พระอิสริยยศเดิมของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์
ผู้เรียบเรียงนางสาวธัญญพร มากคงและ รศ.ดร. ชาติชาย มุกสง
ผู้ทรวคุณวุฒิประจำบทความ ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ
สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ หรือพระยศสุดท้ายคือ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี อภิเสกสมรสกับสมเด็จพระมหิตลาธิเบศอดลุยเดชวิกรมพระบรมราชชนก เป็นพระบรมราชชนนีของสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือที่ประชาชนคนไทยเรียกขานพระนามด้วยความคุ้นเคยว่า “สมเด็จย่า” เนื่องจากทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจที่เป็นสาธารณประโยชน์และสาธารณกุศลแก่ราษฎรจนเกิดความรักและความใกล้ชิดเป็นอย่างมากตลอดพระชนม์ชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยรัชกาลที่ 9
พระราชประวัติ
ก่อนเข้าสู่ราชวงศ์จักรี สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เดิมมีนามว่า สังวาลย์ เป็นบุตรของนายชูและนางคำ ซึ่งเป็นช่างทำทอง ที่จังหวัดนนทบุรี เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2443[1] แรกเกิดยังไม่มีนามสกุลเนื่องจากยังไม่มีพระราชบัญญัติขานนามสกุล ต่อมาได้ใช้นาม สังวาลย์ ตะละภัฏ ซึ่งเป็นนามสกุลของข้าราชบริพารคนหนึ่งของกรมขุนสงขลานครินทร์[2] ชื่อเจ้ากรมหลี ตะละภัฏ เพื่อทำหนังสือเดินทางไปต่างประเทศ แต่นามสกุลของครอบครัวที่จดทะเบียนในเวลาต่อมาคือ ชูกระมล[3] เมื่อเติบโตขึ้นครอบครัวของนางสาวสังวาลย์ได้ย้ายมาอาศัยอยู่บริเวณวัดอนงคาราม ฝั่งธนบุรี และได้ถวายตัวผ่านคุณจันทร์ แสงชูโต ให้เป็นข้าหลวงของสมเด็จเจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ณ สวนสี่ฤดู พระราชวังดุสิต และย้ายไปอยู่ในความดูแลของข้าหลวงผู้ใหญ่ผู้ดูแลพระตำหนักของสมเด็จพระมาตุจฉาเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี[4] เมื่อเข้าเรียนโรงเรียนสตรีวิทยาได้อยู่ในความดูแลของพระยาดำรงแพทยาคุณ จึงได้เข้าเรียนเป็นนักเรียนพยาบาล โรงเรียนแพทย์ผดุงครรภ์และหญิงพยาบาล ณ โรงศิริราชพยาบาล ซึ่งเป็นโรงเรียนกินนอน ตามลำดับ[5]
ต่อมาใน พ.ศ. 2460 ได้รับเลือกเป็นนักเรียนทุนพยาบาลพร้อมกับนางสาวอุบล ปาลกวงศ์ ณ อยุธยา ไปศึกษาต่อ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา[6] โอกาสนี้เองที่ทำให้นางสาวสังวาลย์ได้พบกับกรมขุนสงขลานครินทร์ จนทรงหมั้นที่สหรัฐอเมริกาและเดินทางกลับมาอภิเษกสมรส ณ วังสระปทุม เมื่อวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2463 และได้รับการแต่งตั้งเป็นหม่อมสังวาลย์ มหิดล ณ อยุธยา[7] ทั้งสองพระองค์ได้เดินทางกลับไปศึกษาต่อด้านสาธารณสุขศาสตร์และการพยาบาลที่เมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา หม่อมสังวาลย์ได้ศึกษาหลักสูตรเตรียมพยาบาลที่วิทยาลัยซิมมอนส์ และการสาธารณสุขเกี่ยวกับโรงเรียนที่สถาบันเอ็มไอที (MIT Massachusetts Institute of Technology)[8]
กระทั่งกรมขุนสงขลานครินทร์ เสด็จมาประทับในประเทศอังกฤษเพื่อศึกษาต่อด้านการแพทย์ หม่อมสังวาลย์จึงมีประสูติกาลพระธิดาคือหม่อมเจ้าหญิงกัลยาณิวัฒนา เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2466 ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ต่อมาทรงย้ายที่ประทับไปอีกหลายสถานที่ และประสูติพระโอรสพระองค์แรกคือ หม่อมเจ้าชายอานันทมหิดล[9] เมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2468 ที่เมืองไฮเดลเบอร์ก ประเทศเยอรมณี ประสูติพระโอรสพระองค์ที่สองในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 จึงได้รับพระยศเป็น พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ที่รัฐแมสสาชูแสสตต์ สหรัฐอเมริกา[10] เมื่อเสด็จกลับมาประเทศไทยกรมหลวงสงขลานครินทร์ได้สิ้นพระชนม์ด้วยพระอาการประชวรในปี พ.