อำนาจนิติบัญญัติ

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 10:29, 17 มิถุนายน 2568 โดย Adminkpi (คุย | ส่วนร่วม) (สร้างหน้าด้วย "'''ผู้เรียบเรียง :''' รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต '''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ :''' ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร '''<big>อำนาจนิติบัญญัติ</big>'''           ''' '''   ''' ''' &nbs...")
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


อำนาจนิติบัญญัติ

                   อำนาจนิติบัญญัติ คือ อำนาจในการออกกฎหมาย การแก้ไขกฎหมาย และการยกเลิกกฎหมาย และในโครงสร้างการปกครองระบบรัฐสภา เป็น 1 ใน 3 ของอำนาจอธิปไตย และเพื่อที่จะคุ้มครองและให้หลักประกันในสิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน จึงไม่ควรให้องค์กรใดองค์กรหนึ่งในรัฐเป็นผู้มีอำนาจเพียงองค์กรเดียว ควรที่จะมีการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกันเพราะอำนาจเป็นสิ่งที่ยั่วยวนใจ ผู้ใช้อำนาจที่ปราศจากการถ่วงดุลอาจใช้อำนาจโดยมิชอบได้  ดังนั้น มองเตสกิเออจึงได้สร้างแนวคิดในหลักการแบ่งแยกองค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตย  หรือ หลักแบ่งแยกอำนาจ  ขึ้น[1]

                   หลักการแบ่งแยกอำนาจจากแนวคิดของมองเตสกิเออได้กล่าวว่ารัฐมีการใช้อำนาจอยู่  3 ประการด้วยกันคือ[2]

                   ประการแรก รัฐมีอำนาจออกกฎหมายมาบังคับการดำเนินชีวิตของประชาชนทั่วไป  อำนาจในการออกกฎหมาย  การแก้ไขกฎหมาย  และการยกเลิกกฎหมายนั้นคือ  อำนาจนิติบัญญัติ

                   ประการที่สอง รัฐมีอำนาจในการดูแลความปลอดภัยภายในและภายนอกประเทศ  และใช้กำลังเพื่อให้ประชาชนเคารพกฎหมาย  ภารกิจนี้เป็นภารกิจที่เป็นการปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมายอำนาจดังกล่าวคือ  อำนาจบริหาร

                   ประการสุดท้าย รัฐจำเป็นต้องจัดให้มีการลงโทษบุคคลเมื่อมีการกระทำผิดกฎหมาย และจัดให้มีการพิพากษาวินิจฉัยข้อพิพาทระหว่างเอกชนที่อยู่ใต้กฎหมายอำนาจนี้คือ  อำนาจตุลาการ


                   ดังนั้น อำนาจนิติบัญญัติ จึงเป็นอำนาจที่สำคัญประการหนึ่งของอำนาจอธิปไตย  ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช  2560  มาตรา  2 ได้บัญญัติให้  ประเทศไทยมีการปกครอง “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”  หมายถึง ระบอบประชาธิปไตยของไทยที่ประกอบด้วยกลไกสำคัญ 3  ประการ  คือ ประชาชน  พระมหากษัตริย์  และองค์กรทางการเมือง โดยมีความยึดโยงกันโดยถือว่าประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย  พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ใช้อำนาจนั้นโดยเป็นการใช้อำนาจผ่านองค์กรทางการเมือง  ดังนี้ อำนาจนิติบัญญัติผ่านทางรัฐสภา  อำนาจบริหารผ่านทางคณะรัฐมนตรี  และอำนาจตุลาการผ่านทางศาล  ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ  ทั้งนี้ พระมหากษัตริย์ไม่ได้ ทรงเป็นผู้ใช้อำนาจดังกล่าวโดยตรง ซึ่งจะสอดคล้องกับความในรัฐธรรมนูญ มาตรา  182  ที่บัญญัติว่า 

บทกฎหมาย  พระราชหัตถเลขา และพระบรมราชโองการอันเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน  ต้องมีรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ เว้นแต่ที่มีบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญ[3]

