ผู้แทนทางการเมืองแบบได้รับมอบหมาย (trustee)

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง : เอกวีร์ มีสุข

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต

 

          ผู้แทนทางการเมืองแบบได้รับมอบหมาย (trustee) หมายถึง ผู้แทนที่ได้รับอำนาจมอบหมายจากพลเมืองในเขตเลือกตั้งของตนในการคิดและตัดสินใจในกิจการบ้านเมืองและประเด็นทางสาธารณะ ผู้แทนสามารถอาศัยเหตุผลของตนเองเพื่อไตร่ตรองว่าสิ่งใดคือผลประโยชน์สาธารณะ โดยผลประโยชน์ในกรณีนี้จะครอบคลุมถึงผลประโยชน์ของคนทั่วไปทั้งประเทศและรวมถึงผู้ออกเสียงเลือกตั้งเลือกในเขตเลือกตั้งของตนเองด้วย[1] กล่าวอีกนัยหนึ่ง การใช้เหตุผลของตัวผู้แทนเองในการตัดสินใจไม่จำเป็นต้องตรงกับความเห็นหรือผลประโยชน์ของผู้ออกเสียงเลือกตั้งในช่วงขณะนั้น ถ้าการตัดสนิใจดังกล่าวเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะโดยรวม ทั้งนี้ ซูซาน โดวี (Suzanne Dovi) เสนอว่าผู้แทนทางการเมืองแบบได้รับมอบหมายคือผู้ที่ยึดถือเอาความเข้าใจของตนเพื่อกระทำการใดที่ดีที่สุดในการแสวงหาสิ่งต่าง ๆ กรอบคิดแบบมอบหมายจึงเรียกร้องให้ผู้แทนต้องยึดตามวิจารณญาณการตัดสินใจของตนที่เกี่ยวกับชุดของการกระทำที่เหมาะสมนั่นเอง[2] ในการทำความเข้าใจแนวคิดผู้แทนทางการเมืองแบบได้รับมอบหมาย สามารถพิจารณาผ่านพัฒนาทางแนวคิดและองค์ประกอบของแนวคิดดังกล่าว

 

พัฒนาการและฐานคิดผู้แทนทางการเมืองแบบได้รับมอบหมาย

          แนวคิดผู้แทนทางการเมืองแบบได้รับมอบหมายมีพัฒนาการทางความคิดที่สามารถสืบย้อนไปถึงธรรมเนียมทางกฎหมายโรมันโบราณและกฎหมายกับธรรมเนียมในยุคกลาง เพื่อกำหนดวิถีปฏิบัติทางการเมืองและศาสนาของประชาชน (ผ่านผู้แทนในตำแหน่งต่าง ๆ อาทิ ทูต (ambassadors) หรือผู้แทนแบบตัวแทน (delegates) ที่จะเป็นตัวแทนให้กับเมือง เจ้าที่ดิน ชุมชน หรือกลุ่มทางศาสนาเข้าไปทำงานในองค์กรเพื่อทำหน้าที่การตัดสินใจ (เช่น สภาท้องถิ่น หรือรัฐสภา)[3] โดยที่พัฒนาการของระบบกฎหมายและการปกครองของยุโรปได้นำเสนอแนวคิดและวิธีปฏิบัติของความเป็นผู้แทนทางการเมืองในสองลักษณะที่เติมเต็มซึ่งกันและกันคือ ผู้แทนทางการเมืองแบบตัวแทน_(delegation) และผู้แทนทางการเมืองแบบได้รับมอบหมาย (trustee)[4] สะท้อนได้จากการแบ่งแยกของ 1) แนวคิดผู้แทนทางการเมืองแบบมิติการให้คำสั่งหรือ instructions อันสะท้อนแนวคิดผู้แทนทางการเมืองแบบตัวแทน ที่ผู้แทนทางการเมืองต้องรับความเห็นของประชาชนในชุมชนเพื่อนำไปสะท้อนและถ่ายทอดยังที่ประชุมชนของการตัดสินใจ และ 2) แนวคิดผู้แทนทางการเมืองแบบมิติ plena potestas (the plena potestas of representatives) ที่มีอิทธิพลต่อแนวคิดและผู้แทนทางการเมืองแบบได้รับมอบหมาย อันหมายถึงความสามารถของผู้แทนที่สามารถตัดสินใจและรับรองว่าผลของการตัดสินใจของผู้แทนจะผูกพันกับชุมชนของผู้แทนคนนั้นด้วย[5] ในธรรมเนียมทางกฎหมายของยุคกลางได้พัฒนาแนวคิดและวิถีปฏิบัติสะท้อนแนวคิดความเป็นผู้แทนทางการเมืองในสองลักษณะข้างต้น แต่ในมิติแบบ plena potestas ที่องค์กรผู้มีอำนาจทั้งทางโลกและทางศาสนา ผู้แทนจะต้องได้รับการยินยอมจากผู้ใต้ปกครองให้สามารถมีการตัดสินใจในเรื่องสำคัญ ผู้แทนของชุมชนและที่ดินมีอำนาจในการแสดงจุดยืนและสร้างการตัดสินใจที่จะต้องผูกพันผลการตัดสินใจดังกล่าวต่อผู้ที่ถูกแทน (the represented)[6]

