การแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:39, 4 กุมภาพันธ์ 2564 โดย Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง  ผศ.ดร.พนารัตน์ มาศฉมาดล

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ


การแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง

 

1. ความสำคัญของการแบ่งเขตเลือกตั้ง

การแบ่งเขตเลือกตั้งมีความสำคัญต่อการเลือกตั้งของประเทศไทย เพราะทุกคะแนนเสียงของประชาชนมีค่า การคำนวณสัดส่วนประชาชนเพื่อเป็นเกณฑ์ในการแบ่งเขตเลือกตั้งจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญของระบบการเลือกตั้ง นอกจากนี้ การแบ่งเขตเลือกตั้งยังคงมีความสำคัญต่อพรรคการเมืองที่ส่งสมาชิกพรรคลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบงเขตเลือกตั้ง เนื่องจากจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจะมีผลต่อการคำนวณหาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมือง (มาตรา 91 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560) ดังนั้น หากพรรคการเมืองใดมีสัดส่วนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวนมากย่อมส่งผลให้ได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อจำนวนมากขึ้นเช่นกัน

 

2. หลักการแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 83 กำหนดให้มีสภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกจำนวนห้าร้อยคน ประกอบด้วย (1) สมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวนสามร้อยห้าสิบคน (2) สมาชิกซึ่งมาจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองจำนวนหนึ่งร้อยห้าสิบคน ดังนั้น การแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบ่งแบบเขตเลือกตั้งจึงต้องมี 350 เขต จึงมีหลักการกำหนดจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละจังหวัดจะพึงมีและการแบ่งเขตเลือกตั้ง ดังนี้[1]

          1) ให้ใช้จำนวนราษฎรทั้งประเทศตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนปีที่มี การเลือกตั้ง เฉลี่ยด้วยจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสามร้อยห้าสิบคน จำนวนที่ได้รับให้ถือว่าเป็นจำนวนราษฎรต่อสมาชิกหนึ่งคน[2]

          2) จังหวัดใดมีราษฎรไม่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกหนึ่งคนตาม (1) ให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดนั้นได้หนึ่งคน โดยให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง

          3) จังหวัดใดมีราษฎรเกินจำนวนราษฎรต่อสมาชิกหนึ่งคน ให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในจังหวัดนั้นเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนทุกจำนวนราษฎรที่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกหนึ่งคน

          4) เมื่อได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของแต่ละจังหวัดตาม (2) และ (3) แล้ว ถ้าจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยังไม่ครบสามร้อยห้าสิบคน จังหวัดใดมีเศษที่เหลือจากการคํานวณตาม (3) มากที่สุด ให้จังหวัดนั้นมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน และให้เพิ่มสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามวิธีการดังกล่าวแก่จังหวัดที่มีเศษที่เหลือจากการคํานวณนั้นในลำดับรองลงมาตามลำดับจนครบจำนวนสามร้อยห้าสิบคน

          5) จังหวัดใดมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เกินหนึ่งคน ให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้งเท่าจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่พึงมี โดยต้องแบ่งพื้นที่ของเขตเลือกตั้งแต่ละเขตให้ติดต่อกัน และต้องจัดให้มีจำนวนราษฎรในแต่ละเขตใกล้เคียงกัน

หลักการแบ่งพื้นที่ให้เขตติดต่อกันและมีจำนวนราษฎรใกล้เคียงกันให้ถือหลักเกณฑ์ดังนี้[3]

          (1) ให้รวมอำเภอต่าง ๆ เป็นเขตเลือกตั้ง โดยคำนึงถึงพื้นที่ที่ติดต่อใกล้ชิดกัน ความสะดวกใน การคมนาคมระหว่างกัน และการเคยอยู่ในเขตเลือกตั้งเดียวกัน ถ้าการรวมอำเภอในลักษณะนี้จะทำให้ มีจำนวนราษฎรมากหรือน้อยเกินไป ให้แยกตำบลของอำเภอออกเพื่อให้ได้จำนวนราษฎรพอเพียงสำหรับ การเป็นเขตเลือกตั้ง แต่จะแยกหรือรวมเฉพาะเพียงบางส่วนของตำบลไม่ได้

          (2) ในกรณีที่การกำหนดพื้นที่ตามเกณฑ์ใน (1) จะทำให้จำนวนราษฎรในแต่ละเขตเลือกตั้ง มีจำนวนไม่ใกล้เคียงกันหรือไม่มีสภาพเป็นชุมชนเดียวกัน ให้ดำเนินการแบ่งเขตเลือกตั้งตามสภาพ ของชุมชนที่ราษฎรมีการติดต่อกันเป็นประจำในลักษณะที่เป็นชุมชนเดียวกันหรือใกล้เคียงกันและสามารถ เดินทางติดต่อกันได้โดยสะดวก โดยจะต้องทำให้จำนวนราษฎรมีจำนวนใกล้เคียงกันมากที่สุด

          (3) เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองและประชาชนมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นเพื่อประกอบ การพิจารณาเกี่ยวกับการแบ่งเขตเลือกตั้งตาม (1) และ (2) ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด

สำหรับการรับฟังความคิดเห็นเรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งของไทยครั้งล่าสุดเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง การรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ลงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน 2561 กำหนดระยะเวลาในการยื่นคำร้องเรียนหรือการแสดงความคิดเห็นตั้งแต่วันที่ 20 - 25 พฤศจิกายน 2561

          เมื่อได้ดำเนินการแบ่งเขตเลือกตั้งแล้ว ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศในราชกิจจานุเบกษา และให้ใช้เขตเลือกตั้งนั้นจนกว่าจะมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่[4] โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง การแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2561 เห็นชอบให้มีการแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน 350 เขตเลือกตั้ง

          กล่าวโดยสรุป หลักเกณฑ์ในการแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจึงมีหลักการอยู่ 4 ข้อ คือ

          1. การแบ่งเขตเลือกตั้งต้องแบ่งพื้นที่ของเขตเลือกตั้งแต่ละเขตให้ติดต่อกัน

          2. ต้องจัดให้มีจำนวนราษฎรในแต่ละเขตใกล้เคียงกัน

          3. ต้องเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองและประชาชนมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาเกี่ยวกับการแบ่งเขตเลือกตั้ง

          4. ต้องประกาศให้ประชาชนทราบล่วงหน้าก่อนเลือกตั้ง โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา

 

3. บรรณานุกรม

ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 135/ตอนที่ 101ก/29 พฤศจิกายน 2561. ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง การแบ่งเขตเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง

ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 135/ตอนที่ 68ก/12 กันยายน 2561. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561

ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 134/ตอนที่ 40 ก/6 เมษายน 2560. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช '25'60

สยามรัฐ. ความสำคัญของการแบ่งเขตเลือกตั้ง. ออนไลน์จาก https://siamrath.co.th/n/54273. เข้าถึงเมื่อ 12 สิงหาคม 2563

 

อ้างอิง


[1] มาตรา 86 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ประกอบมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561

[2] หมายเหตุ : คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศจำนวนราษฎรทั่วราชอาณาจักร ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2560 จำนวน 66,188,503 คน เมื่อเฉลี่ยจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสามร้อยห้าสิบคนจะได้จำนวนราษฎร 189,110 คน ต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนหนึ่งคน (สยามรัฐ,ความสำคัญของการแบ่งเขตเลือกตั้ง, ออนไลน์จาก https://siamrath.co.th/n/54273, เข้าถึงเมื่อ 12 สิงหาคม 2563)

[3] มาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561

[4] มาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561