รัฐสภา
ผู้เรียบเรียง : อมรรัตน์ รัตนกิจเจริญ
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นายจเร พันธุ์เปรื่อง
บทนำ
การปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบมีตัวแทนในระบบรัฐสภานั้น อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ประชาชนในประเทศร่วมกันใช้สิทธิใช้อำนาจอธิปไตยเป็นส่วนรวม ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ มีสิทธิและหน้าที่ที่จะจัดการปกครองประเทศ รัฐบาลซึ่งเป็นองค์การจัดการปกครองประเทศจะเป็นของประชาชน โดยมีที่ประชุมของผู้แทนประชาชนซึ่งทำหน้าที่ปกครองประเทศเรียกว่า “รัฐสภา” รัฐสภา เป็นสถาบันทางการเมืองที่มีความสำคัญต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย[1] โดยระบบนี้รัฐสภาจะมีอำนาจสูงสุด อำนาจศูนย์กลางอยู่ที่รัฐสภา รัฐสภาจะเป็นแหล่งเดียวที่เป็น “ผู้แทน” ของประชาชนโดยตรง เป็นที่รวมและที่แสดงเจตจำนงสูงสุดของประชาชนทั้งหมด เป็นที่แสดงแนวความคิดและเป็นตัวแทนของการตัดสินใจของประชาชน โดยรัฐสภาจะต้องประกอบด้วย หลักการและทฤษฏีที่สำคัญของรัฐสภา จึงจะเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบมีตัวแทนระบบรัฐสภา อำนาจหน้าที่ที่สำคัญของรัฐสภาคือ การตรากฎหมายมาใช้เป็นกฎเกณฑ์การปกครองประเทศ มีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล และมีอำนาจหน้าที่อื่นๆ นอกจากนี้ รัฐสภายังเป็นที่มาของฝ่ายบริหาร หรือรัฐบาลอีกด้วย
ความหมาย
ในระบอบการปกครองประชาธิปไตยแบบมีตัวแทนระบบรัฐสภา รัฐสภาคือ สถาบันนิติบัญญัติ และเป็นสถาบันที่มีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมดูแลการปกครอง การบริหารของฝ่ายรัฐบาล รวมทั้งเป็นสถาบันที่ทำหน้าที่ในฐานะที่เป็นตัวแทนของประชาชน
ที่มาของรัฐสภา
มนุษย์ไม่อาจที่จะอยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพังได้ จำเป็นที่จะต้องอยู่ร่วมกันเป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ ก่อให้เกิดชุมชน และสังคมมนุษย์ การรวมกลุ่มที่มีวิวัฒนาการติดต่อกันเป็นเวลานานตามลำดับ จากกลุ่มเล็กๆ ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นและมีการวิวัฒนาการจัดเป็นองค์กรทางการเมืองขึ้นเป็น รัฐ โดยรัฐจะต้องประกอบด้วยลักษณะสำคัญ 4 ประการ 1. มีประชาชนจำนวนหนึ่งอาศัยอยู่ 2. มีดินแดนที่มีอาณาเขตที่แน่นอน ประกอบไปด้วย พื้นน้ำ พื้นดิน และพื้นอากาศ 3. มีรัฐบาลคือ มีองค์การและคณะบุคคลที่ใช้อำนาจในการปกครองประเทศอย่างเป็นอิสระไม่ขึ้นกับรัฐบาลของรัฐอื่นใด 4. มีอำนาจอธิปไตยคือ มีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ เมื่อรัฐมีอำนาจอธิปไตยรัฐจึงมีอำนาจเหนือบุคคลทุกคน และสมาคมทุกสมาคมในดินแดนของรัฐโดยไม่มีข้อยกเว้นสิ่งอื่นใดจะมีอำนาจยิ่งกว่าหรือขัดต่ออำนาจอธิปไตยหาได้ไม่ อำนาจอธิปไตยนั้นจะต้องมีทั้งอำนาจอธิปไตยภายในซึ่งเป็นอำนาจสูงสุดในการออกกฎหมาย รักษากฎหมาย และการใช้กฎหมายในเขตดินแดนของรัฐนั้น และอำนาจอธิปไตยภายนอก หรือเอกราชของรัฐ โดยรัฐจะสามารถดำเนินความสัมพันธ์กับรัฐอื่นๆ รวมถึงอำนาจที่จะประกาศสงคราม หรือทำสัญญาสันติภาพได้อย่างอิสระโดยปราศจาก การบังคับบัญชาของรัฐอื่น อำนาจอธิปไตย เป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดของความเป็นรัฐ ทำให้รัฐมีอำนาจในการดำเนินกิจการภายในรัฐ และกิจการระหว่างประเทศได้อย่างเต็มที่ ทำให้รัฐมีอำนาจบังคับและสามารถใช้กำลังเพื่อให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายข้อบังคับที่รัฐกำหนดขึ้น และอำนาจอธิปไตยจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละระบอบการปกครอง โดยการปกครองระบอบประชาธิปไตย อำนาจอธิปไตยจะเป็นของปวงชน ประชาชนในประเทศร่วมกันใช้สิทธิใช้อำนาจอธิปไตยเป็นส่วนรวม ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ มีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ มีสิทธิและหน้าที่ที่จะจัดการปกครองประเทศ รัฐบาลซึ่งเป็นองค์การจัดการปกครองประเทศจึงเป็นของประชาชน
การปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นมาหลายศตวรรษแล้ว ตั้งแต่สมัย กรีก โรมัน การปกครองระบอบประชาธิปไตยทฤษฎีสัญญาประชาคมมีบทบาทสำคัญต่อการกำเนิดแนวคิด และปรัชญาพื้นฐานที่จะนำไปสู่ระบอบการปกครองในยุคสมัยใหม่ ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยนี้มิได้กำเนิดขึ้นมาแบบทันทีทันใด แต่จะวิวัฒนาการมาจากประวัติศาสตร์[2] โดยในประเทศอังกฤษ สถาบันรัฐสภาอังกฤษเกิดจากสถานการณ์ของสังคมศักดินาที่จัดระบบความผูกพันระหว่างกษัตริย์ในฐานะผู้เป็นนายกับขุนนางในฐานะผู้ที่ครองที่ดินจากกษัตริย์ และระบบความผูกพันนี้มีทั้งสิทธิหน้าที่ที่แต่ละฝ่ายต้องยึดถือปฏิบัติ การละเว้นหรือการละเมิดสิทธิดังกล่าวก็จะนำไปสู่การขัดแย้งและการล้มเลิกความสวามิภักดิ์ระบบความผูกพันระหว่างกษัตริย์และขุนนาง รัฐสภาอังกฤษจึงเกิดขึ้นเพื่อป้องกันการขัดแย้งระหว่างกษัตริย์กับขุนนาง โดยรัฐสภาจะต้องประกอบไปด้วยขุนนางและพระระดับราชาคณะ และต่อมาได้เพิ่มผู้แทนจากชุมชนเมือง จึงกลายเป็นต้นแบบรัฐสภาอังกฤษมาถึงปัจจุบัน โดยมิได้มีความเกี่ยวข้องกับแนวคิดประชาธิปไตยใดๆทั้งสิ้น แต่เป็นผลของการขัดแย้งและการประนีประนอมระหว่างกษัตริย์กับขุนนางในการบริหารประเทศ และความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด แต่อย่างไรก็ตามอิทธิพลของปัญญาแนวคิดทฤษฏี เรื่องการกำเนิดของอำนาจมาจากเบื้องล่าง คือประชาชน แนวคิดสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของมวลมนุษย์ที่จะปกป้อง ชีวิต เสรีภาพ และทรัพย์สิน ของตนก็กลายมาเป็นหลักการสำคัญของรัฐสภาอังกฤษ โดยมีการกำหนดให้รัฐสภาเป็นองค์กรหลักหรือตัวแทนประชาชนในการใช้อำนาจอธิปไตยแทนประชนชน