กองทุนการเงินระหว่างประเทศ

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 09:16, 30 สิงหาคม 2566 โดย Apirom (คุย | ส่วนร่วม) (สร้างหน้าด้วย " <br/> IMF กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) เป็นองค์ก...")
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)


IMF

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund: IMF) เป็นองค์การระหว่างประเทศ
ซึ่งทำหน้าที่ดูแลอัตราแลกเปลี่ยนและรักษาเสถียรภาพของการเงินโลก สนับสนุนการค้าระหว่างประเทศให้ขยายตัวอย่างสมดุล และสามารถให้เงินกู้ฉุกเฉินแก่ประเทศสมาชิกที่ต้องการนำไปแก้ไขปัญหาภายในประเทศ
โดย IMF มีสำนักงานอยู่ที่กรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา และในปัจจุบัน IMF มีสมาชิกจำนวน 190 ประเทศ

ความเป็นมา

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ International Monetary Fund (IMF) ถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อ 22 กรกฎาคม ค.ศ.1944 จากการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเงินและการคลัง (United Nations Monetary and Financial Conference) อันมีผลมาจากการอ่อนแอของอังกฤษผู้เป็นมหาอำนาจในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสงครามโลกสิ้นสุดลงสหรัฐอเมริกาจึงได้เข้ามาควบคุมการเงินโลกโดยได้คิดค้นระบบเบรตตันวูดส์ (Bretton Woods System) เพื่อแก้ไขปัญหาการเงินโลกและได้วางหลักการใหม่ 3 หลักการ (Holy Trinity) ที่มีความศักดิ์สิทธิ์และสำคัญมากที่สุดต่่อระบบเบรตตันวูดส์ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ถูกก่อตั้งขึ้น
เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของหลักการใหม่

ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรที่ ได้สรุปว่าปัญหาทางเศรษฐกิจและการเมือง
ที่เป็นสาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 คือ การลดค่าเงินจนอัตราแลกเปลี่ยนไม่แน่นอนนำไปสู่ความปั่นป่วนของระบบการเงินของโลก และ การแข่งขันทางการค้าโดยการตั้งกำแพงภาษีศุลกากร เพื่อกีดกันสินค้าของประเทศอื่น ก่อให้เกิดความขัดแย้งและลุกลามไปเพิ่มเชื้อไฟให้ความขัดแย้งด้านอื่นๆ ดังนั้น เพื่อป้องกันความขัดแย้ง
ทางเศรษฐกิจ สหรัฐอเมริกาและประเทศฝ่ายสัมพันธมิตร จำนวน 44 ประเทศ จึงได้จัดประชุมที่เมือง
เบรตเตน วู๊ดส์ (Bretten Woods) รัฐนิวแฮมเชอร์ สหรัฐอเมริกา ระหว่าง 1 – 22 กรกฎาคม ค.ศ.1944
เพื่อจัดระบบทางการเงินของโลก การประชุมในครั้งนั้นจึงได้ลงมติทำข้อตกลงที่รู้จักในชื่อ “ข้อตกลง
เบรตเตน วู๊ดส์” (Bretten Woods Agreement) เพื่อจัดระเบียบการเงินโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยได้วางหลักการใหม่ 3 หลักการ (holy trinity)  ดังนี้ 1.กำหนดระบอบอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ (fixed exchange rate regime) โดยตกลงให้ทองคำและเงินสกุลดอลลาร์ของสหรัฐฯ เป็นเงินสำรองระกว่างประเทศ เป็นการเริ่มใช้ระบบมาตรฐานปริวรรตทองคำ (gold exchange standard) ส่วนเงินสกุลอื่น ๆ ให้เทียบค่าในอัตราแลกเปลี่ยนที่แน่นอนคงที่กับดอลลาร์สหรัฐฯ หรือทองคำ ทั้งนี้โดยมีความยืดหยุ่นผันผวนได้ร้อยละ 1 เท่านั้น 2.ตั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund หรือ IMF) เพื่อดูแลอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ การเงินและการคลังของประเทศสมาชิก  เพื่อรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนของระบบการเงินระหว่างประเทศ 3.ตั้งธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการบูรณะฟื้นฟูและการพัฒนา (International Bank for Reconstruction and Development หรือ IBRD)  หรือมีชื่อสั้นๆว่า “ธนาคารโลก” (world bank) เพื่อทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือในการฟื้นฟูบูรณะประเทศที่เสียหายจากสงครามและช่วยเหลือประเทศสมาชิกในการพัฒนาเศรษฐกิจ 

