การทรงพระผนวชและศึกษาพระพุทธศาสนา

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:35, 19 พฤษภาคม 2560 โดย Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง : ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.สนธิ เตชานันท์


สมเด็จฯ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ หรือ “ทูลกระหม่อมเอียดน้อย” [1] พระชันษา ๑๒ ปี หลังทรงเข้าพระราชพิธีโสกันต์และเฉลิมพระยศเป็นกรมขุนศุโขไทยธรรมราชาตามประเพณีของสมเด็จเจ้าฟ้าแล้ว อีก ๔ เดือนต่อมา ได้เสด็จออกไปทรงศึกษาในทวีปยุโรป โดยที่มิได้ทรงผนวชเป็นสามเณร ศึกษาภาษามคธและพระพุทธธรรมอย่างเป็นทางการตามโบราณราชประเพณี เช่นในกรณีพระราชโอรสในรัชกาลที่ ๔ หรือพระราชโอรสรุ่นใหญ่ในรัชกาลที่ ๕ แต่แม้กระนั้นก็ตามพระองค์ได้ทรง“ปฏิญาณพระองค์เป็นพุทธมามกะ ถือพระรัตนทั้งสามเป็นสรณะ” ณ พระอุโบสถวัดศรีรัตนศาสดาราม ต่อพระพักตร์กรมหมื่นวชิรญานวโรรส แสดงว่าทรงเข้าพระหฤทัยดีในหลักพระพุทธศาสนาระดับหนึ่งแล้ว ก่อนที่จะเสด็จไปทรงศึกษาต่อในประเทศตะวันตก [2]

ต่อมาเมื่อสมเด็จฯ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขไทยธรรมราชา เสด็จนิวัตคืนสู่กรุงเทพมหานครในวันที่ ๒๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๕๘ [3] ทรงได้เข้ารับราชการทหารในกองทัพบก และอีกประมาณ ๒ ปีถัดมา ในพ.ศ. ๒๔๖๐ ได้ทรงลาราชการเพื่อทรงผนวชที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดารามในพระบรมมหาราชวัง


การทรงพระผนวช

การทรงพระผนวช สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนศุโขไทยธรรมราชาในครั้งนั้น รัชกาลที่ ๖ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตั้งการพระราชพิธีทรงพระผนวชตาม ขัตติยราชประเพณีอย่างสมเด็จเจ้าฟ้าทรงพระผนวชในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย และพระราชทานพระเกียรติยศเพิ่มเติมเป็นพิเศษบางอย่าง กล่าวคือ มีการทรงผนวชหม่อมเจ้า ๖ องค์ และอุปสมบทข้าราชการ ๖ นาย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เป็นนาคหลวงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุและสามเณร ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กำหนด ณ วันที่ ๒๖ ,๒๗,๒๘,๒๙ และ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ [4]

วันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ เวลา ๑๗.๐๐ น. เป็นวันสมโภชการทรงพระผนวช และวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ เวลา ๐๙.๐๐ น. อันเป็นวันทรงพระผนวชสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมขุนศุโขไทยธรรมราชา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้พระราชทานผ้าไตรแก่สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าฯแล้ว สมเด็จฯ เจ้าฟ้าฯเสด็จประทับในท่ามกลางพระสงฆ์ ๓๐ รูป มีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระมหาสมณะเจ้าเป็นประธาน สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าฯ ซึ่งจะทรงพระผนวชถวายเครื่องสักการะแด่สมเด็จพระมหาสมณะและขอบรรพชา โดยมีพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา วชิรญาณวโรรสทรงเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ และ พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นชินวรสิริวัฒน์ ( พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้าในสมัยรัชกาลที่ ๗) เป็นพระกรรมวาจาจารย์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ครั้งดำรงพระยศที่ พระญาณวราภรณ์เป็นพระอาจารย์ถวายธรรมวินัย ทูลกระหม่อมพระประชาธิปกศักดิเดชน์ สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมขุนสุโขไทยธรรมราชา ทรงได้รับฉายาว่า “ปชาธิโป” ประทับจำพรรษา ณ พระตำหนักปั้นหย่า วัดบวรนิเวศวิหาร

วันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ มีการสมโภชทรงผนวชหม่อมเจ้าและอุปสมบทนาคหลวง ที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย และวันที่ ๒๙-๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ ทรงผนวชหม่อมเจ้าและอุปสมบทนาคหลวง