เนื่องมาจากการปฏิวัติในประเทศอังกฤษ[3] ประเทศสหรัฐอเมริกา การปกครองระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เกิดจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์จากผู้อพยพจากเมืองแม่ คืออังกฤษ ที่พยายามต่อสู้ดิ้นรนเพื่อสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา และระบบการปกครองตนเองของแต่มลรัฐและชุมชนเมือง และที่พยายามต่อสู้ดิ้นรนเพื่ออิสรภาพที่ชาวอเมริกันต่อสู้เพื่อเป็นอิสรภาพจากเมืองแม่ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดระบบการปกครองระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา[4] ส่วนประเทศฝรั่งเศส การก่อกำเนิดของรัฐสภาประเทศฝรั่งเศสนั้นเกิดจากระบอบประชาธิปไตยประสบปัญหามากมายในสังคมฝรั่งเศสเริ่มต้นจากการปฏิวัติที่รุนแรง การแสวงหารูปแบบการปกครองที่ได้รับการยอมรับของคนส่วนมากประสบปัญหาที่จะหาจุดลงตัวได้ด้วยความยากลำบากจนกระทั่งได้มีรัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐที่ 5[5] ซึ่งเป็นระบบผสมระหว่างระบบรัฐสภาของประเทศอังกฤษกับระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา และประสบความสำเร็จจนถึงปัจจุบัน[6]
การปกครองระบอบประชาธิปไตยมีวิวัฒนาการตามเส้นทางที่แตกต่างกันซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยจาก 3 ชาติมหาอำนาจนี้คือ ประเทศอังกฤษ สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส เป็นพื้นฐานที่สำคัญของแนวคิดเกี่ยวกับหลักการและรูปแบบของประชาธิปไตยที่แตกต่างกันในปัจจุบัน[7]
การจำแนกรูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตย หากจำแนกตามรูปแบบของการมีส่วนร่วมของประชาชนอาจจำแนกได้ 2 แบบ คือ 1. ระบอบประชาธิปไตยแบบสายตรง โดยประชาชนจะมีส่วนร่วมโดยตรงในการปกครองประเทศ ซึ่งระบบนี้จะเหมาะกับหมู่บ้าน เมืองเล็กๆ หรือชุมชนเมืองขนาดเล็ก 2. ระบอบประชาธิปไตยแบบมีตัวแทนคือ ระบบที่เลือกตัวแทนของประชาชนเข้าสู่รัฐสภาเพื่อทำหน้าที่แทนประชาชน ระบบนี้จะเป็นระบบที่ใช้กับรัฐที่มีเขตการปกครองที่ใหญ่ มีประชากรจำนวนมาก[8] รูปแบบการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบมีตัวแทนแบ่งออกเป็น 3 ระบบใหญ่ๆ คือ 1. ระบบรัฐสภา ซึ่งเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยมีรัฐสภาเป็นศูนย์กลางอำนาจโดยเลือกตั้งผู้แทนเข้าไปในรัฐสภาก่อนแล้วรัฐสภาจึงทำหน้าที่เลือกรัฐบาล โดยระบบนี้เป็นรูปแบบที่อำนาจมีศูนย์กลางอยู่ที่รัฐสภา ตามหลักการที่ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน และผู้แทนประชาชนในรัฐสภาจะเป็นตัวแทนของอำนาจอธิปไตยนั้น[9] โดยระบบนี้จะมีหลักการว่าอำนาจสูงสุดเป็นของรัฐสภา ไม่มีอำนาจอื่นใดมาขัดขวางอำนาจของรัฐสภาได้ นอกจากอำนาจทางการเมืองของประชาชน