รัฐบาลพลเรือน

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:31, 15 ธันวาคม 2560 โดย Apirom (คุย | ส่วนร่วม) (สร้างหน้าด้วย " เรียบเรียงโดย : ปกรณ์เกียรติ ดีโรจนวานิช ผู้ทรงคุณวุฒ...")
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

เรียบเรียงโดย : ปกรณ์เกียรติ ดีโรจนวานิช

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต


รัฐบาลพลเรือน

          รัฐบาลพลเรือนมีความหมายอย่างกว้างว่าเป็นรัฐบาลที่คณะบุคคลภายในรัฐบาลได้มาซึ่งอำนาจการบริหารประเทศด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง แต่ไม่ได้เป็นบุคคลซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับกองทัพ และไม่ได้มาซึ่งอำนาจการบริหารประเทศโดยใช้กำลังของกองทัพ อย่างไรก็ดีรัฐบาลพลเรือนไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและเป็นประชาธิปไตยเสมอไป

          รัฐบาลพลเรือนเป็นหน่วยการปกครองแบบสมัยใหม่ที่พัฒนาขึ้นในช่วงยุคแสงสว่างทางปัญญา (Enlightenment) ในยุโรป โดยเป็นผลพวงจากแนวคิดการปฏิรูปศาสนาในยุโรปและการพัฒนาทางการเมืองในรัฐยุโรปจากรัฐศักดินาจารีต รัฐศาสนา มาสู่รัฐสมัยใหม่ที่รวบอำนาจที่กระจัดกระจายอยู่ในมือขุนนาง บาทหลวง ในท้องที่ต่าง ๆ มารวมไว้อยู่ที่มีกษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว และสถาปนาอำนาจอันล้นพ้นนั้นไว้ในมือ ก่อนที่รัฐสมัยใหม่ในยุโรปจะพัฒนารูปแบบรัฐบาลของตนเองให้มีรูปแบบที่หลากหลายขึ้นทั้งรัฐบาลกษัตริย์ รัฐบาลทหาร และรัฐบาลพลเรือน

 

กำเนิดรัฐสมัยใหม่

          ภายหลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในยุโรปหลังยุคแสงสว่างทางปัญญา (Enlightenment) รัฐต่าง ๆ ในยุโรป และภายหลังสงครามศาสนาในยุโรป[1] รัฐในยุโรปได้มีรูปแบบการปกครองที่อำนาจการปกครองของรัฐถูกรวบอยู่ภายใต้กลุ่มผู้ปกครองกลุ่มเดียวที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการปกครองรัฐ รัฐสมัยใหม่จึงเป็นรัฐที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จดูแลจัดการกิจการทั้งหมดภายในรัฐตั้งแต่เรื่องเกิด แก่ เจ็บ และตายของประชาชนในรัฐ โดยไม่ยินยอมให้มีอำนาจหรือองค์กรการเมืองรูปแบบคล้าย ๆ กันเกิดขึ้นมาท้าทายอำนาจรวมศูนย์ของรัฐ

          ในอังกฤษสมัยพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ได้มีการรวบอำนาจของคริสตจักรในอังกฤษให้มาอยู่ภายใต้อำนาจการดูแลของรัฐ และตัดขาดความสัมพันธ์กับคริสตจักรที่โรมที่มีอำนาจศาสนาเหนือรัฐต่าง ๆ ในยุโรป[2] การปฏิบัติเช่นนี้จึงเป็นตัวอย่างของการสร้างรัฐสมัยใหม่ที่ไม่ยอมให้มีระบอบการเมืองอื่น ๆ ดำรงอยู่เพื่อท้าทายอำนาจรวมศูนย์ของรัฐสมัยใหม่ หรือในฝรั่งเศสสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ก็ได้มีการรวบอำนาจจากบรรดาขุนนางท้องถิ่นทั้งหลายให้อยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของกษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว โดยที่กษัตริย์มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการปกครอง[3]

          การกำเนิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่ได้ทำให้รัฐพัฒนาตัวเองขึ้นมีอำนาจเป็นเอกเทศ และทำให้รัฐหรือองค์กรทางการเมืองรูปแบบอื่น ๆ จะสถาปนาตัวเองขึ้นเหนือกว่ารัฐสมัยใหม่มีได้ พัฒนาการของรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์จึงได้สร้างความเป็นเนื้อเดียวกันของรัฐทั้งรัฐ[4] และรัฐได้มีอำนาจผูกขาดในการดูแลการจัดการชีวิตประจำวันของผู้คนภายในรัฐอย่างชัดเจน รัฐและประชาชนจึงมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและแนบแน่นขึ้น

          ในระยะแรกที่รัฐสมัยใหม่เพิ่งถือกำเนิด รูปแบบของรัฐบาลยังคงมีแค่รูปแบบของรัฐบาลกษัตริย์ ที่กษัตริย์มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและสืบทอดอำนาจผ่านทางสายเลือดเท่านั้น แต่ทว่าการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่ทำให้กำเนิดรัฐบาลพลเรือนขึ้นนั้นมาจากการที่ประชาชนไม่พอใจการปกครองที่กดขี่ของกษัตริย์ ซึ่งสืบทอดอำนาจภายในกลุ่มคนกลุ่มเดียว

 

กำเนิดรัฐบาลพลเรือน

          ความเปลี่ยนแปลงทางความคิดของชาวยุโรปที่ดำรงอยู่ภายใต้ความเป็นรัฐสมัยใหม่ที่รวมศูนย์อำนาจ ได้เกิดการตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพการทำงานของรัฐที่มีอำนาจบริหาร ออกกฎหมาย และตัดสินคดีความ ว่าได้มีความยุติธรรมเที่ยงแท้ต่อประชาชนภายในรัฐหรือไม่ กระแสความเปลี่ยนแปลงทางความคิดที่เด่นชัดที่สุดได้เกิดขึ้นในฝรั่งเศสที่เป็นรัฐสมัยใหม่ที่รวมศูนย์อำนาจได้สมบูรณ์เบ็ดเสร็จมากที่สุด ไล่ลงมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 , 15 และ 16 รัฐสมัยใหม่ภายใต้รัฐบาลกษัตริย์ซึ่งสืบทอดอำนาจผ่านทางสายเลือดหรือภายในคนกลุ่มเดียวได้ถูกตั้งคำถามจากนักคิดอย่าง มงเตสกิเยอ ไว้ว่า

          “ฉันเฝ้าค้นหาอยู่บ่อย ๆ ว่ารัฐบาลแบบไหนที่สอดคล้องกับเหตุผลมากที่สุด ฉันรู้สึกว่ารัฐบาลที่สมบูรณ์แบบที่สุดคือรัฐบาลที่บริหารงานบรรลุเป้าหมายโดยเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด ผลก็คือรัฐบาลที่นำประชาชนด้วยวิธีการที่สอดคล้องที่สุดกับความต้องการและลักษณ์นิสัยของเขาเหล่านั้นคือรัฐบาลที่สมบูรณ์แบบที่สุด”[5]

          กล่าวคือประชาชนไม่พอใจกับระบอบการเมืองที่รวมศูนย์อำนาจและจำกัดอำนาจการเมืองอยู่ภายในคนกลุ่มเดียว ประชาชนต้องการระบอบการเมืองที่เอื้อให้ประชาชนมีส่วนร่วมทางการเมือง หรืออย่างน้อยที่สุดเป็นรัฐบาลที่พลเรือนเป็นคนเลือก และไม่สืบทอดอำนาจอย่างต่อเนื่องโดยใช้ความชอบธรรมทางศาสนาหรือทางสายตระกูล