ศ. 2472 หลังจากนั้นหม่อมสังวาลย์จึงย้ายครอบครัวไปประทับที่เมืองโลซานน์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ช่วงระยะเวลานี้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี เสด็จมาประทับในประเทศยุโรปภายหลังเหตุการณ์กบฏบวรเดชเมื่อพ.ศ. 2476 และทรงประกาศสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 ครอบครัวมหิดลซึ่งประทับอยู่ในยุโรปเช่นเดียวกัน จึงได้เข้าเฝ้าทั้งสองพระองค์ ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2477 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส[11]
ดำรงตำแหน่งพระราชชนนีของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย
ขณะที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ประกาศสละราชสมบัติ แม้จะไม่ทรงมีพระโอรสหรือองค์รัชทายาทแต่ก็ไม่ได้ทรงแต่งตั้งพระราชวงศ์พระองค์ใดให้สืบราชสมบัติ ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นที่รับรู้โดยทั่วไปว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตทรงเป็นเจ้าฟ้าผู้ใหญ่ที่มี พระบารมีมากที่สุดและคนจำนวนมากคิดว่าจะต้องได้สืบราชสมบัติ[12] ทั้งนี้ผู้มีอำนาจการปกครองประเทศเวลานั้นคือคณะราษฎร การสืบราชสันตติวงศ์จึงพิจารณาตามกฎมณเฑียรบาลและรัฐบาลคณะราษฎรที่เห็นว่ากษัตริย์ที่ไม่ได้ทรงมีอำนาจจะพร้อมสำหรับการเป็นกษัตริย์ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย[13] สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลจึงได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 8 แต่ยังทรงประทับอยู่ที่เมือง โลซานน์ ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ตามเดิม หม่อมสังวาลย์จึงทรงพระนามเป็น “พระราชชนนีศรีสังวาลย์” โดยเติมคำว่า ศรี เพื่อให้สอดคล้องกับว่าชนนี[14] จนกระทั่งเสด็จฯ กลับประเทศไทยครั้งแรกในปีพ.ศ. 2481 จึงได้รับการสถาปนาเป็น “สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์”[15]
ในปีพ.ศ. 2488 หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระอนุชาฯ และสมเด็จพระราชชนนีฯ เสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศไทย ได้เกิดเหตุการณ์สวรรคตอย่างกระทันหันของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลในปี พ.ศ. 2489 พระอนุชาจึงได้ขึ้นครองราชย์เป็น พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 การสูญเสียพระโอรสได้สร้างความโทมนัสแก่สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์เป็นอย่างมาก พระวรกายซูบผอม และทรงฉลองพระเนตรสีดำเสมอ[16] เนื่องจากทุกสถานการณ์ได้ทรงดูแลใกล้ชิดพระราชโอรสธิดาทุกพระองค์ ทรงเลี้ยงดูแบบสมัยใหม่ ให้อิสระในการคิดและตัดสินพระราชหฤทัย อาทิ การคบพระสหาย การเลือกศึกษาต่อ และการมีระเบียบวินัย[17] ภายหลังเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ เสด็จฯ กลับไปประทับ ณ พระตำหนักวิลล่าวัฒนา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ตามเดิม
