รัฐบาลพรรคเดียว
ผู้เรียบเรียง เอกวีร์ มีสุข
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รศ. ดร. นิยม รัฐอมฤต
รัฐบาลพรรคเดียว
การทำความเข้าใจความหมายของรัฐบาลพรรคเดียวแบ่งการอธิบายออกเป็นสามส่วน คือ หนึ่ง การนิยามความหมายทั่วไปของรัฐบาลพรรคเดียว สอง รัฐบาลพรรคเดียวในการปกครองระบบรัฐสภา และ สามระบบพรรคการเมืองในการเกิดรัฐบาลพรรคเดียว
นิยามทั่วไปของรัฐบาลพรรคเดียว
รัฐบาลพรรคเดียวหรือรัฐบาลพรรคเดียวที่มาจากการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมาก (Single-Party Majoritarian Government) หมายถึง รูปแบบรัฐบาลที่จัดตั้งโดยพรรคการเมืองพรรคเดียวที่มีเสียงข้างมากในรัฐสภา (หรือในกรณีของประเทศที่ใช้ระบบสภาคู่จะต้องมีเสียงข้างมากในสภาล่างหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร)[1] การเกิดรัฐบาลพรรคเดียวในกรณีนี้พบในประเทศที่ปกครองระบบรัฐสภา (parliamentary government) ตัวอย่างเช่น รัฐบาลพรรคเดียวของพรรคไทยรักไทยภายหลังการชนะการเลือกตั้งในพ.ศ.2548 การสลับกันเป็นรัฐบาลพรรคเดียวระหว่างพรรคอนุรักษ์นิยม (Conservative Party) และพรรคแรงงาน (Labour Party) ในประเทศอังกฤษหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงปัจจุบัน หรือการจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวของพรรคเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democratic Party: LDP) ในประเทศญี่ปุ่น เป็นต้น โดยความหมายของรัฐบาลพรรคเดียวที่ในที่นี้จะแตกต่างจากระบบพรรคการเมืองพรรคเดียว (Single-Party System หรือ One-party state) ที่ประเทศกำหนดให้พรรคการเมืองเพียงพรรคเดียวมีอำนาจทางการเมืองในการปกครองประเทศภายใต้ระบอบปกครองแบบเบ็ดเสร็จ (totalitarianism)
รัฐบาลพรรคเดียวในการปกครองระบบรัฐสภา
การปกครองระบบรัฐสภา (parliamentary government) ในระบอบประชาธิปไตยเป็นรูปแบบการปกครองของประเทศประชาธิปไตยที่นิยมใช้กันมากที่สุด การปกครองระบบรัฐสภาจะมีรัฐบาล (government) ที่ประกอบด้วยหัวหน้ารัฐบาล (head of government) ที่เรียกว่านายกรัฐมนตรี (prime minister) เป็นผู้นำของรัฐบาล และมีคณะรัฐมนตรี (cabinet) ทำหน้าที่ในการตัดสินใจในการบริหารงานรัฐและกำกับการทำงานของระบบราชการ โดยกระบวนการเลือกรัฐบาลในระบบรัฐสภาดำเนินการในสองขั้นตอนหลัก คือ หนึ่ง ประชาชนจะเป็นผู้เลือกสมาชิกรัฐสภา และ สอง สมาชิกรัฐสภาจะเป็นผู้เลือกหรือรับรองหัวหน้ารัฐบาลรัฐบาล[2] การจัดตั้งรัฐบาลจะทำได้ก็ต่อเมื่อรัฐบาลได้รับการเลือกหรือรับรองโดยเสียงส่วนใหญ่ของสมาชิกรัฐสภา โดยผู้นำของพรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมากในรัฐสภาจะได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีจะเลือกสมาชิกพรรคหรือบุคคลที่เห็นว่าสมควรเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรี[3] แต่พรรคการเมืองคู่แข่งที่มีจำนวนที่นั่งในรัฐสภาน้อยกว่าพรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมากมีความยากลำบากในการจัดตั้งรัฐบาลผสมร่วมกับพรรคการเมืองอื่นแข่งขันกับพรรคเสียงข้างมาก[4]