                   นอกจากนั้น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช  2560  ได้บัญญัติไว้ในหมวด  7 รัฐสภา  ตั้งแต่มาตรา 79 – 157 โดยที่รัฐสภาของไทยเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ  ทั้งนี้ บทบัญญัติในหมวดนี้เป็นรายละเอียดเกี่ยวกับโครงสร้าง  องค์ประกอบ และวิธีทำงานของรัฐสภา  อันถือว่าเป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทยและเป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติ  ซึ่งรับกับบทบัญญัติมาตรา  3 ที่วางหลักไว้ตั้งแต่ในเบื้องแรกแล้วว่าพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจอธิปไตย  อันได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติ  อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ  ผ่านรัฐสภา  คณะรัฐมนตรี และศาล  ตามลำดับ  ทั้งนี้ โครงสร้างของระบบรัฐสภาไทยนั้น  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม  พุทธศักราช 2475  อันเป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกบัญญัติให้ใช้ระบบสภาเดียว  (unicameral) กล่าวคือ มีสภาผู้แทนราษฎรเพียงสภาเดียว อย่างไรก็ดี รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช  2489  เป็นต้นมา  ได้บัญญัติให้ใช้ระบบสองสภา  ซึ่งประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎร  กับพฤฒสภา ต่อมาเมื่อมีการใช้ระบบ 2 สภา  สำหรับสภาที่ 2 หรือสภาบนนี้ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “วุฒิสภา”  มาโดยตลอด  ในชั้นแรกที่ใช้ระบบสองสภานี้  สภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่พิจารณาร่างกฎหมาย  และตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดิน โดยวุฒิสภาจะทำหน้าที่กลั่นกรองกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรเพื่อความละเอียดรอบคอบ  สำหรับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พุทธศักราช 2560  ใช้ระบบสองสภาเช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญที่ผ่านมา โดยสภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่พิจารณาเสนอร่างกฎหมายและควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหาร  และวุฒิสภาทำหน้าที่ในด้านกลั่นกรองกฎหมาย  และการให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ  กรรมการองค์กรอิสระ  และผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน  ทั้งนี้ หมวด  7  รัฐสภา  ประกอบด้วย 5  ส่วน  ดังนี้

                   ส่วนที่  1  บททั่วไป  เป็นบทบัญญัติว่าด้วยองค์ประกอบของรัฐสภา หน้าที่และอำนาจของประธานและรองประธานฝ่ายนิติบัญญัติ  การพิจารณากฎหมาย รวมทั้งหลักเกณฑ์การพิจารณาเกี่ยวกับการสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา 

                   ส่วนที่  2  สภาผู้แทนราษฎร บทบัญญัติในส่วนนี้เกี่ยวข้องกับประเภทของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  การลงคะแนนเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง รวมทั้งวิธีการคำนวณเพื่อหาสัดส่วนจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ  โดยมีหลักการว่า “คะแนนเสียงของประชาชนทุกคะแนนมีความหมายต่อผลการเลือกตั้ง”  และในการเลือกตั้งนั้น  ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องให้ความสำคัญทั้งกับตัวบุคคลผู้สมัครรับเลือกตั้ง  และพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครประกอบกัน โดยให้ระบบการเลือกตั้งดังกล่าวเป็นแบบเขตเดียวเบอร์เดียว  และใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว เพื่อให้ประชาชนเกิดความสนใจสามารถใช้สิทธิได้ง่าย  ไม่มีความซับซ้อน  และประหยัดงบประมาณ[4]