          เอ็ดมันต์ เบิร์ก (Edmund Burke) เป็นนักคิดและนักปรัชญาชาวอังกฤษที่ให้มุมมองสนับสนุนแนวคิดผู้แทนทางการเมืองแบบได้รับมอบหมายที่แตกต่างจากนักคิดท่านอื่นที่สนับสนุนแนวคิดผู้แทนทางการเมืองแบบตัวแทน เบิร์กให้ความสำคัญต่อบทบาทของผู้แทนที่ควรทำหน้าที่รับผิดชอบต่อประชาชนทั่วไปทั่งประเทศ ไม่ใช่แค่รับผิดชอบและทำหน้าที่เพียงสะท้อนความเห็นของผู้ออกเสียงเลือกตั้งในเขตของตนเพียงอย่างเดียว ด้วยเหตุนี้เบิร์กจึงมองว่ารัฐสภาในฐานะสถาบันทางการเมืองของความเป็นผู้แทนต้องทำหน้าที่เป็นเวทีของการไตร่ตรองถึงผลประโยชน์โดยรวมของประเทศชาติ มิใช่เป็นที่ประชุมของเหล่าผู้แทนที่นำเสนอความคิดเห็นและความต้องการของผลประโยชน์ต่าง ๆ ผู้แทนที่ทำงานในสภาจึงควรเป็นผู้แทนของชาติไม่ใช่ผู้แทนของเขตเลือกตั้ง กล่าวคือ “แน่ละ คุณเลือกตัวแทน แต่เมื่อคุณเลือกเขา เขาผู้นั้นก็ไม่ใช่สมาชิกของบริสตอล แต่เป็นสมาชิกของรัฐสภา” (“You choose a member, indeed; but when you have chosen him he is not a member of Bristol, but he is a member of Parliament”)[7]

