บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:01, 20 กุมภาพันธ์ 2563 โดย Apirom (คุย | ส่วนร่วม) (สร้างหน้าด้วย "<div> ผู้เรียบเรียง : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนารัตน์ มาศฉมา...")
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนารัตน์ มาศฉมาดล

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นายภัทระ คำพิทักษ์


บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

 

1.แนวคิดและความหมายของบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญฯ

          พจนานุกรมกฎหมายไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๖ [1] ให้ความหมายของ“บทเฉพาะกาล” ไว้ว่า “บทเฉพาะกาล หมายถึง บทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติเกี่ยวกับผลกระทบของการใช้บังคับกฎหมายใหม่ที่มีต่อกรณีที่เกิดขึ้นก่อนกฎหมายใหม่ใช้บังคับหรือวิธีการดำเนินการกับกรณีที่เกิดขึ้นก่อนหรือหลังวันที่กฎหมายใหม่ใช้บังคับแล้ว” ในส่วนของบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญนั้นจะบัญญัติไว้ในส่วนสุดท้ายในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นการกำหนดไว้ในช่วงระยะเวลาเปลี่ยนแปลงจากรัฐธรรมนูญฉบับเก่าไปสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอนอันไม่ก่อให้เกิดความเสียหายใด ๆ และจะมีผลเป็นการชั่วคราว เมื่อใดที่พ้นระยะเวลาดังที่ได้มีบทบัญญัติไว้บทเฉพาะกาลนั้นจะสิ้นสภาพบังคับไปโดยอัตโนมัติ โดยความมุ่งหมายของการมีบทเฉพาะกาลเพื่อให้การดำเนินการของรัฐหรือองค์กร รวมทั้งเป็นการรับรองสถานะเดิมของบุคคลที่ได้รับมาโดยผลของกฎหมายฉบับเดิมที่ถูกยกเลิกไปให้คงมีอยู่ต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถดำเนินการไปได้อย่างต่อเนื่องจนกว่ากลไกหรือการบังคับใช้กฎหมายใหม่นั้นพร้อมที่จะดำเนินการได้ ทั้งนี้เพื่อรองรับผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดมีขึ้นอันเป็นการขจัดความขัดแย้งในเรื่องต่าง ๆ จากการใช้บังคับกฎหมายที่ตราขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการตรากฎหมายฉบับใหม่ การยกเลิกปรับปรุงกฎหมาย หรือการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย[2]

๒ ประเด็นที่สำคัญของบทเฉพาะกาลตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐

บทเฉพาะกาลของของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มีบัญญัติไว้จำนวน ๑๘ มาตรา ตั้งแต่มาตรา ๒๖๒ ถึง มาตรา ๒๗๙ อันมีเนื้อหาค่อนข้างยาว มีความสลับซับซ้อนและเชื่อมโยงกันไปในหลายมาตรา โดยสามารถจัดแบ่งหมวดหมู่ตามประเด็นที่สำคัญ ดังนี้

ประเด็นที่มาของนายกรัฐมนตรี :

ตามบทเฉพาะกาล มาตรา ๒๗๒ บัญญัติออกมาเป็นการรองรับเพื่อไม่ให้การดำเนินตามกฎหมายฉบับใหม่มีผลต้องหยุดชะงักลง จึงกำหนดให้ในระหว่าง ๕ ปีแรกนับแต่วันที่มีรัฐสภาชุดแรกตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ การให้ความเห็นชอบบุคคลใดที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะมาจากความชอบของสภาผู้แทนราษฎร โดยมีวิธีการดังนี้

๑.๑ กรณีที่เสนอจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อพรรคการเมือง ตามมาตรา ๘๘

 วิธีการ คือ พรรคการเมืองเสนอรายชื่อบุคคลที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี จำนวนไม่เกิน ๓ รายชื่อ ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และให้สภาผู้แทนราษฎรลงมติว่าจะเลือกบุคคลใดในบัญชีรายชื่อที่เสนอมา แต่พรรคการเมืองที่จะเสนอรายชื่อผู้เข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้นจะต้องเป็นพรรคการเมืองที่มีสมาชิกที่ได้รับการเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่าร้อยละห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร และมติที่เห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลให้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้นต้องกระทำการลงคะแนนโดยเปิดเผยตามมาตรา ๑๕๙ วรรคสาม