                   ส่วนที่  3  วุฒิสภา บทบัญญัติในส่วนนี้เกี่ยวข้องกับสมาชิกวุฒิสภา  ทั้งองค์ประกอบ  ที่มา หน้าที่และอำนาจ โดยมีหลักคิดพื้นฐานว่า วุฒิสภามิได้เป็นสภาพี่เลี้ยงเหมือนในอดีต หากเป็นสภาที่จะช่วยให้  กฎหมายที่จะตราขึ้นนั้นมีความละเอียดรอบคอบ  และมีการพิจารณาอย่างรอบด้าน  โดยประชาชนจากภาคส่วนต่าง ๆ ที่หลากหลายของสังคมมีส่วนร่วมในการพิจารณากฎหมายได้อย่างแท้จริง  ดังนั้น ที่มาของสมาชิกวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญนี้ จึงแตกต่างจากที่มาของสมาชิกวุฒิสภ ตามรัฐธรรมนูญฉบับก่อน ๆ  ที่แรกเริ่มมีที่มาจากการแต่งตั้ง  การสรรหา การเลือกตั้ง และการผสมผสานระหว่างการสรรหาและการเลือกตั้ง  เป็น “การเลือกกันเองในหมู่ประชาชนที่มีความประสงค์จะเข้ามาทำหน้าที่สมาชิกวุฒิสภา”  ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา  107 ว่า  “วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจำนวนสองร้อยคน  ซึ่งมาจากการเลือกกันเองของบุคคลซึ่งมีความรู้ความเชี่ยวชาญ  ประสบการณ์ อาชีพ ลักษณะหรือประโยชน์ร่วมกัน หรือทำงานหรือเคยทำงานด้านต่าง ๆ ที่หลากหลายของสังคม โดยในการแบ่งกลุ่มต้องแบ่งในลักษณะที่ทำให้ประชาชนซึ่งมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งทุกคนสามารถอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้”  และให้เลือกตั้งแต่ระดับอำเภอ  ระดับจังหวัด ไปถึงระดับประเทศ อันเป็นการสร้าง “การมีส่วนร่วมของประชาชน” ให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง และอย่างมีนัยสำคัญตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ  เพราะสมาชิกวุฒิสภาจะใช้ความรู้  ความสามารถ และประสบการณ์ในการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพ  มาสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นแก่ประชาชน จากร่างกฎหมายโดยไม่อยู่ภายใต้อาณัติของนโยบายของพรรคการเมือง  ดังนั้น กระบวนการเลือกสรรสมาชิก วุฒิสภาจึงมุ่งที่จะให้ประชาชนซึ่งมีความรู้  ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ที่แตกต่างหลากหลายในทุกภาคส่วน และทุกสาขาอาชีพซึ่งประสงค์จะเข้ามาทำหน้าที่นี้เข้ามาสมัครรับเลือกได้  และให้แต่ละสาขาอาชีพหรือ  ประสบการณ์หรือวิถีชีวิต ฯลฯ  เลือกกันเอง เพื่อหลีกเลี่ยงกลไกหรือกับดักทางการเมืองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

                   ส่วนที่  4  บทที่ใช้แก่สภาทั้งสอง  และส่วนที่ 5  การประชุมร่วมกันของรัฐสภา เป็นการบัญญัติสาระสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดตำแหน่ง  หน้าที่ และอำนาจของบุคคลในสภาทั้งสอง รวมทั้งการดำเนินการในการประชุมของสภาทั้งสอง เพื่อให้การดำเนินการขององค์กรฝ่ายนิติบัญญัติเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ


                   สรุป

                   “อำนาจนิติบัญญัติ” เป็นอำนาจสำคัญของรัฐโดยผ่านองค์กรตามรัฐธรรมนูญ โดยเป็นอำนาจเพื่อออกกฎหมายมาบังคับการดำเนินชีวิตของประชาชนทั่วไป  นอกจากจะเป็นอำนาจในการออกกฎหมายแล้ว 

                   ก็ยังมีหน้าที่ในการการแก้ไขกฎหมายและการยกเลิกกฎหมายด้วย และโดยเหตุที่อำนาจอธิปไตยทั้ง 3 จะต้องมีการตรวจสอบถ่วงดุลกันและเชื่อมดยงกันตามหลักการของระบบรัฐสภา อำนาจนิติบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 จึงรวมถึงหน้าที่ในการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินโดยผ่านมาตรการทางรัฐสภา เช่น การตั้งกระทู้ถามรัฐบาล การยื่นญัตติของเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล และหน้าที่ในการให้ความเห็นชอบในตัวบุคคลที่เข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอีกด้วย


บรรณานุกรม

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560.

คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ. ความมุ่งหมายและคาอธิบายประกอบของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560. กรุงเทพฯ : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร,  2562.

มานิตย์ จุมปา. หลักกฎหมายรัฐธรรมนูญ. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : นิติธรรม, 2564.

อมร จันทรสมบูรณ์. กฎหมายปกครอง. (กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2524.


[1] มานิตย์ จุมปา. หลักกฎหมายรัฐธรรมนูญ. พิมพ์ครั้งที่ 5  (กรุงเทพฯ : นิติธรรม. 2564). หน้า 29.

[2]  อมร  จันทรสมบูรณ์. กฎหมายปกครอง. (กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง. 2524). หน้า 51-52.

[3] คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ. ความมุ่งหมายและคาอธิบายประกอบของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560.  2562. หน้า  3-4.

[4] คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ. ความมุ่งหมายและคาอธิบายประกอบของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560.  2562. หน้า  125-126.