IMF เริ่มดำเนินงานตั้งแต่ ค.ศ.1947 โดยมีวัตถุประสงค์ คือ 1.ส่งเสริมเสถียรภาพและความเป็นระเบียบของอัตราแลกเปลี่ยนของเงินตราสกุลต่างๆ และป้องกันการแข่งขันในการลดค่าเงิน 2.ส่งเสริมความร่วมมือ
ทางการเงินระหว่างประเทศ โดยจัดตั้งข้อตกลงแลกเปลี่ยนทางการเงินระหว่างสมาชิก และสนับสนุนให้เกิดการชำระเงินหลายฝ่าย (multilateral system of payment) และพยายามขจัดการควบคุมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอันเป็นอุปสรรคต่อความเจริญเติบโตของการค้าโลก 3.อำนวยความสะดวกและส่งเสริมการขยายตัวทางการค้าระหว่างประเทศอย่างสมดุล ซึ่งจะช่วยพัฒนาการใช้ทรัพยากรวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ 4.ช่วยแก้ไขปัญหาขาดดุลการชำระเงินของประเทศสมาขิก เพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อระบบการเงินโลก 5.สร้างความเชื่อมั่นแก่ประเทศสมาขิกและให้ประเทศสมาขิกมีสิทธิใช้ทรัพยากรของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ เพื่อปรับปรุงดุลการชำระเงินให้มีเสถียรภาพ 

อย่างไรก็ดี องค์ประกอบสำคัญที่สุดของระบบเบรตตัน วู๊ดส์ ได้ล่มลง ใน ค.ศ.1971 เมื่อสหรัฐฯ ประกาศยกเลิกการผูกอัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์กับทองคำ ทำให้ดอลลาร์ลอยตัว และถือเป็นการสิ้นสุดของระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่ และต่อมาเงินสกุลอื่นๆ ของประเทศร่ำรวยก็ถูกปล่อยให้ลอยตัว คือ เงินปอนด์ลอยตัวในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1972 เงินฟรังก์สวิสลอยตัวในเดือนมกราคม ค.ศ.1973 ดังนั้น นับตั้งแต่ ค.ศ.1973
จนถึงปัจจุบัน ระบบอัตราแลกเปลี่ยนของโลกเป็นระบบลอยตัว (floating exchange rate) เป็นส่วนใหญ่แต่ละประเทศได้ดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนตามความเหมาะสมของเศรษฐกิจการเมืองของตน แต่ถึงกระนั้น IMF ก็ยังคงอยู่ ไม่ได้ล้มไป 

ในการดำเนินการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ มีเงินทุนหรือทรัพยากร (resources) ซึ่งมาจาก โควต้าและเงินกู้พิเศษ โดยประเทศสมาชิกต้องนำทุนสำรองส่วนหนึ่งฝากไว้กับ IMF ทุนสำรองนี้จะเป็นทองคำจำนวนหนึ่งและเงินตราของประเทศตนเองจำนวนหนึ่ง ทุนสำรองในรูปเงินฝากกับ IMF นี้ เรียกว่า โควตา ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางเศรษฐกิจของประเทศนั้น เช่น ขนาดการค้า ขนาดทุนสำรอง และระดับรายได้ประชาชาติ ส่วนเงินกู้พิเศษ ได้มาจากการกู้ยืมจากกลุ่ม G-1 ซึ่งเป็นประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ ต่อมาใน ค.ศ.1967 กองทุนการเงินระหว่างประเทศได้จัดทำสินเชื่อพิเศษเรียกว่า SDR หรือ “สิทธิพิเศษในการถอนเงิน” (Special Drawing Rights) ซึ่งเป็นหน่วยบัญชีสินเชื่อพิเศษ มีค่าประดุจเงินตรา ความเชื่อถือใน SDR อยู่บนรากฐานของการยอมรับข้อตกลงระหว่างชาติที่ให้ไว้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ SDR จะเป็นเงินสำรองอีกรูปแบบหนึ่ง และเป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาการขาดดุลชำระเงินของประเทศสมาชิก เดิมค่าของ SDR จะเท่ากับค่าเฉลี่ยของเงินสกุลสำคัญของโลก 16 สกุล แต่ต่อมาได้เทียบค่ากับ “ตะกร้าเงิน” ของสกุลหลักเพียง 1.375 เหรียญสหรัฐฯ ประเทศที่มีปัญหาค่าเงินตกต่ำ อาจกู้ยืมเงิน SDR อยู่ไม่มากนัก เพียง 11.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับปัญหาทางการเงินที่หลายๆประเทศประสบอยู่ ต่อมาในทศวรรษที่ 1990 กองทุนการเงินระหว่างประเทศได้เข้าไปช่วยเหลือประเทศที่กำลังปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจจากสังคมนิยมมาเป็นทุนนิยม
เช่น รัสเซียและสาธารณรัฐที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียตโดยได้ให้กู้ยืมเงินไปปรับโครงสร้างเศรษฐกิจประมาณ 39.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ 