สำหรับรัฐบาลพรรคเดียวที่มาจากการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมาก (Single-Party Majoritarian Government) จะเกิดขึ้นได้เมื่อพรรคการเมืองพรรคเดียวที่ชนะการเลือกตั้งโดยได้เสียงข้างมากเด็ดขาดหรือได้จำนวนเสียงข้างมากกว่ากึ่งหนึ่ง (หรือมากกว่าร้อยละ '50) ของจำนวนที่นั่งในรัฐสภา' (หรือจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร) จนสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้[5] ตัวอย่างเช่น หากมีพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งและได้ที่นั่งในรัฐสภาจำนวน 4 พรรค ประกอบด้วยพรรคกอไก่ พรรคขอไข่ พรรคคอควาย และพรรคงองู พบว่าพรรคกอไก่ได้จำนวนที่นั่งมากกว่ากึ่งหนึ่งในรัฐสภา ดังตารางประกอบที่ 1 โดยเกณฑ์การเป็นรัฐบาลพรรคเดียวที่มาจากการเลือกตั้งด้วยเสียงข้างมากขึ้นอยู่กับจำนวนที่นั่งในรัฐสภา โดยเฉพาะในระบบสภาคู่ที่ต้องได้เสียงข้างมากในสภาล่างหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ด้วยเหตุนี้ พรรคการเมืองที่แม้ว่าจะได้จำนวนเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งรวมได้ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด แต่ถ้าได้จำนวนที่นั่งในรัฐสภาเกินกึ่งหนึ่งก็จะสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ดังตารางประกอบที่ 2 พรรคเพนนีแม้จะได้คะแนนเสียงของผู้มีสิทธิเลือกตั้งมากที่สุดและเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั้งหมด แต่ได้จำนวนที่นั่งในรัฐสภาน้อยกว่าพรรคบอมเบย์จึงทำให้พรรคบอมเบย์เป็นพรรคที่มีสิทธิจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว
'ตารางที่ 1': พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งพรรคเดียว
พรรคการเมือง |
'จำนวนที่นั่งในรัฐสภา ('100 ที่นั่ง) |
ร้อยละของจำนวนที่นั่งในรัฐสภา |
พรรคกอไก่ |
55 |
55% |
พรรคขอไข่ |
25 |
25% |
พรรคคอควาย |
15 |
15% |
พรรคงองู |
5 |
5% |
ที่มา: จำลองโดยผู้เขียน
'ตารางที่ '2: พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งพรรคเดียว
พรรคการเมือง |
'จำนวน/ร้อยละที่นั่งในรัฐสภา ('200 ที่นั่ง) |
ร้อยละของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง |
พรรคบอมเบย์ |
110 (55%) |
40 |
พรรคเพนนี |
80 (40%) |
52 |
พรรคบีน่า |
5 (2.5%) |
6 |
พรรคบูเก้ |
5 (2.5%) |
2 |
ที่มา: จำลองโดยผู้เขียน
อย่างไรก็ตาม การเป็นรัฐบาลพรรคเดียวต้องขึ้นอยู่กับจำนวนที่นั่งในรัฐสภา หากสมาชิกรัฐสภาที่สังกัดพรรคเดียวกับพรรคร่วมรัฐบาลไม่เชื่อฟังหรือมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากพรรคก็อาจส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล พรรคการเมืองจึงจำเป็นต้องควบคุมการทำงานและทิศทางของสมาชิกรัฐสภาพรรคของตนเอง ด้วยเหตุนี้พรรคการเมืองต้องสร้างวินัยพรรค ('Party Discipline) เพือให้สมาชิกรัฐสภาลงคะแนนเสียงในสภาไปในทิศทางเดียวกันอย่างเป็นเอกฉันท์[6] มีน้อยครั้งมากที่จะมีการลงคะแนนเสียงขัดแย้งกับทิศทางของพรรค เว้นแต่ว่าผู้นำพรรคจะเปิดโอกาสให้สมาชิกสามารถตัดสินใจลงคะแนนเสียงได้อย่างอิสระตามจิตสำนึกของตัวสมาชิกเองหรือตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่[7] นอกจากนี้พรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากในรัฐสภาสามารถกำกับทิศทางการทำงานในกระบวนการนิติบัญญัติ อาทิ การกำหนดวาระการประชุมและการกำหนดช่วงเวลาในการบรรจุวาระ[8] ถ้าหากพรรคการเมืองในระบบรัฐสภาไม่สามารถรักษาวินัยพรรคได้ก็ส่งผลกระทบต่อการรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลหรือไม่สามารถควบคุมคะแนนเสียงเพื่อไว้วางใจ (vote of confidence) จากสภาได้[9] อีกทั้งยังก่อให้เกิดความเสี่ยงที่สมาชิกผู้ลงคะแนนจัดแย้งกับทิศทางของพรรคจะย้ายขั้วทางการเมืองไปสังกัดกับพรรคฝ่ายตรงข้ามหรือประกาศตนเป็นอิสระ (independent)[10]
