หลวงนฤเบศร์มานิต

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 15:12, 26 พฤศจิกายน 2561 โดย Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง : ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


         หลวงนฤเบศร์มานิตกับงานเสรีไทย

        มีคนน้อยคนที่ทราบว่าหลวงนฤเบศร์มานิตเป็นเสรีไทย เพราะมีคนกล่าวถึงหรือเขียนถึงท่านด้านงานเสรีไทยน้อยมาก แต่อย่างไรก็ตามได้มีผู้บันทึกเล่าถึงงานเสรีไทยที่หลวงนฤเบศร์มานิตได้มีส่วนร่วมทำงานด้วย ต่างกับการเป็นผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน พ.ศ.2475 ที่คนทราบกันดีว่าหลวงนฤเบศร์มานิตเป็นผู้ก่อการฯ คนหนึ่งอยู่ในสายพลเรือน ผู้ก่อการฯนั้นแบ่งกันเป็นสายทหารบก สายทหารเรือ และสายพลเรือน และสายพลเรือนนี่เองที่มีข้อมูลในการทำงานออกมาเผยแพร่น้อยมาก ทั้งๆที่เรื่องได้เกิดและผ่านมาเกือบร้อยปีแล้ว

        หลวงนฤเบศร์มานิตเป็นผู้ก่อการฯที่น่าสังเกตมากว่าท่านมีอายุมากกว่าใคร ยิ่งเทียบกับบรรดาผู้ก่อการทั้งหลายในทุกสายก็ตาม จะเห็นว่าเป็นคน “รุ่นหนุ่ม”  รุ่นอาวุโสก็เป็นสายทหาร ได้แก่ นายพันเอกที่มีบรรดาศักดิ์เป็นพระยาทั้งสามคน กระนั้นหัวหน้าคณะผู้ก่อการฯ คือ พระยาพหลพลพยุหเสนาเองก็ยังมีอายุน้อยกว่าหลวงนฤเบศร์มานิตถึง 3 ปี เพราะคุณหลวงนฤเบศร์ฯ ท่านมีอายุ 48 ปี ในปีที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ตัวท่านเป็นนักการศึกษาเพราะเป็นครูมาก่อน ยังไม่มีข้อมูลว่าแกนนำท่านใดเป็นคนชวนท่านเข้าร่วมงาน คุณหลวงนฤเบศร์ฯ เคยเป็นครูโรงเรียนราชวิทยาลัย ดูจากประวัติผู้ก่อการฯ หลายคนได้เคยเรียนที่โรงเรียนราชวิทยาลัยมาก่อน ดูจากอายุก็น่าจะเป็นรุ่นลูกศิษย์คุณหลวงนฤเบศร์ฯ แต่ก็ยังระบุไม่ได้ว่าเป็นผู้ใดแน่นอน แต่ท่านต้องมีบทบาทสำคัญ เพราะหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองฯแล้ว เมื่อมีการแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรุ่นแรก ท่านได้รับแต่งตั้งอยู่ในจำนวน 70 คนด้วย ดังนั้นเรามาดูชีวิตและการทำงานของท่านกัน

        ตามประวัติคุณหลวงนฤเบศร์ฯ เป็นคนเมืองสมุทรปราการ เกิดเมื่อวันที่ 10 เมษายน ปี 2427 ชื่อเดิมของท่านนั้นคือ สงวน จูฑะเตมีย์ การศึกษาเล่าเรียนมาตามปกติ ขั้นสุดท้ายท่านไปเรียนวิชาครูที่โรงเรียนฝึกพัดครูบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เรียนจบวิชาครูแล้วได้เข้าทำงานเป็นครู ซึ่งต่อมาก็ได้เป็นครูใหญ่โรงเรียนวัดสังเวช ที่บางลำพู ก่อนที่จะย้ายไปเป็นครูที่โรงเรียนราชวิทยาลัย ที่ตั้งอยู่ที่นนทบุรี ในการรับราชการเป็นครูของท่านนั้น ท่านได้รับบรรดาศักดิ์ที่เริ่มจากได้เป็นขุนนฤเบศร์มานิต เมื่อปี 2458 ต่อมาในปี 2462 ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นหลวงในนามเดิม คือ นฤเบศร์มานิต ครั้นถึงวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2469 มีการยุบโรงเรียนราชวิทยาลัย และโรงเรียนมหาดเล็กหลวง ตั้งเป็นโรงเรียนวชิราวุธ คุณหลวงนฤเบศร์ฯ จึงได้ออกจาการาชการรับบำนาญ ขณะที่มีอายุได้ 42 ปี ตอนที่ร่วมเป็นผู้ก่อการฯท่านจึงเป็นข้าราชการบำนาญ ส่วนชีวิตสมรสของท่านนั้นท่านได้สมรสกับคุณหญิง แข

        ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองฯ ท่านเป็นผู้ก่อการฯคนหนึ่งที่ได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรุ่นแรกตามที่กล่าวมาแล้ว ดังนั้นท่านจึงนับเป็นผู้ก่อการอาวุโสทางฝ่ายพลเรือน และต่อมาเมื่อมีการแต่งตั้งสมาชิกสภาฯประเภทที่ 2 ในเดือนธันวาคม ปี 2476 ท่านก็ยังได้รับการแต่งตั้งด้วย ส่วนตำแหน่งรัฐมนตรีนั้นท่านได้เข้าร่วมรัฐบาลครั้งแรกเมื่อพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรี ในเดือนมิถุนายน ปี 2476 และรัฐบาลยังตั้งท่านไปเป็น “ผู้ทำการแทนอธิบดี” กรมสรรพสามิตและฝิ่น ตั้งแต่วันที่ 29 สิงหาคม ปี 2476 และท่านเป็นอธิบดีกรมนี้นานประมาณ 6 ปี

        หลวงนฤเบศร์ฯ ได้ร่วมเป็นรัฐมนตรีลอยอยู่ในรัฐบาลของพระยาพหลฯ ตั้งแต่คณะรัฐมนตรีชุดที่ 4 ต่อมาชุดที่ 5 สืบมาจนถึงชุดที่ 6 จนถึงวันที่ 1 สิงหาคม ปี 2478 ก็ได้ลาออกจากตำแหน่งแต่ยังเป็นอธิบดีกรมสรรพสามิตต่อมา และได้กลับมาเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐมนตรีชุดที่ 8 ของพระยาพหลฯ อีกครั้งในปี 2480 ครั้นถึงปี 2481 หลังการเลือกตั้งทั่วไปแล้วมีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรีมาเป็นหลวงพิบูลสงคราม หลวงนฤเบศร์มานิตก็ยังได้เข้าร่วมในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่นี้โดยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง แสดงว่าฝีมือการทำงานที่กรมสรรพสามิตของท่านดีเป็นที่ประจักษ์ แต่งานรัฐมนตรีช่วยที่กระทรวงคงมากท่านจึงได้พ้นจากตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพสามิตในปี 2483 ครั้นถึงปลายปี 2484 กองทหารญี่ปุ่นเข้าไทยและรัฐบาลได้ร่วมมือกับญี่ปุ่น จึงเกิดขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นที่เรียกกันว่าเสรีไทย คุณ “พ. สมานคุรุกรรม” เขียนบอกว่าคุณวิลาศ โอสถานนท์ ได้เล่าถึงงานเสรีไทยของท่านและหลวงนฤเบศร์ฯ เอาไว้ว่าคุณวิลาศเป็น “ลูกสาย” ของหลวงนฤเบศร์ฯ มีหน้าที่รับอาวุธ และรับคนที่ทางเสรีไทยนอกประเทศส่งเข้ามาไทยแล้ววันหนึ่งก็มีเรื่องตื่นเต้น ดังจะขอนำข้อเขียนของ พ. สมานคุรุกรรม ที่ท่านเขียนเรื่องนี้มาให้อ่านเฉพาะตรงนี้ว่า

        “รถกระบะคันนั้นมีผู้โดยสาร 3 คน คือ นายถนอมคนรถ คุณหลวงนฤเบศร์มานิตและตัวท่าน กำลังมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ โดยมีอาวุธเต็มค่อนรถ และลูกมะพร้าวแห้งทับปิดไว้ เมื่อรถถึงปราณบุรีมีทหารญี่ปุ่น 4 นาย ยืนโบกมือให้รถหยุด ท่านและคุณหลวงนฤเบศร์ฯ ตัดสินใจ ทำใจดีสู้เสือ จอดรถตามคำสั่ง ทหารญี่ปุ่นส่งภาษาใบ้พอเข้าใจได้ว่าจะขออาศัยโดยสารไปด้วย ทั้งสองท่านจึงไม่มีทางเลี่ยง โดยให้ทหารญี่ปุ่นขึ้นนั่งบนกองมะพร้าวนั่นเอง และกระซิบบอกกันระหว่างรถวิ่งต่อไปว่าเราสามคน ต้อง ‘เก็บ’ เจ้าญี่ปุ่นสี่คนให้ได้ก่อนที่มันจะฆ่าเรา รถวิ่งไปได้ชั่วครู่ เมื่อใกล้ถึงเพชรบุรี มีเสียงกระทุ้งส่งสัญญาณจากญี่ปุ่น นายถนอมจึงหยุดรถ พร้อมที่จะปฏิบัติการ แต่ทหารญี่ปุ่นไม่ทราบถึงสิ่งผิดปกติ โบกมืออำลาและขอบอกขอบใจที่ให้อาศัยรถมา ท่ามกลางความโล่งอกของคนไทยทั้งสาม ท่านเล่าเรื่องนี้พร้อมกับกล่าวว่า ไม่รู้รอดมาได้อย่างไร”

        เสร็จสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว หลวงนฤเบศร์ฯก็ยังมีบทบาทอยู่ ท่านได้เป็นสมาชิกพฤฒสภาในปี 2489 และได้เป็นรัฐมนตรีอุตสาหกรรมในรัฐบาลของนายกฯ ปรีดี พนมยงค์ ในปี 2489 เป็นชุดสุดท้าย หลวง
นฤเบศร์ฯ ได้ถึงแก่อนิจกรรมในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ.2523