          สำหรับพัฒนาการของสถาบันการเมืองแบบตัวแทนที่สะท้อนแนวคิดความเป็นผู้แทนทางการเมืองแบบได้รับมอบหมาย สามารถศึกษาผ่านการออกแบบรัฐธรรมนูญและองค์กรผู้ใช้อำนาจทางนิติบัญญัติที่จะมุ่งกำหนดหน้าที่ของผู้แทนราษฎรไว้ว่าควรเป็นแบบได้รับมอบหมาย ตัวอย่างเช่น ภายหลังการปฏิวัติฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1789 และการตรารัฐธรรมนูญฝรั่งเศส ค.ศ. 1791 ที่ถือว่า “ผู้แทนจังหวัดทั้งหลาย ถือว่าเป็นผู้แทนของชาติโดยทั้งหมด”[8] หรือแนวคิดการออกแบบรัฐธรรมนูญอเมริกันที่ได้สถาปนาระบบการปกครองแบบสหพันธรัฐ (federal government) นักคิดและนักปรัชญาอย่างแอมานุแอล โฌแซ็ฟ ซีเยแย็ส (Emmanuel Joseph Sieyès) ต่อรัฐธรรมนูญฝรั่งเศส และเจมส์ เมดิสัน (James Madison) ต่อรัฐธรรมนูญอเมริกันมีบทบาทสำคัญในการนำเสนอกรอบมโนทัศน์ทางการเมืองและสถาบันแบบสมัยใหม่เกี่ยวกับความเป็นผู้แทนทางการเมืองและเศรษฐกิจ และแสดงให้เห็นว่าความเป็นตัวแทนในการปกครองแบบตัวแทนที่มีความแตกต่างจากแนวคิดประชาธิปไตย (โดยเฉพาะประชาธิปไตยทางตรง) ในงานชื่อ Qu’est-ce que le Tiers-E´ tat? (What Is the Third Estate?) ของซีเยแย็ส เสนอว่าความแตกต่างระหว่างแนวคิดประชาธิปไตยที่มองว่าประชาชาชนสามารถตัดสินใจออกกฎหมายได้ด้วยตนเองโดยตรงและแนวคิดระบบความเป็นผู้แทนของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับการมอบหมายอำนาจให้กับผู้แทนที่มาจากการเลือกตั้งมาเป็นผู้ใช้อำนาจการปกครอง ซิเยแย็สได้ปกป้องแนวคิดการปกครองโดยผู้แทน (representative government) เพราะเขามองว่าเป็นแนวคิดที่เหมาะสมต่อเงื่อนไขของการเป็นสังคมการค้า (commercial societies) ที่ปัจเจกบุคคลเป็นผู้ครอบครองปัจจัยและการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ ผู้แทนทางการเมือง (political representatives) ควรเป็นตัวแทนผลประโยชน์ร่วมของชาติ (nation’s common interests) ไม่ใช่ตัวแทนผลประโยชน์ที่หลากหลายของสมาชิก ขณะที่เมดิสันเสนอว่าความเป็นผู้แทนทางการเมืองไม่ได้เป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับการปกครองโดยประชาชนที่ถูกสร้างขึ้นมาจากความจำเป็นด้านขนาดและความซับซ้อน
ของรัฐสมัยใหม่ขนาดใหญ่ เมดิสันเสนอว่าความเป็นผู้แทนมีความแตกต่างเชิงสาระและการเป็นระบบที่เหนือกว่า เพราะจะยกระดับการสร้างการตัดสินใจที่ดี (good judgement) ในทางการเมืองและก้าวข้ามอันตรายของการแบ่งข้างทางการเมือง[9]  

          นอกจากนี้ ซีเยแย็สได้พัฒนาทฤษฎีความเป็นผู้แทนที่กล่าวอ้างอิงถึงการสมาคมของมนุษย์ในยุคสมัยใหม่ในเรื่องการแบ่งแยกแรงงาน (division of labour) และความสัมพันธ์ระหว่างการแบ่งแยกแรงงานกับการเพิ่มความเชี่ยวชาญเฉพาะ (specialization) และความเป็นตัวแทน (representation) โดยแบ่งแนวคิดความเป็นผู้แทนออกเป็นสองลักษณะ คือ หนึ่ง ความเป็นผู้แทนสามารถปรากฏได้ในกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวกับการเมืองในชีวิตประจำวัน (the non-political activities of everyday life.) ซิเยแย็สยกตัวอย่างเปรียบเทียบเกี่ยวกับช่างทำรองเท้าว่าถ้าหากพวกเขาเป็นตัวแทนของเรา (ในการทำรองเท้า) ช่างทำรองเท้ากำลังเป็นตัวแทนเราในการใช้ประโยชน์จากศักยภาพของทั้งช่างทำรองเท้าและจากเราเองในการทำรองเท้าให้สามารถใช้งานตามความจำเป็นเพื่อสร้างความพึงพอใจต่อความต้องการของเรา นอกจากนี้การใช้ประโยชน์จากผู้แทนที่จะนำศักยภาพของเราไปทำรองเท้าของเราเอง จะช่วยให้เราสามารถลดเวลาและความพยายามในการเข้าร่วมประชุมเกี่ยวกับเรื่องที่จำเป็นเพื่อป้องกันเท้าของเราและทำให้เรามีอิสระในการไปทำกิจกรรมอย่างอื่นแทน ซิเยแย็สมองว่าการแบ่งแยกแรงงานและการเข้าไปสมาคมในกลุ่มผู้แทนเสียงส่วนมากจะช่วยเพิ่มความรื่นรมณ์ในชีวิตของประชาชนและเป็นองค์ประกอบที่จำเป็นในการพัฒนาศิลปะและวิทยาศาสตร์ และพัฒนาการสมาคมกันของมนุษย์อย่างยั่งยืนในท้ายที่สุด และ สอง ความเป็นผู้แทนสามารถปรากฏได้ในสังคมการเมือง (political society) อันหมายถึงสมาชิกรัฐสภาที่เป็นผู้แทนทางการเมืองของประชาชน ซิเยแย็สเสนอว่าโดยข้อเท็จจริงแล้วสมาชิกรัฐสภาเป็นตัวแทนของรัฐมากกว่าเป็นตัวแทนของประชาชนเป็นการเฉพาะ จากแนวคิดความเป็นผู้แทนทั้งสองแบบของซิเยแย็สสะท้อนถึงการมีเป้าหมายร่วมกันของแนวคิดนี้ คือ การมีใครสักคนทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนที่ช่วยให้ประชาชนเข้าถึงหรือบรรลุความต้องการของประชาชนและปล่อยให้ประชาชนสามารถไปทำภารกิจอื่นแทน เหมือนการมีช่างทำรองเท้าเป็นตัวแทนในการทำรองเท้าให้กับเราและทำให้เรามีอิสระไปทำเรื่องอื่น (แทนที่จะมาทำรองเท้าเอง) เช่นเดียวกับการมีนักการเมืองอาชีพ (professional politicians) มาทำหน้าที่แทนเราในชีวิตทางการเมือง อย่างไรก็ตามความแตกต่างของการทำหน้าที่ตัวแทนของสองแนวคิด คือ ความเป็นผู้แทนในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการเมืองมีลักษณะที่แตกต่างหลากหลายประเด็นและเกี่ยวข้องกับวิธีการที่ปัจเจกบุคคลแต่ละคนจะใช้เพื่อบรรลุถึงความต้องการของปัจเจกบบุคคลเป็นการเฉพาะ ขณะที่ผู้แทนทางการเมืองจะมีลักษณะที่เป็นเอกพจน์อันเกี่ยวข้องกับวิธีการที่ปัจเจกบุคคลจะใช้เพื่อบรรลุความต้องการทางการเมือง[10] ข้อเสนอของซิแยแย็สจึงมีลักษณะที่สอดคล้องกับความเป็นผู้แทนทางการเมืองแบบได้รับมอบหมายที่ต้องมีผู้แทนเพื่อทำหน้าที่แทนเราทั้งในทางชีวิตนอกวงการเมืองและในโลกการเมือง