ระบบพรรคการเมืองในการเกิดรัฐบาลพรรคเดียว
ปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการเกิดรัฐบาลพรรคเดียวที่สำคัญคือระบบพรรคการเมืองที่ก่อร่างและมีพัฒนาการตามลักษณะเฉพาะในแต่ละประเทศ จนกล่าวได้ว่าสิ่งที่กำหนดว่าพรรคการเมืองจะสามารถควบคุมและได้รับเสียงส่วนใหญ่ในการจัดตั้งรัฐบาลคือระบบพรรคการเมือง ว่าจะส่งผลให้เกิดการตั้งรัฐบาลพรรคเดียว รัฐบาลผสม (coalition cabinet) หรือรัฐบาลเสียงข้างน้อย (minority cabinet) จากแผนภาพที่ 1 แสดงให้เห็นว่าความเป็นไปได้ที่จะเกิดปรากฎการณ์รัฐบาลพรรคเดียวสามารถเกิดขึ้นได้ในประเทศที่ระบบการแข่งขันของพรรคการเมืองแบบสองพรรค (two-party system) และแบบหลายพรรค (multiparty system)[11]
โดยในส่วนของระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรค (two-party system) จะเกิดในประเทศที่ระบบพรรคการเมืองก่อให้เกิดระบบพรรคใหญ่สองพรรคที่สามารถแข่งขันกันเพื่อได้รับเลือกตั้งเป็นเสียงข้างมากในการจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว แม้ว่าในระบบสองพรรคอาจมีพรรคการเมืองขนาดเล็กสามารถสมัครรับเลือกตั้งและได้ที่นั่งในรัฐสภาบ้าง แต่จะมีเพียงพรรคการเมืองสองพรรคใหญ่ที่จะได้คะแนนเสียงและที่นั่งในรัฐสภาเกือบทั้งหมดในการเลือกตั้ง พรรคการเมืองขนาดใหญ่สองพรรคมักจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนการชนะการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาล โดยคะแนนเสียงที่ได้จะช่วยให้พรรคการเมืองที่ชนะเลือกตั้งสามารถควบคุมฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารได้[12] ระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรคที่เกิดในประเทศที่ใช้ระบบรัฐสภาที่สำคัญ ได้แก่ อังกฤษที่ระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรคได้ครอบงำระบบการเมืองของอังกฤษมาเป็นเวลายาวนานและได้แพร่กระจายไปยังประเทศในเครือจักรภพของอังกฤษและประเทศอื่น ๆ[13] ขณะที่ระบบพรรคการเมืองแบบหลายพรรค (multiparty system) จะเกิดในประเทศที่มีพรรคการเมืองหลายพรรคตั้งแต่ 3 พรรคขึ้นไปแต่ไม่มีพรรคใดที่สามารถได้เสียงข้างมากเด็ดขาดในการจัดตั้งรัฐบาล ทำให้พรรคการเมืองต้องแข่งขันกันเพื่อรวบรวมเสียงจากพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่ได้เพื่อจัดตั้งรัฐบาลผสม[14] อย่างไรก็ตาม อาจมีบางกรณีที่ประเทศที่มีระบบพรรคการเมืองหลายพรรคอาจมีพรรคการเมืองที่สามารถชนะการเลือกตั้งจนได้คะแนนเสียงข้างมากแบบเด็ดขาด แต่ความเป็นไปได้ในการเกิดกรณีดังกล่าวย่อมน้อยกว่าประเทศที่ใช้ระบบพรรคการเมืองแบบสองพรรค
'แผนภาพที่ '1: พรรคการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาลในระบบรัฐสภา
'ที่มา: แปลจาก 'Gabriel A. Almond et al., "Government and Policymaking," in Comparative Politics Today: A World View, ed. Gabriel A. Almond et al. (New York: Pearson, 2006), 121.