ต่อมาในปี พ.ศ. 2493 เมื่อมีการพระราชทานเพลิงพระบรมศพรัชกาลที่ 8 เสร็จสิ้น รัฐบาลได้จัดให้มีพระราชพิธีราชาภิเษกสมรส และพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ที่ได้ออกมาประทับด้วยพระองค์เองภายหลังจากพระราชโอรสเสกสมรส มิได้เสด็จกลับมาประเทศไทยด้วยเนื่องจากทรงประสบอุบัติเหตุ แต่ได้เสด็จกลับประเทศไทยอีกครั้งในปี พ.ศ. 2495 ทั้งนี้ระหว่าง พ.ศ. 2495 – 2506 สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์เสด็จกลับประเทศไทยเป็นครั้งคราว ไม่มีกำหนดเวลาที่สม่ำเสมอแน่นอน จะเสด็จกลับมาเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญในครอบครัว หรือด้วยพระกรณียกิจเกี่ยวกับบ้านเมือง เช่น เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินี พระสุณิสา มีพระประสูติกาล สมเด็จ พระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ประชวรและสิ้นพระชนม์ หรือเมื่อพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ[18]
นับจากปีพ.ศ. 2507 เป็นต้นมาสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ ได้เสด็จกลับมาประทับในประเทศไทยเป็นการถาวรจึงทรงเริ่มประเสด็จประพาสชนบท ทรงริเริ่มโครงการต่าง ๆ ทั้งทางด้านการศึกษาและการสาธารณสุขเพื่อช่วยเหลือประชาชน เนื่องด้วยทรงช่วยเหลือกิจการสำคัญของประเทศตลอดมา สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ จึงได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยเป็น “สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี”[19] ในปีพ.ศ. 2513 ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจอย่างต่อเนื่องจนถึง พ.ศ. 2527 การทรงงานกับราษฎรของพระองค์ทำให้ประชาชนเรียกพระนามอย่างใกล้ชิดว่า “สมเด็จย่า” และ “แม่ฟ้าหลวง”[20] ด้วยการที่ทรงงานมาโดยตลอด เมื่อมีพระชนมพรรษามากขึ้นสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีพระอาการประชวรจากอาการอ่อนเพลียและติดเชื้อ ได้เสด็จจากวังสระปทุมไปประทับยังโรงพยาบาลศิริราช และสวรรคตเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 พระชนมายุ 94 พรรษา [21]
พระราชกรณียกิจ
พระราชกรณียกิจที่สำคัญของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีนั้นเชื่อมโยงกับการที่พระองค์และพระสวามีทรงสำเร็จการศึกษาด้านการแพทย์และการสาธารณสุขเป็นสำคัญ ครั้งหนึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงเริ่มงานสังคมสงเคราะห์โดยตั้ง คณะเย็บผ้า (Sewing Circle) ขึ้นตามแบบสตรีอเมริกัน[22] มีสมาชิกประมาณ 12 คน คณะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปเย็บผ้าอ้อมตามบ้านของแต่ละคนและส่งผ้าอ้อมไปบริจาคแก่เด็กตามโรงพยาบาลต่าง ๆ[23] และเมื่อเสด็จกลับประเทศไทยในปี พ.ศ. 2488 สมเด็จ พระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้ทรงนำยาที่เรียกว่า PAS เข้ามาในประเทศไทยเป็นครั้งแรก ยานี้ใช้ในการผลิตวัคซีนบีจีซี สร้างภูมิต้านทานเชื้อวัณโรค และทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อช่วยกิจการด้านสาธารณสุขอื่น ๆ เช่น พระราชทานเงินให้โรงพยาบาลและสภากาชาดไทย[24]
แต่การริเริ่มโครงการตามพระราชดำริเริ่มหลังจากทรงเสร็จกลับประเทศไทยหลังปี พ.ศ. 2507 โดยเฉพาะการเสด็จไปประทับที่จังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดทางภาคเหนือ ทรงเยี่ยมบริเวณการปฏิบัติงานของตำรวตระเวนชายแดน ด้วยสิ่งที่ทรงพบเห็นเรื่องความยากลำบากของประชาชน และปัจจัยทางการเมืองซึ่งพื้นที่ห่างไกลคือพื้นที่ในแผนปฏิบัติงานมวลชนของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย การช่วงชิงมวลชนจึงเกิดขึ้นจากปฏิบัติการของทั้งสองฝั่ง สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเล็งเห็นว่ากิจการและการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือประชาชนในด้านการแพทย์และสาธารณสุขจะเป็นประโยชน์อย่างมหาศาล จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานทุนทรัพย์เป็นทุนเริ่มแรกจดทะเบียนจัดตั้งเป็น “มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี” หรือ พอ.