๑.๒ กรณีเสนอรายชื่อเพื่อแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากผู้ที่ไม่มี่ชื่ออยู่ในบัญชีที่พรรคการเมืองแจ้งไว้

 มาตรา ๒๗๒ วรรคสอง กำหนดให้สมาชิกของทั้งสองสภารวมกันจำนวนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาเข้าชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภาเพื่อขอให้รัฐสภามีมติยกเว้นเพื่อไม่ต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองแจ้งไว้ได้ และในกรณีเช่นนี้ให้ประธานรัฐสภาจัดให้มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภาโดยพลัน และต้องมีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า ๒ ใน ๓ ของจำนวนสมาชิกทั้งสองสภา (รวมทั้งสองสภา คือ ๗๕๐ คน) เพื่อให้ยกเว้นได้ ทั้งนี้เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรได้ทำการเสนอบุคคลนอกบัญชีรายชื่อนั้นได้นั่นเอง

ประเด็น การจัดทำมาตรฐานทางจริยธรรม

ตามมาตรา ๒๗๖ กำหนดขึ้นมาเพื่อรองรับให้หน่วยงานของรัฐมีการดำเนินการภายใต้กรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้เป็นพิเศษเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องและสอดคล้องกับกฎหมายฉบับใหม่ที่เกิดขึ้น กล่าวคือ

๑.๑ ให้ศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระดำเนินการกำหนดมาตรฐานทางจริยธรรมขึ้นใช้บังคับแก่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้างานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ และบังคับใช้ไปถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาและคณะรัฐมนตรีด้วย (ตามมาตรา ๒๑๙) ให้แล้วเสร็จภายใน ๑ ปีนับแต่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับนี้

๑.๒ โดยกำหนดสภาพบังคับว่า หากไม่ดำเนินการให้แล้วเสร็จจะส่งผลให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระพ้นจากตำแหน่ง

๑.๓ ในกรณีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระพ้นจากตำแหน่งตำแหน่งไปแล้วนั้น และกรณีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระชุดใหม่เข้ามารับตำแหน่งก็ให้ปฏิบัติตามกรอบระยะเวลาเช่นเดียวกับที่ชุดเดิมเคยปฏิบัติมา

ประเด็นที่มาและอำนาจหน้าที่ของสมาชิกวุฒิสภา

          บทเฉพาะกาลได้กำหนดเพื่อรองรับการทำงานขององค์กรใดองค์กรหนึ่งเพื่อมิให้เกิดความหยุดชะงัก ดังนั้น ตามมาตรา ๒๖๙ จึงได้กำหนดรายละเอียดที่สำคัญไว้ ดังนี้

๑.๑ ในวาระเริ่มแรกให้วุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิก จำนวน ๒๕๐ คน โดยพระมหากษัตริย์แต่งตั้งขึ้นตามคำแนะนำของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยที่มาของจำนวนสมาชิก ๒๕๐ คนมาจากช่องทางการสรรหาด้วยวิธีการต่าง ๆ ดังนี้

(๑)  คณะรักษาความสงบเรียบร้อย (คสช.) จะแต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาที่มีความรู้ประสบการณ์

ในด้านต่าง ๆ ที่มีความเป็นกลางทางการเมือง จำนวน ๙  คนแต่ไม่เกิน ๑๒ คน เพื่อทำหน้าที่สรรหาผู้ที่มีความเหมาะสมดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา จำนวนไม่เกิน ๔๐๐ คน เพื่อให้ คสช. คัดเลือกให้เหลือ ๑๙๔ คน และคัดชื่อสำรองอีกจำนวน ๕๐ คน และอีกส่วนหนึ่งเป็นโดยตำแหน่ง จำนวน ๖ คน อันประกอบด้วยผู้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารอากาศ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

(๒) คณะกรรมการเลือกตั้ง (กกต.) จะดำเนินการคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภาตามมาตรา ๑๐๗ จำนวน

๒๐๐ คน โดยมาจากกลุ่มอาชีพหลากหลายและนำส่งรายชื่อดังกล่าวให้ คสช. ดำเนินการคัดเลือกให้เหลือจำนวน ๕๐ คน และขึ้นทะเบียนสำรองไว้อีกจำนวน ๕๐ คน