อนึ่ง มีข้อสังเกตว่าการเกิดขึ้นของรัฐบาลพรรคเดียวที่ครองอำนาจมาเป็นเวลายาวนานมีความสัมพันธ์กับการมีระบบพรรคเด่นพรรคเดียว (predominant-party system) อันเป็นระบบที่มีพรรคการเมืองพรรคเดียวได้คะแนนเสียงส่วนใหญ่แบบเด็ดขาดจนสามารถครอบครองที่นั่งในรัฐสภามาอย่างยาวนานในทุกการเลือกตั้งทำให้พรรคการเมืองสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้อย่างต่อเนื่องมั่นคง โดยที่ระบบพรรคเด่นพรรคเดียวสามารถเกิดขึ้นได้ในประเทศประชาธิปไตยที่มีระบบพรรคการเมืองแบบหลายพรรคที่มีการแข่งขันผ่านการเลือกตั้ง แต่อาจมีเพียงพรรคการเมืองเดียวที่มีความเข้มแข็งและสามารถครองอำนาจในฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารมายาวนาน[15] โจวันนี ซาร์โตรี (Giovanni Sartori) มองว่าการเกิดระบบพรรคเด่นพรรคเดียวก็ต่อเมื่อมีพรรคการเมืองที่สามารถครองอำนาจในการจัดตั้งรัฐบาลอย่างต่อเนื่องประมาณ 3-5 รัฐบาล[16] โดยมีคุณสมบัติของการเป็นรัฐบาลพรรคเดียวประกอบด้วย 3 มิติ คือ หนึ่ง พรรคการเมืองต้องได้จำนวนที่นั่งในรัฐสภาที่มากกว่าพรรคการเมืองคู่แข่ง (dominant in number) ส่งผลให้พรรคการเมืองคู่แข่งมีจำนวนที่นั่งน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สอง พรรคการเมืองต้องมีความสามารถสูงในการต่อรองอำนาจ (dominant bargaining position) อย่างมีประสิทธิภาพกับกลุ่มการเมืองหรือพรรคการเมืองที่มีความสามารถด้อยกว่าอื่นๆ พรรคการเมืองต้องมีอำนาจต่อรองในสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและในตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ (strategic position) สูงกว่ากลุ่มอื่น และ สาม พรรคการเมืองสามารถครอบงำรัฐบาลจนกลายเป็นเนื้อเดียวกัน (dominant governmentally) นโยบายของพรรคการเมืองถูกแปลงเป็นวาระนโยบายการเมืองแห่งชาติ (National Political Agenda) จนสามารถครอบงำผู้เลือกตั้งและพรรคการเมืองอื่น[17] ประเทศที่มีรัฐบาลพรรคเดียวจากระบบพรรคเด่นพรรคเดียวที่สำคัญ อาทิ พรรคเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democratic Party: LDP) ของประเทศญี่ปุ่นที่สามารถจัดตั้งรัฐบาลมายาวนานระหว่างค.ศ.1955-1993 และพรรคกิจประชาชน (People's Action Party: PAP) ของประเทศสิงคโปร์ที่เป็นรัฐบาลพรรคเดียวยาวนานตั้งแต่การเลือกตั้งในค.ศ.1959 จนถึงปัจจุบัน เป็นต้น
บรรณานุกรม
Almond, Gabriel A., G. Bingham Powell, Kaare Strom, and Russell J. Dalton. "Government and Policymaking." In Comparative Politics Today: A World View, edited by Gabriel A. Almond, Russell J. Dalton, G. Bingham Powell, and Kaare Strom, 101-28. New York: Pearson, 2006.