ระบบรัฐสภาจะไม่มีการแบ่งแยกอำนาจบริหารออกจากฝ่ายนิติบัญญัติอย่างเด็ดขาด เพราะคณะรัฐมนตรีเปรียบเสมือนคณะกรรมการของรัฐสภา เพียงแต่เป็นคณะกรรมการในระบบคณะรัฐมนตรีจึงเป็นการบริหารงานภายใต้กำกับของรัฐสภา รูปแบบที่รัฐสภาเป็นศูนย์กลางของอำนาจนั้นไม่ได้หมายความว่า รัฐสภาจะเข้าไปก้าวก่ายการดำเนินงานของศาลตุลาการ อำนาจอันเป็นอิสระของศาลตุลาการได้รับการรองรับตามหลักของการปกครองโดยกฎหมาย เป็นอิสระจากการก้าวก่ายของฝ่ายบริหารแต่ก็ไม่มีอำนาจที่จะขัดแย้งกับกฎหมายที่ออกโดยรัฐสภาหรือมีอำนาจที่จะประกาศว่ากฎหมายใดผิดรัฐธรรมนูญ เหมือนศาลสูงสุดของสหรัฐที่มีอำนาจเช่นกัน[10] แม้รัฐสภาเป็นศูนย์รวมอำนาจ แต่ระบบนี้ก็มีระบบคานอำนาจด้วย[11] 2. ระบบประธานาธิบดีโดยระบบนี้อำนาจบริหารเป็นของประธานาธิบดีที่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนประธานาธิบดีเป็นผู้คัดเลือกรัฐบาลเพื่อบริหารประเทศ ระบบนี้เป็นรูปแบบการแยกอำนาจและการคานอำนาจ ที่อำนาจไม่รวมศูนย์ ประธานาธิบดีมีอำนาจเป็นอิสระจากรัฐสภา[12] ลักษณะสำคัญของโครงสร้างการปกครองคือ จะให้ความสำคัญกับฝ่ายบริหาร โดยมีการออกแบบโครงสร้างที่มุ่งให้เกิดความเข็มแข็งแก่ฝ่ายบริหารเพื่อให้ฝ่ายบริหารสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเข้มแข็งไม่ถูกขัดขวางจากฝ่ายนิติบัญญัติ[13] หลักการที่สำคัญที่ทำให้รูปแบบการปกครองแบบประธานาธิบดีแตกต่างจากรูปแบบการปกครองของระบบรัฐสภาคือ หลักการของการแบ่งแยกอำนาจ การคานอำนาจ และหลักของอำนาจประธานาธิบดี[14] หลักการแบ่งแยกอำนาจในระบบรัฐสภาจะมีการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่รัฐสภา แต่รูปแบบของประธานาธิบดีจะตรงกันข้ามคือ มีการแบ่งแยกอำนาจ โดยอำนาจนิติบัญญัติ ได้แก่ รัฐสภา อำนาจบริหาร ได้แก่ ประธานาธิบดี และอำนาจตุลาการ แต่ละสถาบันเป็นอิสระซึ่งกันและกันไม่มีใครจะมีอำนาจมากกว่ากัน ประธานาธิบดีเป็นอิสระจากรัฐสภาเพราะประชาชนเป็นผู้เลือกตั้งประธานาธิบดีให้ไปบริหาร และรัฐสภาไม่มีอำนาจจะไปขับไล่ประธานาธิบดีได้ และประธานาธิบดีก็ไม่มีอำนาจจะยุบสภาได้ การปฏิบัติหน้าที่นิติบัญญัติ การริเริ่ม การร่าง และการพิจารณากฎหมายเป็นหน้าที่ของรัฐสภา ซึ่งประกอบด้วยวุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร ประธานาธิบดี หรือฝ่ายบริหารไม่มีอำนาจหน้าที่เสนอร่างพระราชบัญญัติ และสถาบันนิติบัญญัติ หรือรัฐสภาก็ไม่มีบทบาทหน้าที่จะไปก้าวก่าย หรือกำกับ หรือตรวจสอบการบริหารงานของฝ่ายบริหารเพื่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือเพื่อเสนอทางเลือกของนโยบายการบริหาร ยกเว้นกรณีของการตรวจสอบความประพฤติของประธานาธิบดี เพื่อถอดถอน และกรณีของการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูง นอกจากนั้นสถาบันตุลาการก็เป็นอิสระจากสถาบันที่กล่าวมาแล้ว