๑.๒ จากนั้น คสช.จะนำรายชื่อดังกล่าวจำนวน ๒๕๐ คนขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งต่อไปและให้หัวหน้าคสช. เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ โดยวาระการดำรงตำแหน่งของวุฒิสภาจะมีอายุเพียง ๕ ปีนับตั้งแต่วันที่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้ง หากมีตำแหน่งว่างให้เลื่อนรายชื่อบุคคลตามลำดับในบัญชีสำรองขึ้นเป็นสมาชิกวุฒิสภาแทนโดยให้ประธานวุฒิสภาเป็นผู้ดำเนินการและเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ

          ๑.๓ ตามมาตรา ๒๗๐ ได้กำหนดอำนาจและหน้าที่ของวุฒิสภาให้มีหน้าที่และอำนาจติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิบัติประเทศและดำเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติ ในการนี้กฎหมายกำหนดให้คณะรัฐมนตรีแจ้งความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศต่อรัฐสภาเพื่อทราบทุกสามเดือน ในส่วนของร่างพระราชบัญญัติที่จะตราขึ้นเพื่อดำเนินการตามหมวด ๑๖ การปฏิรูปประเทศให้เสนอและพิจารณาในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา

          ประเด็นความต่อเนื่องของการดำเนินงานขององค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้เป็นไปเพื่อรองรับตำแหน่งของบุคคลหรืออำนาจของหน่วยงานของรัฐหรือองค์กรเดิมตามรัฐธรรมนูญนั้น

          กรณีของคณะองคมนตรี มาตรา ๒๖๒ กำหนดให้องคมนตรีที่ยังคงดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนวันที่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับปี ๒๕๖๐ ให้ดำรงตำแหน่งเป็นองคคณะมนตรีต่อไป

          กรณีของสภานิติบัญญัติแห่งชาติและสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

๑. ในระหว่างที่ยังไม่มีสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มาตรา ๒๖๓ กำหนดให้

๑.๑ สภานิติบัญญัติฯ ที่ตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พุทธศักราช ๒๕๕๗ ให้ทำหน้าที่รัฐสภา

สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาต่อไป

๑.๒ สมาชิกสภานิติบัญญัติฯ ที่ยังดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนวันรัฐธรรมนูญฉบับนี้ประกาศใช้ ให้ทำ

หน้าที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือสมาชิกวุฒิสภาต่อไป

                    ๑.๓ กรณีที่ตำแหน่งว่างลง ให้เป็นอำนาจของหัวหน้า คสช.จะกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งผู้มี

คุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติฯ

๑.๔ การสิ้นสุดลงของสมาชิกภาพนั้นให้สิ้นสุดลงในวันก่อนวันเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรกภายหลัง

การเลือกตั้งทั่วไปที่จัดขึ้นตามรัฐธรรมนูญนี้และจะไม่สามารถลงเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกเพื่อเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ภายหลังจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ยกเว้นจะพ้นจากตำแหน่งภายในเก้าสิบวันนับแต่ประกาศใช้รัฐธรรมนฉบับดังกล่าวนี้

          ๒. ในระหว่างที่สภานิติบัญญัติทำหน้าที่รัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา บทเฉพาะกาลกำหนดให้อำนาจของประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือประธานวุฒิสภา ตามรัฐธรรมนูญนี้หรือกฎหมายเป็นอำนาจของประธานสภานิติบัญญัติฯ

กรณีของคณะรัฐมนตรี มาตรา ๒๖๔ กำหนดให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ดำรงตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะมีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามาภายหลังเลือกตั้ง ส่วนการดำเนินงานของคระรัฐมนตรี มาตรา ๒๗๗ กำหนดให้ทำหน้าที่เสนอกฎหมายเพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๑๙๖ มาตรา ๑๙๘ และมาตรา ๒๔๘ วรรคสาม ต่อสภานิติบัญญัติฯ ภายใน ๑ ปีนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ และมาตรา ๒๗๘ ให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการให้หน่วยงานของรัฐที่คณะรัฐมนตรีกำหนดดำเนินการให้จัดทำร่างกฎหมายที่จำเป็นตามมาตรา ๕๘ มาตรา ๖๒ และมาตรา ๖๓ ให้แล้วเสร็จและเสนอต่อสภานิติบัญญัติฯ ภายใน ๒๔๐ วันนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้และให้สภานิติบัญญัติฯ พิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน ๖๐ วันนับแต่วันที่ได้รับร่างพระราชบัญญัตินั้น หากเป็นกรณีที่มีหน่วยงานหลายๆ หน่วยงานเกี่ยวข้อง คณะรัฐมนตรีมีอำนาจกำหนดระยะเวลาที่แต่ละหน่วยงานต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จตามความจำเป็นของแต่ละหน่วยงาน ทั้งนี้ เมื่อรวมเวลาแล้วต้องไม่เกิน ๒๔๐ วันเช่นกัน อย่างไรก็ดี หากหน่วยงานของรัฐใดไม่ยอมดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว เป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรีที่จะสั่งให้หัวหน้าหน่วยงานของรัฐนั้นพ้นจากตำแหน่ง

          กรณีของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ตามมาตรา ๒๖๕ กำหนดให้มีผลอยู่ในตำแหน่งและมีอำนาจหน้าที่ดังเดิมต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญนี้จะเข้ารับหน้าที่

          กรณีของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ตามมาตรา ๒๖๖ กำหนดให้สภาขับเคลื่อนฯ ทำหน้าที่ไปพลางก่อนเพื่อจัดทำข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศจนกว่าจะมีกฎหมายว่าด้วยแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศที่ตราขึ้น ตามมาตรา ๒๕๙ ที่กำหนดว่าภายใต้บังคับมาตรา ๒๖๐ และมาตรา ๒๖๑ การปฏิรูปประเทศตามหมวดนี้ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศซึ่งอย่างน้อยต้องมีวิธีการจัดทำแผน การมีส่วนร่วมของประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขั้นตอนในการดำเนินงานปฏิรูปประเทศ การวัดผลการดำเนินการและระยะเวลาดำเนินการปฏิรูปประเทศทุกด้าน โดยกำหนดให้เริ่มดำเนินการปฏิรูปในแต่ละด้านภายใน ๑ ปี นับตามวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ตลอดจนทั้งผลสัมฤทธิ์ที่คาดหวังว่าจะบรรลุในระยะเวลา ๕ ปี ให้ดำเนินการตรากฎหมายว่าด้วยแผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศและประกาศใช้บังคับภายใน ๑๒๐ วันนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้

กรณีของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๖๗ กำหนดให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่ตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปเพื่อดำเนินการจัดทำร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญทั้ง ๑๐ ฉบับให้เสร็จสิ้น โดยจะทำการร่างขึ้นใหม่หรือแก้ไขเพิ่มเติมก็ย่อมได้ ทั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นไปอย่างสอดคล้องกับบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ รวมถึงเพื่อให้มีการขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบทุกรูปแบบ ทั้งนี้ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๒๔๐ วันนับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๖๐ และเมื่อแล้วเสร็จคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญเป็นอันพ้นจากตำแหน่งแต่ต้องไม่ช้ากว่าวันพ้นจากตำแหน่งของสมาชิกสภานิติบัญญัติฯ ตามมาตรา ๒๖๓  และเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและรวดเร็ว คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจะขอให้หัวหน้า คสช. แต่งตั้งกรรมการร่างรัฐธรรมนูญเพิ่มขึ้นได้ แต่ทั้งนี้เมื่อรวมแล้วไม่เกิน ๓๐ คน  นอกจากนี้ตามมาตรา ๒๖๗ ยังได้กำหนดต่อไปว่า ในการพิจารณาพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญทั้งหมด ๑๐ ฉบับนั้น เมื่อมีการรับร่างแล้ว สภานิติบัญญัติฯ จะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในเวลา ๖๐ วันนับแต่วันที่ได้รับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ หากกรณีไม่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ให้ถือว่าสภานิติบัญญัติฯ เห็นชอบด้วยกับร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวตามที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญเสนอมา สุดท้ายเพื่อประโยชน์แห่งการขจัดส่วนได้เสีย ห้ามมิให้กรรมการร่างรัฐธรรมนูญดำรงตำแหน่งทางการเมืองภายใน ๒ ปีนับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง

กรณีของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๗๓ กำหนดให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระและผู้ตรวจการเงินแผ่นดิน ดำรงตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป และเมื่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องที่จัดทำขึ้นตามมาตรา ๒๖๗ ใช้บังคับแล้ว การดำรงตำแหน่งต่อไปเพียงใดให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ในระหว่างเวลาที่ยังไม่มีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่จัดทำขึ้นตามมาตรา ๒๖๗ การพ้นจากตำแหน่งของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระและผู้ตรวจการเงินแผ่นดินให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๕๐ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ในส่วนของการดำเนินงานของศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระ ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระและผู้ตรวจการเงินแผ่นดินให้เป็นไปตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ในส่วนของการพิจารณาและการทำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามข้อกำหนดของศาลรัฐธรรมนูญที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

กรณีของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุโทรทัศน์กระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓  มาตรา ๒๗๔ กำหนดให้คณะกรรมการกิจการฯ เป็นองค์กรของรัฐที่มีความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ (ตามมาตรา ๖๐ วรรคสาม)

กรณีของคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม คณะกรรมการตุลาการศาลปกครองและคณะกรรมการอัยการ มาตรา ๒๗๗ วรรคสอง กำหนดให้คณะกรรมการเหล่านี้ปฏิบัติหน้าที่พลางก่อน ในส่วนของอัยการนั้น ในระหว่างที่ยังไม่มีการปรับปรุงหรือแก้ไขกฎหมายเพื่อให้เป็นไปตามมาตรา ๒๔๘ วรรคสี่ ห้ามมิให้พนักงานอัยการดำรงตำแหน่งกรรมการในรัฐวิสาหกิจ หรือกิจการอื่นของรัฐในทำนองเดียวกัน หรือดำรงตำแหน่งใดในห้างหุ้นส่วนบริษัทหรือกิจการอื่นใดที่มีวัตถุประสงค์มุ่งหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกัน หรือเป็นที่ปรึกษาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งอื่นใดในลักษณะเดียวกัน

ประเด็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บทเฉพาะกาลตามมาตรา ๒๖๘ กำหนดให้ดำเนินการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕๐ วันนับแต่วันที่พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติของหมวด ๗ รัฐสภา ส่วนที่ ๑ บททั่วไปมีผลใช้บังคับแล้ว

ประเด็นสถานะของบรรดาประกาศ คำสั่งและการกระทำใด ๆ ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ .

๑.๑  มาตรา ๒๗๙ กำหนดให้บรรดาประกาศ คำสั่ง และการกระทำของ คสช. หรือหัวหน้า คสช. ที่ใช้บังคับ หรือที่จะออกบังคับใช้ต่อไป ให้คงมีผลใช้บังคับโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้ต่อไป

๑.๒ การยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมประกาศหรือคำสั่งให้กระทำเป็นพระราชบัญญัติ  ยกเว้น กรณีประกาศหรือคำสั่งที่มีลักษณะเป็นการใช้อำนาจทางการบริหาร การยกเลิกหรือแก้ไขนั้นจะต้องกระทำโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรีหรือมติของคณะรัฐมนตรี แล้วแต่กรณี

๑.๓ บรรดาการกระทำใด ๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคาว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๑) พุทธศักราช ๒๕๕๘ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พุทธศักราช ๒๕๕๙ ว่าเป็นการกระทำชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมาย รวมถึงการกระทำใดที่เกี่ยวเนื่องให้ถือว่าเป็นการกระทำนั้นชอบรัฐธรรมนูฐฉบับนี้เช่นกัน

 

5. บรรณานุกรม

กลุ่มงานประธานรัฐสภา สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. เปรียบเทียบรัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๔๐-๒๕๕๐ และ

รัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๖๐. พิมพ์ครั้งที่ ๑. สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร.

จารุวรรณ เฮงตระกูล และคณะทำงาน. คู่มือแบบร่างกฎหมาย. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา.

๒๕๕๑.

บาลานซ์ (ติวเตอร์หมู). รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐ และแนวข้อสอบ-เฉลย (ฉบับเตรียมตัวสอบ).กรุงเทพฯ: ที.เค.พรินติ้ง. ๒๕๖๑.

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๖๐

พจนานุกรมศัพท์กฎหมายไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๖. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ: บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์. ๒๕๕๖.

 

อ้างอิง

[1] พจนานุกรมศัพท์กฎหมายไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๖. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ: บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์. ๒๕๕๖. หน้า ๓๐๓.

[2] จารุวรรณ เฮงตระกูล และคณะทำงาน. คู่มือแบบร่างกฎหมาย. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา. ๒๕๕๑. หน้า ๒๔๕.