 

องค์ประกอบของผู้แทนทางการเมืองแบบได้รับมอบหมาย

          แนวคิดผู้แทนทางการเมืองแบบได้รับมอบหมายโดยมีคุณลักษณะสำคัญ 2 ประการ ได้แก่[11]

          1) ความรับผิดชอบและบทบาทของผู้แทนแบบได้รับมอบหมาย ผู้แทนจะต้องมีหน้าที่รับฟังความเห็นความต้องการของพลเมืองในเขตเลือกตั้งของตนและต้องใช้มโนสำนึกไตร่ตรองว่าสิ่งใดคือผลประโยชน์ของประเทศ และตัดสินใจตามสิ่งที่ตนไตร่ตรองแล้ว การตัดสินใจสาธารณะที่เกิดขึ้นจึงเป็นผลจากกระบวนการรับฟังและการไตร่ตรอง แม้ว่าผู้แทนเหล่านี้จุดเริ่มต้นจะมาจากการเลือกตั้งของผู้ออกเสียงเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งของตน แต่ผู้แทนจะไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่ถ่ายทอดความคิดและผลประโยชน์ของผู้ออกเสียงเลือกตั้งในเขตของตน แต่จะอาศัยความเห็นและความต้องการของผู้ออกเสียงเลือกตั้งเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการไตร่ตรองและการต่อรองเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจในประเด็นสาธารณะ

          2) การให้ความสำคัญกับมโนธรรมสำนึกและการไตร่ตรองของผู้แทน แนวคิดนี้เห็นว่าหากผู้แทนใช้มโนธรรมและการไตร่ตรองอย่างแท้จริงแล้ว การไม่ทำตามความต้องการหรือผลประโยชน์ของพลเมืองในเขตเลือกตั้ง อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้ก่อให้เกิดปัญหาผู้แทนที่มีอำนาจทางการเมืองแต่ปราศจากความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างผู้แทนกับพลเมืองในเขตเลือกตั้ง เนื่องจากการไม่ทำตามดังกล่าวไม่สามารถเป็นมูลเหตุของการถอดถอนหรือควบคุมพฤติกรรมของผู้แทน จนทำให้ผู้แทนเสมือนมีอิสระจากพลเมืองในเขตเลือกตั้งของตนหลังจากที่ได้รับเลือกแล้ว[12]