สว เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2517 โดยพระองค์เป็นองค์นายิกากิตติมศักดิ์ มูลนิธิ พอ.สว. มีวัตถุประสงค์คือ จัดหาและส่งเสริมให้มีแพทย์และเจ้าหน้าที่อาสาสมัครทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ปฏิบัติงานเพื่อช่วยเหลือให้การรักษาพยาบาล ป้องกันโรค ส่งเสริมและฟื้นฟูสุขภาพอนามัยของประชาชนและเจ้าหน้าที่ ในท้องถิ่นทุรกันดารห่างไกลคมนาคมหรือท้องถิ่นที่ จัดให้การรักษาพยาบาลให้ท้องถิ่นทุรกันดาร ร่วมมือกับส่วนราชการและองค์กรการกุศลอื่นๆ เพื่อสาธารณประโยชน์และไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมือง [25] แม้จะไม่มีวัตถุประสงค์ทางการเมือง แต่อาจกล่าวได้ว่ากรณีตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) นับเป็นความความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดเป็นพิเศษระหว่างราชสำนักกับหน่วยงานตำรวจบนสัมพันธภาพที่ไม่เป็นทางการผ่านการเริ่มต้นโดยบทบาทของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีคือมูลนิธิพอ.สว. นี้เอง[26]
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงเป็นศิษย์เก่าโรงเรียนหญิงแพทย์ผดุงครรภ์แลการพยาบาลไข้ ตั้งอยู่ในบริเวณ โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งต่อมาพัฒนาขึ้นเป็นคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงทรงถือว่าเป็นศิษย์เก่าของสถาบันแห่งนี้ด้วย พระองค์พระราชทานพระเมตตาทรงรับสมาคมศิษย์เก่าพยาบาลศิริราชไว้ในพระราชูปถัมภ์ ทั้งยังพระราชทาน “ทุนสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์” เพื่อช่วยเหลือนักเรียนพยาบาลศิริราชผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ในการศึกษา นอกจากนั้น เมื่อภายหลังเสด็จสวรรคตแล้ว พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ได้พระราชทานเงินที่ได้จากการถวายเป็นพระราชกุศลในงานพระบรมศพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี เมื่อปี พ.ศ. 2538 ให้กับคณะพยาบาลศาสตร์ในการก่อสร้างอาคาร “มหิดลอดุลยเดช – พระศรีนครินทร” ที่คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา
วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี
ในปีพ.ศ. 2516 เมื่อครั้งศาสตราจารย์นายแพทย์เสม พริ้งพวงแก้ว ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มีแนวการบริหารงานจัดการสถาบันศึกษาพยาบาลให้ทัดเทียมกับสถาบันการศึกษาวิชาชีพระดับอุดมศึกษา ทำให้เกิดการรวมการบริหารการศึกษาพยาบาลของกรมการแพทย์เข้าด้วยกัน โดยจัดตั้งหน่วยงานที่ทำหน้าที่ศูนย์กลางการบริหารเรียกว่า กองงานวิทยาลัยพยาบาล สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข[27] การดำเนินงานมีมาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งพ.ศ. 2536 ได้มีการรวมการศึกษาของกระทรวงสาธารณสุขทุกสายงานประกอบด้วยหน่วยงานด้านการผลิตและพัฒนาบุคลากรด้านสาธารณสุขจากกรมกองต่าง ๆ ได้แก่ วิทยาลัยพยาบาล วิทยาลัยการสาธารณสุขภาค โรงเรียนต่าง ๆ ในสังกัดกรมการแพทย์ กรมควบคุมโรคติดต่อ กรมอนามัย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองฝึกอบรม และกองงานวิทยาลัยพยาบาลสำนักงานปลัดกระทรวงฯ รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันเรียกว่า “สถาบันพัฒนากำลังคนด้านสาธารณสุข” และปีพ.ศ. 2539 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เปลี่ยนชื่อเป็น “สถาบันพระบรมราชชนก”[28]