ในเวลาต่อมา มีการฉลองสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมขุนศุโขทัยธรรมราชาพระภิกษุ ระหว่างวันที่ ๑๓- ๑๔ เดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ ณ ท้องพระโรงกลางพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทและทรงลาผนวชในวันศุกร์ที่ ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ [5] ตามลำดับ

 

การศึกษาและการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

ทูลกระหม่อมพระประชาธิปกศักดิเดชน์ สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมขุนศุโขไทยธรรมราชาทรงพระผนวชเป็นเวลาหนึ่งพรรษา ในระหว่างนั้นได้ทรงศึกษาพระพุทธธรรมลึกซึ้งพอที่จะทรงพระนิพนธ์เรียงความแก้กระทู้ธรรมจำนวน ๖ เรื่อง[6] และทรงได้รับรางวัล ๓ เรื่อง คือ เรื่อง “คนผู้ได้รับการฝึกหัดแล้วเป็นผู้ประเสริฐในมวลมนุษย์” เรื่อง “โลกอันเมตตาค้ำจุนไว้” และ “ความรู้จักพอยังประโยชน์ให้สำเร็จทุกเมื่อ” ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าทรงสามารถทรงพระอักษร (เขียน) ภาษาไทยได้อย่างกระชับได้ใจความแจ่มแจ้ง ทรงเล่าเรียน พระธรรมวินัยเป็นที่พอพระทัยสมเด็จพระอุปัชฌาย์จารย์เป็นอันมาก จนมีวาทะสืบมาว่า สมเด็จพระมหาสมณเจ้าพระองค์นั้น ทรงปรารภด้วยเหตุที่สมเด็จเจ้าฟ้าฯ ทรงเป็นพระอนุชาพระองค์สุดท้องในจำนวนเจ้าฟ้าชายร่วมพระบรมราชชนนีถึง ๕ พระองค์ อาจไม่มีเหตุจำเป็นต้องเสด็จเถลิงราชสมบัติ จึงมีพระราชประสงค์ที่จะทรงชักชวนพระองค์ไว้ในสมณเพศตลอดไป เพื่อเป็นใหญ่และเป็นทายาทปกครองสังฆมณฑลสนองพระองค์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระอัยกาธิราช ซึ่งเคยทรงผนวชเป็นเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารมาก่อน แต่สมเด็จเจ้าฟ้าฯทรงมีพระพลานามัยไม่แข็งแรง และมีพระโรคเบียดเบียน อีกทั้งทรงมีห่วงกังวลทางฆราวาสวิสัยเสียแล้ว จึงมิได้เป็นไปตามพระประสงค์ของสมเด็จพระอุปัชฌาย์จารย์ เพราะหลังจากทรงลาผนวช พ.ศ.๒๔๖๑ ได้อภิเษกสมรสกับหม่อมเจ้าหญิงรำไพพรรณี พระธิดาในกรมพระสวัสดิวัดนวิศิษฎ์ (พระอนุชาในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี พันปีหลวง) กับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภาพรรณี ในเวลาต่อมา

นอกจากนี้ ปรากฏหลักฐานพระราชกรณียกิจด้านการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๑ พระองค์โปรดเกล้าฯให้จัดพิมพ์พระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เรื่อง “พุทธมามกะ” เป็นหนังสือพระราชทานแก่เด็กเล่มแรกมีพระราชปรารภอธิบายไว้ในพระราชนิพนธ์คำนำซึ่งทรงด้วยพระองค์เองว่า “เมื่ออาจารย์เห็นว่าเด็กมีความเข้าใจดีในหลักพระพุทธศาสนาแล้วก็ควรทำพิธีรับเป็นพุทธมามกะ คล้ายวิธีพวกฆริสตังทำพิธี “confirmation” ถ้าทำดังนี้ได้จะดีอย่างยิ่งจะปลูกฝังความเลื่อมใสในพระพุทธสาสนายิ่งขึ้น และจะทำให้เด็กมีหลักมีสรณะอันจะนำชีวิตไปในทางที่ชอบ” (ตัวสะกดตามต้นฉบับ) และทรงโปรดเกล้าฯให้ริเริ่มการประกวดแต่งหนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก เพื่อพิมพ์แจกทุกปีในวันวิสาขบูชาเป็นครั้งแรก รวมทั้งยังทรงพระราชนิพนธ์คำนำด้วยพระองค์เองระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๗๒ –๒๔๗๖ จนกระทั่งปีพ.ศ. ๒๔๗๗ ไม่มีพระราชนิพนธ์คำนำของรัชกาลที่ ๗ แล้ว เพราะพระองค์ทรงประทับอยู่ต่างประเทศ (ทรงสละราชสมบัติที่ประเทศอังกฤษวันที่ ๒ มีนาคม ๒๔๗๗) หนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็กยังนี้คงสืบสานพระราชดำริมาถึงปัจจุบัน


บรรณานุกรม

พฤทธิสาณ ชุมพล , ม.ร.ว. “ความรู้คู่คุณธรรม” ในเอกสารการประชุมวิชาการสถาบันพระปกเกล้าครั้งที่ ๑๕ เรื่อง “ธรรมราชา” พ.ศ. ๒๕๕๖.

พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สถาบันพระปกเกล้าจัดพิมพ์ หนังสือสอนพระพุทธศาสนาแก่เด็ก เรื่องสาสนคุณ เรื่องอริยทรัพย์ และเรื่องทิศ๖ กรุงเทพฯ : ศูนย์การพิมพ์แก่นจันทร์จำกัด,๒๕๔๙.

วัดบวรนิเวศวิหาร และมหามกุฏราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์จัดพิมพ์โดยเสด็จพระราชกุศลในการพระ ราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ การทรงพระผนวชแห่งสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา พระบาสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๒๘.

ราชกิจจานุเบกษา “ข่าวสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนศุโขไทยธรรมราชาเสด็จกลับจากประเทศ ยุโรป” ใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๓๒ วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๔๕๘.

ราชกิจจานุเบกษา.“ การทรงพระผนวช สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนสุโขไทยธรรมราชา พระพุทธศักราช ๒๔๖๐” ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๓๔ วันที่ ๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๐.

 

อ้างอิง

  1. สมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนศุโขไทยธรรมราชา มีพระนามในราชสำนักว่า “ทูลกระหม่อมเอียดน้อย” ต่อมาพระราชมารดา สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ไม่โปรด ทรงขอให้เปลี่ยนเป็น “ทูลกระหม่อมฟ้าน้อย”
  2. ดูที่ ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพล “ความรู้คู่คุณธรรม” ในเอกสารการประชุมวิชาการสถาบันพระปกเกล้าครั้งที่ ๑๕ เรื่อง “ธรรมราชา” พ.ศ. ๒๕๕๖.
  3. “ข่าวสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนศุโขไทยธรรมราชาเสด็จกลับจากประเทศยุโรป” ใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๓๒ วันที่ ๒๕ เมษายน ๒๔๕๘,หน้า ๑๗๑.
  4. หม่อมเจ้า ๖ พระองค์ ได้แก่ ๑)หม่อมเจ้าเขจรจรัสฤทธิ์ และ๒) หม่อมเจ้าชิดชนก ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนเรศร์วรฤทธิ์ ๓) หม่อมเจ้าทองเติม ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสาตร์ศุภกิจ ๔) หม่อมเจ้าวงศ์นิรชรในสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเทวะวงศ์วโรปการ ๕) หม่อมเจ้าโศภนภราไดย์ ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสวัสดิ์วัตนวิสิษฐ์ ๖) หม่อมเจ้าวรพัฒนาภรณ์ในพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวุฒิอาภรณ์ และข้าราชการอีก ๖ คน ได้แก่ ๑) นายสวาสดิ์ สุจริตกุล มหาดเล็ก ๒) ขุนตำรวจเอก พระยาอินทราธิบาล ๓) จ่าพระประมาณธนสิทธิ์ ๔) เสวกตรี นายนิวาศวิเศษ ๕) รองเสวกเอก นายประภาษมณเฑียร ๖) รองหุ้มแพร นายรองสนองราชบรรหาร
  5. การทรงพระผนวชแห่งสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ กรมขุนสุโขทัยธรรมราชา พระบาสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๒๘.
  6. เรียงความแก้กระทู้ธรรมในสมเด็จเจ้าฟ้าประชาธิปก ฯจำนวน ๖ เรื่อง ได้แก่ ๑)ความเพียรของผู้พร้อมเพรียงย่อมให้เกิดสุข ในวันที่ ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ ๒) คนผู้ได้รับการฝึกหัดแล้วเป็นผู้ประเสริฐในมวลมนุษย์ ในวันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ ๓) โลกอันเมตตาค้ำจุนไว้ ในวันที่ ๒๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ ๔) ส่วนปัญญาย่อมปกครองเขา ในวันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ ๕)ความรู้จักพอยังประโยชน์ให้สำเร็จทุกเมื่อ ในวันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ และ ๖) ธรรมและย่อมรักษาคนผู้ประพฤติธรรม ในวันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๐.