          การทำให้ผู้แทนทางการเมืองทำหน้าที่แบบได้รับมอบหมายมีนักวิชาการที่เสนอว่าเป็นเรื่องจำเป็นเพราะผู้แทนที่สามารถใช้ความคิดไตร่ตรองต่อประเด็นทางสาธารณะช่วยในการจัดการผลประโยชน์ (interest) และความปรารถนา (desire) ของผู้ออกเสียงเลือกตั้ง เจ โรแลนด์ เพนน็อก (J. Roland Pennock) เสนอว่าผู้แทนทางการเมืองมีหน้าที่ที่กระทำการแทนผู้ที่ถูกแทน/สิ่งที่ถูกแทนในสองเรื่องคือผลประโยชน์และความปรารถนา โดยเพนน็อกเสนอว่าความปรารถนาเป็นความต้องการที่เกิดอย่างฉับพลันและเฉพาะหน้า แตกต่างจากผลประโยชน์ที่ต้องอาศัยการไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ดังนั้นความปรารถนาจึงต้องได้รับการตอบสนองอย่างรวดเร็วเฉพาะหน้าเมื่อมันเกิดขึ้น ขณะที่ผลประโยชน์ต้องอาศัยการตอบสนองที่คำนึงถึงคุณประโยชน์ในระยะยาว[13] ตัวอย่างเช่น หากมีโครงการตัดถนนบริเวณหน้าบ้านของเรา เราในฐานะเจ้าบ้านอาจรู้สึกว่าเป็นเรื่องปรารถนาที่บ้านและที่ดินของเราจะมีถนนตัดผ่านและมูลค่าที่ดินจะสูงขึ้นในเวลาอันสั้น แต่หากพิจารณาถึงผลประโยชน์ในระยะยาวก็ต้องไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนว่าการตัดถนนเส้นดังกล่าวก่อให้เกิดผลประโยชน์ระยะยาวหรือไม่ ซึ่งอาจเกิดประโยชน์ก็ได้หากถนนเส้นนี้ก่อให้เกิดการคมนาคมที่สะดวกและขยายมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่อาจกลายเป็นโทษหากถนนเส้นนี้ถูกผลักดันขึ้นจากผู้มีอิทธิพลที่ต้องการให้ที่ดินตัวเองมีมูลค่าสูงขึ้นจากการมีถนนตัดผ่านแม้ว่าถนนเส้นนี้จะได้รับการประเมินว่ามีความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจต่ำ เป็นต้น จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่าปมปัญหาของการมีผู้แทนทางการเมืองแบบได้รับมอบหมายอาจช่วยให้เกิดการไตร่ตรองในการจัดการผลประโยชน์ภาพรวมเพื่อผู้ออกเสียงเลือกตั้งและพลเมืองโดยรวม มากกว่าความปรารถนาเฉพาะหน้าในระยะสั้นของคน

          ทั้งนี้ แฮนนาห์ พิทกิน (Hanna Pitkin) นักรัฐศาสตร์และนักปรัชญาขาวอเมริกันยังเสนอว่าแนวคิดผู้แทนทางการเมืองแบบได้รับมอบหมายจะช่วยคงรักษาความเป็นอิสระของผู้แทน (the autonomy of the representative) เพื่อให้ผู้แทนทั้งชายและหญิงสามารถสร้างการตัดสินใจบนฐานของความเข้าใจที่ตนเองมีต่อเรื่องผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่ตนนำเสนอในนามของผู้ที่ถูกแทน/ผู้ออกเสียงเลือกตั้ง การรักษาไว้ซึ่งศักยภาพของู้แทนทางการเมืองให้กระทำการใด ๆ อย่างเป็นอิสระตามความปรารถนาของผู้ที่ถูกแทน ทั้งนี้พิทกินได้เน้นว่าแนวคิดผู้แทนทางการเมืองแบบตัวแทนและแนวคิดผู้แทนทางการเมืองแบบได้รับมอบหมาย ควรมีและใช้ในการนิยามความหมายผู้แทนทางการเมืองไปพร้อมกัน แม้ทั้งสองแนวคิดจะมีความแตกต่างทั้งในเชิงแนวคิดและลักษณะของผู้แทนที่เกิดขึ้นจริง[14] นอกจากนี้พิทกินยังได้พัฒนาแนวคิดผู้แทนทางการเมืองแบบได้รับมอบหมาย จากแนวคิดความเป็นผู้แทนแบบทางการ (Formalistic Representation) ของพิทกินได้ให้ความสำคัญกับการจัดการเชิงสถาบันที่จะเป็นแบบอย่างและริเริ่มความเป็นผู้แทนทางการเมืองที่ประกอบด้วย 2 มิติ คือ มิติการได้รับมอบอำนาจ (authorization) และมิติความพร้อมรับผิด (accountability) ในมิติการได้รับมอบอำนาจพัฒนาจากแนวคิดผู้แทนทางการเมืองแบบได้รับมอบหมาย โดยพิจารณาถึงวิธีการที่ผู้แทนทางการเมืองได้รับมอบสถานะ จุดยืน หรือตำแหน่งทางสาธารณะ โดยมีโจทย์สำคัญสองประการ คือ หนึ่ง อะไรคือกระบวนการที่ทำให้ผู้แทนทางการเมืองได้มาซึ่งอำนาจ และ สอง อะไรคือวิถีทางที่ผู้แทนทางการเมืองสามารถบังคับใช้การตัดสินใจของตนเองได้ อย่างไรก็ตามเกณฑ์การประเมินตัวผู้แทนทางการเมืองในมิติการได้รับมอบอำนาจยังไม่มีความเด่นชัดนัก แต่มักจะใช้การประเมินจากความชอบธรรมของผู้แทนในการเข้าไปดำรงตำแหน่งเป็นหลัก[15]