นอกจากนี้ช่วงระยะเวลาเดียวกันในปี พ.ศ. 2536 กระทรวงสาธารณสุขกราบบังคมทูลขอพระราชทานชื่อใหม่ให้กับวิทยาลัยพยาบาลทั่วประเทศให้เป็นชื่อเดียวกัน โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าพระราชทานชื่อวิทยาลัยพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขว่า “วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี” ตามด้วยชื่อจังหวัดที่ตั้งของวิทยาลัยนั้น และพระราชทานตราพระนามาภิไธยย่อ “สว” เป็นตราสัญลักษณ์ประจำวิทยาลัยพยาบาลทุกแห่งด้วย ทั้งนี้มีวิทยาลัยพยาบาลที่ได้รับการพระราชทานชื่อก่อนหน้านี้แล้ว 3 แห่ง คือ วิทยาลัยพยาบาลพระปกเกล้า จันทบุรี วิทยาลัยพยาบาลศรีมหาสารคาม และวิทยาลัยพยาบาลพระจอมเกล้า เพชรบุรี ให้คงใช้ชื่อที่เคยพระราชทานไว้แล้วดังเดิม
จากพระกรณียกิจเกี่ยวกับการพยาบาล และการเป็นแบบอย่างการปฏิบัติที่มุ่งหวังให้ประชาชนทุกคนมีสุขภาพที่ดีของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี กระทรวงสาธารณสุขจึงได้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีและได้รับอนุมัติให้ วันที่ 21 ตุลาคม อันเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ เป็น “วันพยาบาลแห่งชาติ” ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 เป็นต้นมา เพื่อระลึกถึงพระกรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ที่พระราชทานแก่วงการพยาบาลไทย
นอกจากนี้ยังทรงริเริ่มโครงการในพระอุปถัมภ์อีกหลากหลายทั้งด้านสังคมสงเคราะห์ อาทิ มูลนิธิส่งเสริมผลผลิตชาวเขาไทยในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ซึ่งต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น “มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง” โครงการอบรมพัฒนาเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร โครงการพัฒนาดอยตุง และมีพระราชกรณียกิจทางด้านการศาสนา อาทิ ทรงกระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถานีวิทยุ อ.ส. พระราชวังดุสิตจัดรายการบริหารทางจิตประจำทุกวันอาทิตย์ โดยพระสาสนโสภณ เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร จัดรายการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512[29]
นอกจากพระราชกรณียกิจข้างต้น สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนียังทรงมีพระราชกรณียกิจที่เกี่ยวข้องกับกิจการบ้านเมืองและความเป็นไปของประเทศไทยในฐานะพระราชมารดาของพระเจ้าอยู่หัวถึงสองพระองค์ คือ ในสมัยผลัดเปลี่ยนจากรัชกาลที่ 8 สู่รัชกาลที่ 9 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีได้อยู่ในความขัดแย้งระหว่างกลุ่มรอยัลลิสต์และกลุ่มนายปรีดีแห่งคณะราษฎรดังที่ถูกเอ่ยพระนามโดยทูตต่างประเทศ[30] ทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์และลงพระนามในการออกกฎหมายต่าง ๆ ระหว่างพ.ศ. 2503 – 2510 กว่า 144 ฉบับ[31] และยังทรงมีสายสัมพันธ์อันดีระหว่างเชื้อพระวงศ์กับกษัตริย์พระองค์เก่าคือพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนียังคงเสด็จเยี่ยมสมเด็จ พระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินีอยู่โดยตลอดจนบั้นปลายประชนม์ชีพ[32]
สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีแม้จะมีฐานะดังเดิมเป็นสามัญชน แต่ทรงวางพระองค์ได้อย่างเหมาะสม ทรงประสานประโยชน์ของประชาชนและผลประโยชน์ทางการเมืองของประเทศไทยได้เป็นอย่างดีจนเป็นที่ยอมรับทั้งต่อประชาขนทั่วไป ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล หรือแม้แต่เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง
บรรณานุกรม
กัลยานิวัฒนา, สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้า, กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์. แม่เล่าให้ฟัง, พิมพ์ครั้งที่ 11,
กรุงเทพฯ; ซิลค์เวอร์ม บุคส์, 2529.
เจ้านายเล็กๆ ยุวกษัตริย์, พิมพ์ครั้งที่ 6 กรุงเทพฯ; ซิลค์เวอร์ม บุคส์, 2549.
