตัน จากรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ณ ท่าราชวรดิษฐ์ ในวันที่ 29 มิถุนายน 2494  เมื่อพิธีรับมอบแล้วเสร็จ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ลงไปชมเรือก็ถูกนาวาตรีมนัส จารุภา ใช่ปืนจี้บังคับให้ไปลงเรือเปิดหัวที่เตรียมการไว้แล้วนำไปกักตัวที่ในเรือรบหลวงศรีอยุธยา

                   “การต่อรองของรัฐบาลกับฝ่ายก่อการไม่เป็นที่ตกลงกัน จึงนำกำลังตำรวจทหารต่อสู้กันขั้นรุนแรง กองทัพอากาศนำเครื่องบินทิ้งระเบิดลงกรมอู่ทหารเรือ คลังเชื้อเพลิง และเรือรบหลวงศรีอยุธยา เรือรบหลวงศรีอยุธยาจมลงกลางแม่น้ำเจ้าพระยา จอมพล ป. พิบูลสงคราม ในฐานะตัวประกันว่ายน้ำออกมาได้ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์นี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก รวมทั้งทรัพย์สินถูกทำลายจำนวนมากเช่นกัน

                   “กบฏพลเอกฉลาด หิรัญศิริ (26 มีนาคม 2520)  ความขัดแย้งภายในกองทัพบก เรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายผู้บัญชาการทหารบก ระหว่างพลเอกฉลาด หิรัญศิริ รองผู้บัญชาการทหารบก (ซึ่งพลตรี ประมาณ อดิเรกสาร หัวหน้าพรรคชาติไทย และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้การสนับสนุน และในระหว่างวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2519 ลือกันว่าจะเป็นผู้นำก่อการรัฐประหารเช่นเดียวกัน) กับกลุ่มพลเอกกฤษ สีวะรา เป็นเหตุให้คณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินมีคำสั่งย้าย และปลดพลเอกฉลาดออกจากราชการ พลเอกฉลาด จึงหลบไปบวชที่วัดบวรนิเวศน์ฯ

                   “เช้าวันที่ 26 มีนาคม 2520  ทหารจากกองพล 9 และกองพลทหารราบที่ 1, 2, 3  ประมาณ 300 นาย เคลื่อนกำลังเข้ายึดกองบัญชาการทหารสูงสุด สวนรื่นฤดี คณะก่อการควบคุมบุคคลสำคัญ และสังหารพลตรีอรุณ ทวาทศิน ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 เสียชีวิต  ฝ่ายก่อการประกาศว่าหัวหน้าคณะปฏิวัติคือ พลเอกประเสริฐ ธรรมศิริ ซึ่งภายหลังก็เปิดเผยว่าถูกบังคับและควบคุมไว้ ส่วนฝ่ายรัฐบาลส่งทหารมาล้อมสวนรื่นฤดี แล้วส่งพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เป็นผู้เจรจา ปรากฏว่าฝ่ายก่อการยอมวางอาวุธ และมีนายทหารฝ่ายก่อการจำนวน 5 นายขอลี้ภัยไปที่ไต้หวัน แต่กลับถูกควบคุมตัวขณะขึ้นเครื่องบิน ในคดีนี้ พลเอกฉลาดถูกพิพากษาลงโทษประหารชีวิต ส่วนผู้ร่วมก่อการถูกลงโทษจำคุก

                   “กบฏยังเติร์ก (1-3 สิงหาคม 2524)  ทหารกลุ่มยังเติร์ก นำกำลังทหาร 4 กองพันเข้ายึดสถานที่สำคัญ ควบคุมสถานีวิทยุ กรมประชาสัมพันธ์และสถานีโทรทัศน์ในวันที่ 1 เมษายน 2524 แกนนำฝ่ายกบฏได้ตั้งคณะกรรมการสภาปฏิวัติมอบให้พลเอกสัณห์ จิตรปฏิมา เป็นหัวหน้าคณะ สาเหตุสำคัญที่ทำให้กลุ่มยังเติร์กยึดอำนาจเนื่องจากกองทัพบกต่ออายุราชการให้พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ในตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพบกอีก 1 ปี

                   “ในการตอบโต้ต่อฝ่ายกบฏ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้กราบทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศ์ศานุวงศ์ เสด็จประทับที่กองทัพภาคที่ 2 นครราชสีมา แล้วจัดตั้งกองกำลังร่วมรักษาความสงบแห่งชาติ โดยมอบให้พลตรีอาทิตย์ กำลังเอก เป็นผู้อำนวยการ พลตรีอาทิตย์ มีบทบาทสำคัญในการยึดอำนาจคืน ทำให้ฝ่ายรัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วในวันที่ 3 เมษายน ฝ่ายรัฐบาลสั่งการให้ฝ่ายก่อการเข้ามอบตัวแต่พลเอกสัณห์ จิตปฏิมา และพันเอกมนูญ รูปขจร ผู้นำในการก่อการหลบหนีออกนอกประเทศ