 

บรรณานุกรม

Dovi, Suzanne. "Political Representation." The Stanford Encyclopedia of Philosophy 2018. Accessed 5 March, 2021. https://plato.stanford.edu/entries/freedom-speech/.

Hamilton, Lawrence. Freedom Is Power: Liberty through Political Representation. London: Cambridge University Press, 2014.

Russo, Federico, and Maurizio Cotta. "Chapter 1: Political Representation: Concepts, Theories and Practices in Historical Perspective." In Research Handbook on Political Representation. Edited by Maurizio Cotta and Federico Russo. Cheltenham, UK: Edward Elgar Publishing, 2020.

วนัส ปิยะกุลชัยเดช, และ เอกวีร์ มีสุข. แนวคิดความเป็นผู้แทนทางการเมืองและการปรับใช้ในการเมืองไทย. กรุงเทพมหานคร: สถาบันพระปกเกล้า, 2566.

 

อ้างอิง

[1] วนัส ปิยะกุลชัยเดช, และ เอกวีร์ มีสุข, แนวคิดความเป็นผู้แทนทางการเมืองและการปรับใช้ในการเมืองไทย (กรุงเทพมหานคร: สถาบันพระปกเกล้า, 2566), 16.

[2] Suzanne Dovi, "Political Representation," The Stanford Encyclopedia of Philosophy 2018, accessed 5 March, 2021, https://plato.stanford.edu/entries/freedom-speech/.

[3] Federico Russo, and Maurizio Cotta, "Chapter 1: Political Representation: Concepts, Theories and Practices in Historical Perspective," in Research Handbook on Political Representation, ed. Maurizio Cotta and Federico Russo (Cheltenham, UK: Edward Elgar Publishing, 2020), 3.

[4] ดูในคำอธิบายผู้แทนทางการเมืองแบบได้รับมอบหมาย (trustee) หรือดูข้อถกเถียงของแนวคิดผู้แทนทางการเมืองแบบตัวแทนและแบบได้รับมอบหมายใน Dovi

[5] Russo, and Cotta,  in Research Handbook on Political Representation, 3-4.

[6] Russo, and Cotta,  in Research Handbook on Political Representation, 4.

[7] วนัส ปิยะกุลชัยเดช, และ เอกวีร์ มีสุข, 31-32. และ Dovi

[8] วนัส ปิยะกุลชัยเดช, และ เอกวีร์ มีสุข, 32.

[9] Lawrence Hamilton, Freedom Is Power: Liberty through Political Representation (London: Cambridge University Press, 2014), 108-10.

[10] Hamilton, 109-10.

[11] วนัส ปิยะกุลชัยเดช, และ เอกวีร์ มีสุข, น. 49-50.

[12] วนัส ปิยะกุลชัยเดช, และ เอกวีร์ มีสุข, 52-55.

[13] วนัส ปิยะกุลชัยเดช, และ เอกวีร์ มีสุข, 28.

[14] Dovi

[15] Dovi