กองทัพเรือ. พระประวัติและจริยวัตรของจอมพลเรือสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์
วรพินิต, กรุงเทพฯ: กองทัพเรือ, 2499.
จุลจักรพงษ์, พระเจ้าวงศ์เธอ พระองค์เจ้า. เจ้าชีวิต พงศาวดาร 9 รัชกาลแห่งราชวงศ์จักรี. กรุงเทพฯ: ริเวอร์
บุ๊คส์, 2555.
ณัฐพล ใจจริง. “การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามภายใตระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ.
2491-2500)” รัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิตสาขาวิชารัฐศาสตร คณะรัฐศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, 2552.
ประสพโชค อ่อนกอ. สมเด็จพระศรีนครินทรานุสรณ์. กรุงเทพฯ: มูลนิธิช่วยการสาธารณสุขชุมชน ในพระ
อุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์, 2539.
เพ็ญศรี ดุ๊ก และคณะ. สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี. กรุงเทพฯ :โครงการไทยศึกษา ฝ่ายวิชาการ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกับธนาคารนครหลวงไทย, 2527.
พฤทธิสาน ชุมพล, ม.ร.ว. กุลสตรีศรีสยาม สง่างามทุกกาลสถาน. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า, 2560.
ยิ้ม ปัณฑยางกูร. ราชสกุลวงศ์ พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพนายเนย อิศรางกูร ณ อยุธยา. กรุงเทพฯ: โรง
พิมพ์มหาดไทย, 2507.
สกุลไทย รายสัปดาห์, สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี. กรุงเทพ: อักษรโสภณ, 2538.
สมาคมศิษย์เก่าวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ. พันโทนายแพทย์หลวงนิตย์ เวชชวิศิษฎ์ ผู้ให้กำเนิด
สถานศึกษาพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข อนุสรณ์ในวาระครบ 120 ปีชาตกาล วันที่ 29 กันยายน
2559. กรุงเทพฯ: สมาคมศิษย์เก่าวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ, 2559.
ศุภรัตน์ เลิศพาณิชย์กุล. พระมามลายโศกหล้า เหลือสุข : พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจในสมเด็จพระ
ศรีนครินทราบรมราชชนนี, กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรุงเทพ, 2541.
อาสา คำภา. “ความเปลี่ยนแปลงของเครือข่ายชนชั้นนำไทย พ.ศ.2495-2535” ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต, สาขา
ประวัติศาสตร์, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2562.
แหล่งข้อมูลออนไลน์
“ประกาศสถาปนาพระราชชนนีศรีสังวาลย์ ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาล”, คลังสารสนเทศของ
สถาบันนิติบัญญัติ, สืบค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2567.
,https://dl.parliament.go.th/handle/20.500.13072/231367.
ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีสวรรคต”, คลังสารสนเทศของ
สถาบันนิติบัญญัติ, สืบค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2567. https://dl.parliament.go.th/handle/20.500.13072/92028.
มูลนิธิ พอ.สว., “ประวัติความเป็นมามูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี” สำนักงาน
มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี, สืบค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2567. https://www.pmmv.or.th/aboutus.php
[1] สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์, แม่เล่าให้ฟัง, พิมพ์ครั้งที่ 11, (กรุงเทพฯ; ซิลค์เวอร์ม บุคส์, 2549), 12.
[2] พระยศในขณะนั้นของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศอดลุยเดชวิกรมพระบรมราชชนก
[3] สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์, แม่เล่าให้ฟัง, 36 – 37.
[4] พระยศในขณะนั้นของสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า
[5] สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์, แม่เล่าให้ฟัง, 22 – 26.
[6] เรื่องเดียวกัน, 35.
[7] เรื่องเดียวกัน, 105 – 107.
[8] เพ็ญศรี ดุ๊ก และคณะ, สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี, (กรุงเทพฯ :โครงการไทยศึกษา ฝ่ายวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกับธนาคารนครหลวงไทย, 2527), 67.
[9] หม่อมเจ้าหญิงกัลยาณิวัฒนาและหม่อมเจ้าชายอานันทมหิดล ได้รับการสถาปนาเป็น พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าในสมัยรัชกาลที่ 7 ใน ยิ้ม ปัณฑยางกูร, ราชสกุลวงศ์ พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพนายเนย อิศรางกูร ณ อยุธยา, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาดไทย, 2507), 146.