แม้ว่าประธานของศาลสูงสุดจะได้รับการเสนอชื่อจากประธานาธิบดี และต้องได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภา แต่เมื่อได้รับการแต่งตั้งแล้ว ประธานของศาลสูงก็จะมีอิสระ ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติจะก้าวก่ายภาระหน้าที่ของฝ่ายตุลาการมิได้[15] ส่วนระบบการคานอำนาจ หรือการถ่วงดุลยแห่งอำนาจนั้น รัฐสภาจะมีอำนาจในการร่างกฎหมาย แต่ผู้ที่มีอำนาจขั้นสุดท้ายในการให้ความเห็นชอบคือประธานาธิบดี ซึ่งทำหน้าที่เป็นประมุข เสมือนพระมหากษัตริย์ที่ลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติ และประธานาธิบดีมีอำนาจในการยับยั้งพระราชบัญญัติได้ การแต่งตั้งผู้บริหารระดับสูงประธานาธิบดีจะต้องขอความเห็นชอบจากวุฒิสภา[16] หลักของอำนาจประธานาธิบดี ประธานาธิบดีจะเป็นตำแหน่งรวมศูนย์แห่งอำนาจการบริหาร ฝ่ายบริหาร จะรวมบทบาทของประมุข เป็นสัญลักษณ์ของชาติคล้ายๆกับกษัตริย์ และบทบาทของผู้นำฝ่ายบริหารไว้ที่ตัวคนเดียวคือ ประธานาธิบดีมีอำนาจในการแต่งตั้งรัฐมนตรี และตำแหน่งบริหารระดับสูงในกระทรวงต่างๆ[17] ความแตกต่างระหว่างระบบรัฐสภาและระบบประธานาธิบดีจะแตกต่างกัน 2 ประการหลักคือ รูปแบบรัฐสภาอำนาจรวมศูนย์ที่รัฐสภา ส่วนรูปแบบประธานาธิบดีมีการแยกอำนาจและคานอำนาจของสถาบันการปกครองทั้ง 3 และระบบรัฐสภามีการแยกบทบาทของตำแหน่งประมุขออกจากตำแหน่งผู้นำฝ่ายบริหาร แต่ระบบประธานาธิบดีรวมสองตำแหน่งสองบทบาทไว้ด้วยกัน[18] 3. ระบบผสมระหว่างรัฐสภากับระบบประธานาธิบดี โดยระบบนี้จะคงโครงสร้างของระบบรัฐสภา การปกครองประเทศยังคงมีทั้งรัฐสภาทำหน้าที่นิติบัญญัติเลือกหัวหน้าฝ่ายบริหาร และควบคุมการบริหารประเทศ และมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาลทำหน้าที่บริหารประเทศโดยรับผิดชอบต่อสภา และขณะเดียวกันก็ยังคงอำนาจหน้าที่บางประการของระบบประธานาธิบดีด้วยโดยกำหนดอำนาจหน้าที่ของประธานาธิบดีให้มีอำนาจหน้าที่เพิ่มมากขึ้น[19] ระบบนี้ยังคงยึดโยงกับระบบรัฐสภาโดยนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ซึ่งสามารถอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้ และคณะรัฐมนตรีก็มีอำนาจในการดำเนินนโยบายภายในประเทศ ประธานาธิบดีเป็นอิสระจากรัฐสภา ส่วนรัฐสภาประกอบด้วยสภาสูงและสภาผู้แทนราษฎร นายกรัฐมนตรีมีอำนาจแต่งตั้งรัฐมนตรีโดยสามารถแต่งตั้งบุคคลจากภายนอกรัฐสภาให้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีได้ แต่คณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบต่อสภา ระบบนี้ตำแหน่งประธานาธิบดีจะมีความโดดเด่นและมีความสำคัญมากต่อการเป็นผู้นำประเทศ ฉะนั้นระบบนี้จึงใกล้เคียงกับระบบประธานาธิบดีมากกว่าระบบรัฐสภา และอาจจะมีประสิทธิภาพมากกว่าระบบประธานาธิบดีเนื่องจากมีระบบคณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภา[20]