                   “กบฏ 9 กันยายน 2528  คณะทหารนอกราชการนำกำลังจากกรมอากาศยาน  ควบคุมตัว พลอากาศเอกประพันธ์ ธูปเตมีย์ และนำรถถังจากกรมทหารม้าที่ 4  ยึดกองบัญชาการทหารสูงสุด และสถานที่สำคัญ ประกาศยึดอำนาจการปกครอง โดยมีพลเอกเสริม ณ นคร เป็นหัวหน้าคณะ แกนนำสำคัญคือพันเอกมนูญ รูปขจร และนาวาอากาศโทมนัส รูปขจร

                   “รัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ในบ่ายวันเดียวกัน พันเอกมนูญ รูปขจร และนาวาอากาศโทมนัส รูปขจร หลบหนีออกไปได้ เรื่องจึงยุติลง

                   “ผลกระทบจากการก่อการกบฏและการปราบปราม  การก่อตัวของกลุ่มหรือคณะที่พยายามยึดอำนาจจากรัฐบาลสะท้อนความขาดเอกภาพขององค์กรด้านความมั่นคง และเป็นการใช้ความรุนแรงเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์ในแต่ละช่วงเวลา กลายเป็นวังวนต่อเนื่อง จนมีผู้เสียชีวิตบาดเจ็บล้มตายทั้งฝ่ายทหาร ตำรวจ และพลเรือนเป็นจำนวนมาก เช่น กบฏบวรเดช มีการปะทะต่อสู้กันหลายวันลุกลามจากพระนครไปสู่สระบุรี และนครราชสีมา มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก อีกเหตุการณ์คือ กบฏแมนฮัตตัน ทั้งสองฝ่ายใช้กำลังเผชิญหน้ากัน และทำลายเป้าหมายด้วยการทิ้งระเบิด สร้างความตื่นตระหนกแก่ประชาชนอย่างมาก  อาวุธยุทธภัณฑ์ ทรัพย์สินทั้งของรัฐและราษฎรได้รับความเสียหายไปกับการก่อการและการปราบปรามไม่น้อย

บรรณานุกรม

นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์. การปราบฮ่อและการเสียดินแดน พ.ศ. 2431. วิทยานิพนธ์ อักษรศาสตร์มหาบัณฑิต : จุฬาลงกาณ์มหาวิทยาลัย, 2509.

พีรทิพย์ สุคันธเมศวร์. การปฏิรูปประเทศในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่นำไปสู่การสร้างรัฐชาติ. สารนิพนธ์ ปริญญามหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ : มหาศรีนครินทรวิโรฒ, 2549.  

ราชกิจจานุเบกษา. พระราชบัญญัติจัดสร้างศาลพิเศษ พุทธศักราช 2476. 30 ตุลาคม 2476.  เล่ม 50,  หน้า 624-626.

สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ สร 0201.1.1 1/1 คำขอหรือคำขาด และคำแถลงการณ์หรือใบปลิวของพวกกบฏ. (11-26 ตุลาคม 2476).

อนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ พันตำรวจโทหลวงโหม รอนราญ (ตุ๊ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา). ณ เมรุ วัดตรีทศเทพ เสาร์ 5 กุมภาพันธ์ 2520. กรุงเทพฯ : บุญส่งการพิมพ์, 2520

อัจฉราพร กมุทพิสมัย. กบฏ ร.ศ. 130 กบฏ กบฏเพื่อประชาธิปไตย แนวคิดทหารใหม่. กรุงเทพฯ : อมรินทร์วิชาการ, 2542.

แถมสุข นุ่มนนท์. ยังเติร์กรุ่นแรก กบฏร.ศ. 130. กรุงเทพฯ : เรืองศิลป์, 2522.

ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช. ชีวลิขิต. กรุงเทพฯ : มูลนิธิ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช, 2548.

นรนิติ เศรษฐบุตร และชาญวิทย์ เกษตรศิริ. บันทึกพระยาทรงสุรเดชเมื่อปฏิวัติ ‘2475’.  กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แพร่พิทยา, 2527.

มติชนสุดสัปดาห์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 1134 วันที่ 5-11 เมษายน 2524, น 5, 6, 32.

พลตรีสนั่น ขจรประศาสน์. ล้วนเป็นพรหมลิขิตชีวิตเอง. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : ชมรมร่วมสร้างสรรค์, 2545

กฤชติน สุขศริ. “ความขัดแย้งทางการเมืองในสมัยรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์”. วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2545.

ปิยนาถ บุนนาค. ประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ถึง เหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516. ชุดเอกสารการสอน คณะอักษณศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2546.

สุพจน์ ด่านตระกูล. ขบวนการกู้ชาติ. กรุงเทพฯ : ศิริพรการพิมพ์, 2522.

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ. แผนชิงชาติไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : พีเพรส, 2550.