[10] เรื่องเดียวกัน, 157 – 170.
[11] สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์, เจ้านายเล็กๆ ยุวกษัตริย์, พิมพ์ครั้งที่ 6 (กรุงเทพฯ; ซิลค์เวอร์ม บุคส์, 2549), 197.
[12] พระเจ้าวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์, เจ้าชีวิตพงศาวดาร 9 รัชกาลแห่งราชวงศ์จักรี, (กรุงเทพฯ: ริเวอร์บุ๊คส์, 2555), 362. บทบาทที่สำคัญซึ่งทำให้เป็นที่เข้าใจว่าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์ วรพินิต จะได้สืบราชสมบัติ นอกจากทรงเป็นพระโอรสของรัชกาลที่ 5 ที่ประสูติแก่พระมารดาเจ้าแล้วยัง ทรงตำรงตำแหน่งทางการทหารทั้งทหารบกและทหารเรือมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ดูเพิ่มเติมใน กองทัพเรือ, พระประวัติและจริยวัตรของจอมพลเรือสมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต, (กรุงเทพฯ: กองทัพเรือ, 2499).
[13] เพ็ญศรี ดุ๊ก และคณะ, สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี, 97.
[14] สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยานิวัฒนากรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์, แม่เล่าให้ฟัง, 190.
[15] “ประกาศสถาปนาพระราชชนนีศรีสังวาลย์ ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาล”, คลังสารสนเทศของสถาบันนิติบัญญัติ, สืบค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2567, https://dl.parliament.go.th/handle/20.500.13072/231367.
[16] เพ็ญศรี ดุ๊ก และคณะ, สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี, 194.
[17]เรื่องเดียวกัน, 118 – 119.
[18] เรื่องเดียวกัน, 200 -201.
[19] สกุลไทย รายสัปดาห์, สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี, (กรุงเทพ: อักษรโสภณ, 2538), 19.
[20]ศุภรัตน์ เลิศพาณิชย์กุล, พระมามลายโศกหล้า เหลือสุข : พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี, (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรุงเทพ, 2541), 547.
[21] “ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีสวรรคต” ”, คลังสารสนเทศของสถาบันนิติบัญญัติ, สืบค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2567, https://dl.parliament.go.th/handle/20.500.13072/92028.
[22] เพ็ญศรี ดุ๊ก และคณะ, สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี, 87.
[23] สกุลไทย รายสัปดาห์, สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี, 45.
[24] เรื่องเดียวกัน, 178.
[25] มูลนิธิ พอ.สว., “ประวัติความเป็นมามูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี” สำนักงานมูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี, สืบค้นเมื่อ 15 กรกฎาคม 2567. https://www.pmmv.or.th/aboutus.php
[26] อาสา คำภา, “ความเปลี่ยนแปลงของเครือข่ายชนชั้นนำไทย พ.ศ.2495-2535” (ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต, สาขาประวัติศาสตร์, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2562), 208.
[27] สมาคมศิษย์เก่าวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ, พันโทนายแพทย์หลวงนิตย์ เวชชวิศิษฎ์ ผู้ให้กำเนิดสถานศึกษาพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข อนุสรณ์ในวาระครบ 120 ปีชาตกาล วันที่ 29 กันยายน 2559, (กรุงเทพฯ: สมาคมศิษย์เก่าวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี กรุงเทพ, 2559), 190.
[28] เรื่องเดียวกัน.
[29] สกุลไทย รายสัปดาห์, สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี, 54.
[30] ณัฐพล ใจจริง, “การเมืองไทยสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามภายใตระเบียบโลกของสหรัฐอเมริกา (พ.ศ.2491-2500)” (รัฐศาสตรดุษฎีบัณฑิตสาขาวิชารัฐศาสตร คณะรัฐศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, 2552), 42 -45.
[31] ประสพโชค อ่อนกอ, สมเด็จพระศรีนครินทรานุสรณ์, (กรุงเทพฯ: มูลนิธิช่วยการสาธารณสุขชุมชน ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์, 2539) 157 .
[32] ม.ร.ว. พฤทธิสาน ชุมพล, กุลสตรีศรีสยาม สง่างามทุกกาลสถาน, (กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า, 2560), 425.