          ชาวอาณานิคมอังกฤษในอเมริกาในศตวรรษที่ 18 ได้ทำสงครามปฏิวัติสำเร็จและได้สถาปนารัฐขึ้นใหม่ที่ปฏิเสธอำนาจของกษัตริย์ และสร้างระบอบการเมืองที่เป็นของประชาชน โดยได้รับอิทธิพลความคิดทางการเมืองจากนักคิดฝรั่งเศสอย่างมงเตสกิเยอ ทั้งนี้ภายใต้ระบอบการปกครองของสหรัฐอเมริกาได้สร้างรูปแบบรัฐบาลของตนเองขึ้นมา คือรัฐบาลพลเรือนซึ่งคือตัวแทนอำนาจของรัฐที่มาจากการเลือกของประชาชน และตัวแทนเหล่านี้มาจากสามัญชนคนธรรมดา โดยรูปแบบรัฐบาลพลเรือนที่สร้างขึ้นนี้ไม่มีกลไกการสืบทอดอำนาจผ่านความชอบธรรมทางศาสนาหรือผ่านทางสายตระกูล

          ชัยชนะของสงครามปฏิวัติในอเมริกาได้ส่งผลสะเทือนถึงฝรั่งเศสที่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลกษัตริย์ที่สืบทอดอำนาจผ่านทางสายเลือด ได้สร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการปฏิวัติในฝรั่งเศสขึ้นเพื่อเปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบสาธารณรัฐที่รัฐบาลเป็นของประชาชน โดยตัวแทนอำนาจมาจากสามัญชน

          รัฐบาลพลเรือนจึงเป็นองค์กรทางการเมืองที่ไปด้วยกันได้กับระบอบการเมืองประชาธิปไตย แต่อย่างไรก็ดีรัฐบาลพลเรือนไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหรือเป็นประชาธิปไตย เสมอไปทั้งนี้เราจะเห็นได้ว่ารัฐบางรัฐที่มีรัฐบาลพลเรือนในบางครั้งก็เป็นรัฐบาลที่มาจากการแต่งตั้งหรือการทำหน้าที่เฉพาะกาล อย่างเช่นรัฐบาลเวียดนามใต้ที่เป็นหุ่นเชิดให้กับสหรัฐอเมริกาในช่วงสงครามเย็น หรือในรัฐไทยบ่อยครั้งที่เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองรัฐบาลพลเรือนก็มาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์

 

บรรณานุกรม

สมเกียรติ วันทะนะ.  (2551).  กำเนิดรัฐสมัยใหม่.  ใน  สังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์.   34(1): 161-174.

อนันต์ชัย เลาหะพันธุ.  (2554).  ยุโรปสมัยใหม่ ค.ศ. 1492 – 1815.  กรุงเทพฯ: ศักดิโสภาการพิมพ์.

อัลเฟรด บอนแนงก์.  (2525).  ฝรั่งเศส วิวัฒนการของความคิดในสิบศตวรรษจากยุคแรกเริ่มถึง ค.ศ.1800.  แปลโดย สุดา ภักษา.  กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์.

Cheyney, Edward P.  (1945).  A Short History of England.  7th ed.  Boston: Ginn and     Company.

 

อ้างอิง

          [1] สมเกียรติ วันทะนะ.  (2551).  กำเนิดรัฐสมัยใหม่.  ใน  สังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์.   34(1): 161 -174.

          [2] Edward P. Cheyney.  (1945).  A Short History of England.  p. 298 - 299

          [3] อนันต์ชัย เลาหะพันธุ.  (2554).  ยุโรปสมัยใหม่ ค.ศ. 1492 – 1815.  หน้า 162 – 165.

          [4] สมเกียรติ วันทะนะ.  (2551).  กำเนิดรัฐสมัยใหม่.  ใน  สังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์.   34(1): 162.

          [5] อัลเฟรด บอนแนงก์.  (2525).  ฝรั่งเศส วิวัฒนการของความคิดในสิบศตวรรษจากยุคแรกเริ่มถึง ค.ศ.1800.  แปลโดย สุดา ภักษา.  หน้า 98.