ต่อมาใน ค.ศ.1997 ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียหลายประเทศ เช่น ประเทศไทย อินโดนีเซีย
ประสบวิกฤตทางการเงิน จนต้องลดค่าเงิน วิกฤตนี้ได้ลุกลามขยายตัวไปยังประเทศในเอเชียอื่นๆรวมทั้งเกาหลีใต้ ทำให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศต้องเข้ามามีบทบาทในการระดมเงินเกือบ 100 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
เพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์และฟื้นฟูเศรษฐกิจ กองทุนการเงินระหว่างประเทศได้กลายเป็น “เจ้าหน้าพิจารณาเงินกู้
ของโลก” (World Loan Officer) ซึ่งได้คำแนะนำแก่นายทุนระหว่างชาติว่า ควรให้เงินกู้ หรือควรเจรจาผ่อนผันการชำระหนี้ หรือไม่ควรให้กู้อีกต่อไป

IMF กับข้อวิจารณ์

แม้ว่ากองทุนการเงินระหว่างประเทศจะแสดงบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินโลก แต่ประเทศสมาชิกจำนวนมากได้วิจารณ์ IMF อย่างกว้างขวางทั้งในเวทีการประชุมระหว่างประเทศและในรัฐสภาของประเทศสมาชิก ดังนี้  

ข้อวิจารณ์ประการแรก คือ การลงมติตัดสินในปัญหาสำคัญของสภาผู้ว่าการขึ้นอยู่กับปริมาณโควตา
หรือสัดส่วนของเงินลงทุนของประเทศตนในกองทุนฯส่งผลให้สหรัฐอเมริกา “เสียงดัง” ที่สุด เพราะมีปริมาณ
ถึงร้อยละ 20 ของเสียงทั้งหมด ส่วนสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) ฝรั่งเศส เยอรมนี และญี่ปุ่น แต่ละประเทศมีร้อยละ 4-7 ประเทศเหล่านี้รวมทั้งซาอุดิอาระเบียซึ่งมีเสียงร้อยละ 3.4 จะมีเสียงมากกว่าครึ่งหนึ่งของทั้งหมด
ในขณะเดียวกันประเทศเกือบ 40 ประเทศในแอฟริกามีคะแนนเสียงรวมกันเพียงร้อยละ 5 ของทั้งหมด
ความแตกต่างเหลื่อมล้ำดังกล่าวทำให้ประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายวิจารณ์ว่า กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ถูกควบคุมโดยประเทศอุตสาหกรรมและเป็นเครื่องมือของสหรัฐอเมริกาในการครอบงำและควบคุมประเทศกำลังพัฒนาและประเทศยากจน 