Dimock, S. "Parliamentary Ethics." In Encyclopedia of Applied Ethics (Second Edition), edited by Ruth Chadwick, 338-48. San Diego: Academic Press, 2012.
Encyclopedia.com. "Majoritarian Party Systems." Last modified Accessed 17 June, 2021. https://www.encyclopedia.com/international/legal-and-political-magazines/majoritarian-party-systems.
Klesner, Joseph L. Comparative Politica: A Introduction. New York: McGraw-Hill, 2014.
นพรัตน์ วงศ์วิทยาพาณิชย์. "การก่อเกิดรัฐบาลพรรคเดียวในการเมืองไทย: ศึกษากรณีพรรคไทยรักไทย." มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2550.
พรรณชฎา ศิริวรรณบุศย์. "วิวัฒนาการพรรคการเมืองจากอดีตสู่ปัจจุบัน." วารสารพรรคการเมืองสัมพันธ์ 19, เล่ม 2 (2557): 4-12.
วรวลัญจ์ โรจนพล. "รัฐบาลในการเมืองไทย." ใน เอกสารการสอนชุดวิชาสถาบันและกระบวนการทางการเมืองไทย, ฐปนรรต พรหมอินทร์ (บรรณาธิการ), 6-1 - 6-70. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2561.
[1] วรวลัญจ์ โรจนพล, "รัฐบาลในการเมืองไทย," ใน เอกสารการสอนชุดวิชาสถาบันและกระบวนการทางการเมืองไทย, ฐปนรรต พรหมอินทร์ (บรรณาธิการ) (นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2561), 17.
[2] Joseph L. Klesner, Comparative Politica: A Introduction (New York: McGraw-Hill, 2014), 115-16.
[3] วรวลัญจ์ โรจนพล, ใน เอกสารการสอนชุดวิชาสถาบันและกระบวนการทางการเมืองไทย, 17.
[4] นพรัตน์ วงศ์วิทยาพาณิชย์, “การก่อเกิดรัฐบาลพรรคเดียวในการเมืองไทย: ศึกษากรณีพรรคไทยรักไทย” (มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2550), 31.
[5] Klesner, 116.
[6] Ibid., 117.
[7] S. Dimock, "Parliamentary Ethics," in Encyclopedia of Applied Ethics (Second Edition), ed. Ruth Chadwick (San Diego: Academic Press, 2012).
[8] วรวลัญจ์ โรจนพล, ใน เอกสารการสอนชุดวิชาสถาบันและกระบวนการทางการเมืองไทย, 18.
[9] Klesner, 117.
[10] Dimock, in Encyclopedia of Applied Ethics (Second Edition).
[11] Gabriel A. Almond et al., "Government and Policymaking," in Comparative Politics Today: A World View, ed. Gabriel A. Almond et al. (New York: Pearson, 2006), 101-28.
[12] พรรณชฎา ศิริวรรณบุศย์, "วิวัฒนาการพรรคการเมืองจากอดีตสู่ปัจจุบัน," วารสารพรรคการเมืองสัมพันธ์ 19, เล่ม 2 (2557): 9.
[13] Encyclopedia.com, "Majoritarian Party Systems," accessed 17 June, 2021. https://www.encyclopedia.com/international/legal-and-political-magazines/majoritarian-party-systems.
[14] พรรณชฎา ศิริวรรณบุศย์, 10.
[15] นพรัตน์ วงศ์วิทยาพาณิชย์, 22-23.
[16] Ibid., 24.
[17] Ibid., 31-32.