ข้อวิจารณ์ที่สอง คือ กองทุนการเงินระหว่างประเทศกำหนดเงือนไขที่ค่อนข้าง “โหด” ทั้งไม่ยุติธรรม
และไม่เหมาะสมต่อประเทศที่ขอใช้เงินกู้ของกองทุนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ บางมาตรการอาจดีและจำเป็นต่อการแก้ปัญหา แต่หลายๆมาตรการไม่เหมาะสม และยังสร้างปัญหาให้กับรัฐบาลและประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนยากจน ทั้งนี้ เงื่อนไขของกองทุนการเงินระหว่างประเทศที่ถูกวิจารณ์บ่อยๆ เช่น เรียกร้องให้รัฐบาล
ของประเทศที่กำลังพัฒนาลดบทบาทในการแทรกแซงทางเศรษฐกิจ ทั้งในภาคการผลิตและการวางแผน โดยให้เป็นไปตามกลไกตลาดอย่างเสรี และให้มีการแปรรูปรัฐวิสาหกิจเป็นของเอกชน  หรือเรียกร้องให้กับประเทศที่กำลังพัฒนาเปิดระบบเศรษฐกิจให้เสรีมากขึ้นต่อการลงทุนของต่างชาติและต่อการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งดูเหมือนว่าประโยชน์ส่วนใหญ่จะตกกับระบบทุนนิยมโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศอุตสาหกรรมทุนนิยมตะวันตก แม้ว่ากองทุนจะตระหนักถึงความยากลำบากที่จำเป็นในการปรับโครสร้างเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว แต่ในความเป็นจริง มาตรการที่เข้มงวดเหล่านี้อาจเพื่อให้สามารถกู้คืนเงินกู้และจ่ายคือหนี้สินต่างๆ ให้กับธนาคารของประเทศอุตสาหกรรม 

นอกจากนั้น กองทุนการเงินระหว่างประเทศมักกดดันให้มีการปฏิรูประบบเศรษฐกิจ ดังเช่นที่ปรากฏ
ในการจัดการวิกฤตการณ์ทางการเงินที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ เช่น เม็กซิโก (ค.ศ.1995) ไทย อินโดนีเซีย
และเกาหลีใต้ (ค.ศ.1997) ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มพูนความสามารถของรัฐบาลในการหารายได้มาคืนเงินกู้ยืม มากกว่าความยากลำบากของประชาชน ทำให้เกิดผลกระทบทางสังคม เช่น ลดการนำเข้า ระงับการซื้อเงินค่าจ้าง
เพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือลดรายจ่ายของรัฐบาลในด้านต่างๆ ลง แม้ว่ามาตรการเหล่านี้จะเป็นมาตรการที่อาจถูกต้องในสายตา IMF ในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว มาตรการเหล่านี้มีจุดอ่อนหลายประการและนำไปสู่ความยากลำบากทางสังคมและความไร้เสถียรภาพทางการเมืองของประเทศผู้ขอความช่วยเหลือ
ยังเป็นลดระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศเหล่านั้นอีกด้วย เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
อาจลดลง อีกทั้งรัฐบาลถูกบังคับให้ตัดงบประมาณด้านบริการต่างๆเพื่อจัดงบประมาณให้สมดุล การแช่แข็งค่าจ้างแรงงานสร้างปัญหากับสหภาพแรงงานและกลุ่มพลังงานทางการเมืองได้ และส่งต่อเสถียรภาพของการปกครองแบบประชาธิปไตยที่กำลังพัฒนาในประเทศเหล่านี้ การกำหนดเงื่อนไขเหล่านี้ยังถูกวิจารณ์ว่า เป็นการละเมิดอธิปไตยและแทรกแซงกระบวนการกำหนดนโยบายของประเทศที่กำลังพัฒนาเหล่านี้อีกด้วย

               ปัจจุบัน IMF ประสบกับความท้าทายจากสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศในปัจจุบัน  สถานการณ์แรกคือสงครามระหว่างยูเครนและรัสเซีย ซึ่งยูเครนเป็น  หนึ่งในประเทศสมาชิก IMF ทำให้ IMF
ได้อนุมัติเงินทุนฉุกเฉินจำนวน 1,400 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อช่วยเหลือยูเครน โดยความช่วยเหลือครั้งนี้จึงมีเงื่อนไขว่ายูเครนจะต้องร่วมกับ IMF เพื่อออกแบบโครงการเศรษฐกิจที่เหมาะสมโดยเน้นที่การฟื้นฟูและการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจภายหลังการสงบลงของสงคราม    สถานการณ์ที่สองคือเศรษฐกิจโลกยังคงอยู่ในภาวะอ่อนแอจากวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19  สถานการณ์ที่สามคือสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศ
G7 ได้ยืนหยัดช่วยเหลือยูเครนและต่อต้านรัสเซียซึ่งเป็นประเทศคู่สงครามของยูเครน โดยการออกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อรัสเซีย ทำให้สถานการณ์ในระบบเศรษฐกิจโลกอยู่ในภาวะที่ตึงเครียดผันผวน จนคาดเดาอนาคตได้ยากอย่างยิ่ง