'หลักการการปกครองระบอบ'ประชาธิปไตยแบบมีตัวแทนในระบบรัฐสภา
หลักใหญ่ๆ ที่เป็นพื้นฐานสำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบมีตัวแทนในระบบรัฐสภาจะต้องประกอบไปด้วยหลักการที่สำคัญคือ 1. หลักการแบ่งแยกอำนาจ ในการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบมีตัวแทนในระบบรัฐสภา การแบ่งแยกอำนาจเป็นการประกันอิสระเสรีภาพของประชาชน ทั้งนี้เพราะผู้ใดมีอำนาจผู้นั้นมักมีแนวโน้มในการที่จะใช้อำนาจไปในทางที่ผิด วิธีที่ดีที่สุดคือการแบ่งแยกอำนาจออกเป็น 3 ส่วนคือ อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจตุลาการ[21] โดยการแบ่งแยกอำนาจนั้นมีแนวความคิดเกี่ยวกับการแบ่งแยกอำนาจเป็น 2 แบบคือ (1) การแบ่งแยกอำนาจหน้าที่อย่างเด็ดขาด โดยอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจตุลาการ ต่างฝ่ายต่างก็เป็นอิสระไม่เกี่ยวข้องก้าวก่ายกัน (2) การแบ่งแยกอำนาจแบบมีความร่วมมือซึ่งกันและกัน โดยการแบ่งแยกอำนาจกันนั้นมิได้ทำให้การร่วมมือกันหมดสิ้นไป[22] 2. หลักการมีผู้แทนราษฎรคือ การที่ประชาชนมอบอำนาจส่วนหนึ่งให้กับผู้อื่น ซึ่งแต่เดิมเป็นความคิดของชนชั้นมั่งมีที่มีบทบาททางทางเศรษฐกิจและการเมือง การมีผู้แทนราษฎรจะเป็นผลดีแก่ตนคือสามารถลดอำนาจพระมหากษัตริย์ลงได้โดยการโอนอำนาจนิติบัญญัติให้กับชาติซึ่งตนเข้าทำการแทนในรัฐสภา เป็นการกีดกันประชาชนที่มิใช่พวกตนเองไม่ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในการปกครองบริหารประเทศ แต่ปัจจุบันความจำเป็นที่จะลิดรอนอำนาจพระมหากษัตริย์ และการกีดกันประชาชนไม่ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศได้หมดไป ความเป็นประชาธิปไตยมีความเด่นชัดขึ้น ซึ่งหลักการมีผู้แทนราษฎรนี้ จะมีแนวคิดว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของชาติมิใช่เป็นของบุคคลหนึ่ง หรือกลุ่มบุคคลใด บุคคลเป็นส่วนประกอบของชาติ ประชาชนในประเทศร่วมกันใช้สิทธิใช้อำนาจอธิปไตยเป็นส่วนรวม จึงไม่มีบุคคลใดหรือกลุ่มบุคคลใดใช้อำนาจนี้เป็นเอกเทศได้ เมื่ออำนาจอธิปไตยเป็นของชาติชาติซึ่งไม่มีตัวตนก็ไม่สามารถใช้อำนาจนี้ได้จึงต้องมีการสรรหาบุคคลกลุ่มหนึ่งมาใช้อำนาจนี้แทนชาติ จึงเป็นที่มาของการมีผู้แทนราษฎร ด้วยเหตุนี้ผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกจึงเป็นผู้แทนของราษฎรทั้งหมด มิใช่เป็นผู้แทนเขตการเลือกตั้งเขตหนึ่งเขตใดโดยเฉพาะ[23] 3. หลักการตามกฎหมายคือ การปกครองในแบบรัฐสภานี้ จำเป็นที่จะต้องดำเนินไปตามกฎเกณฑ์ที่เขียนไว้เป็นตัวบทอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร หรือดำเนินไปตามกฎเกณฑ์ที่เป็นจารีตประเพณี โดยการที่มีการยอมรับนับถือและปฏิบัติตามกฎเหล่านี้อย่างทั่วถึงกันถือได้ว่าเป็นหลักการตามกฎหมาย[24] หลักการตามกฎหมายนั้นมีการแบ่งแยกชั้นต่างๆของกฎเกณฑ์ โดยทั่วไป รัฐธรรมนูญย่อมอยู่เหนือกฎเกณฑ์ทั่วไป แต่บางบางประเทศเช่นประเทศอังกฤษแม้ว่าจะไม่มีการเขียนรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษรทั้งหมดแต่กฎเกณฑ์บางอย่างก็มีศักดิ์เป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญและได้รับการยอมรับนับถือ[25] กฎหมายทั่วไปก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ารัฐธรรมนูญ เนื่องจากหลักการมีผู้แทนราษฎรทำให้กฎหมายที่ผ่านรัฐสภาได้ชื่อว่าอยู่เหนือสิ่งอื่นเพราะถือว่าเป็นความต้องการของประชาชนเจ้าของประเทศ กฎหมายจะเป็นเครื่องมือปกป้องสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และเป็นสิ่งที่กำหนดขอบเขตสิทธิเสรีภาพของประชาชน กฎหมายจึงมีความสำคัญกว่าสิ่งอื่น เหนือกว่าคำสั่งกฎเกณฑ์ ข้อบังคับของฝ่ายบริหาร โดยฝ่ายบริหารจำเป็นจะต้องอิงอำนาจกฎหมายและไม่ขัดต่อกฎหมายด้วย
ในระบบรัฐสภาโดยหลักการพื้นฐานอย่างเดียวยังไม่เพียงพอที่จะกำหนดว่าเป็นการปกครองระบบรัฐสภาหรือไม่ โดยทั่วไปแล้วระบบรัฐสภาที่มีอยู่แต่ละระบบก็มีความแตกต่างแยกแยะออกไปมากมาย แต่ระบอบการปกครองที่จะถือว่าเป็นการปกครองระบบรัฐสภาจะต้องประกอบไปด้วยหลักการทฤษฎีที่สำคัญ 2 หลักใหญ่ๆ คือ 1. หลักทฤษฎีแห่งดุลยภาพ โดยทฤษฎีนี้จะถือว่าการปกครองระบบรัฐสภาเป็นระบบที่ได้ดุลยในการปกครองอย่างดีที่สุด โดยฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารจะต้องมีมาตรการที่จะใช้อำนาจของตนคานกับอำนาจอีกฝ่ายหนึ่งอย่างได้ผล โดยรัฐสภาอาจตั้งกระทู้ถามเกี่ยวกับนโยบายหรือการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลได้ อาจขอเปิดอภิปรายลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นเหตุให้รัฐบาลต้องลาออกได้ ในทำนองเดียวกัน รัฐมนตรีก็มีสิทธิที่จะเข้าไปแถลงชี้แจงปัญหาต่างๆในการบริหารประเทศในรัฐสภาได้ และฝ่ายบริหารก็ยุบสภาได้[26] 2. หลักทฤษฎีว่าด้วยความรับผิดชอบทางการเมืองคือ เมื่อใดก็ตามที่รัฐสภาไม่ให้ความไว้วางใจ ฝ่ายบริหารจำเป็นต้องรับผิดชอบทางการเมืองด้วยการลาออกจากตำแหน่ง
จำนวนสภาที่ประกอบกันเป็นรัฐสภา
โดยทั่วไปประเทศต่างๆจะมีจำนวนสภาที่ประกอบกันเข้าเป็นรัฐสภา 2 แบบใหญ่ๆ คือ แบบสภาเดี่ยว และแบบสองสภา 1. สภาเดี่ยวคือ รัฐสภาที่มีนิติบัญญัติเพียงสภาเดียวทำหน้าที่ออกกฎหมาย และควบคุมการบริหารงานของรัฐบาล การเข้าสู่ตำแหน่งจะมาจากการเลือกตั้งอย่างเดียว หรือแต่งตั้งอย่างเดียว หรืออาจจะมาจากทั้งการเลือกตั้งและแต่งตั้งก็ได้ แล้วแต่ประเทศนั้นๆ จะกำหนด ทำหน้าที่เป็นผู้วางนโยบายของประเทศ 2. สองสภาคือ รัฐสภาที่มีนิติบัญญัติประกอบด้วยสภาสองสภาคือ สภาสูง และสภาล่างซึ่งมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป โดยทั่วไปการเข้าสู่ตำแหน่งและวาระการดำรงตำแหน่งของสภาสูงส่วนใหญ่มักจะแต่งตั้งจากกลุ่มอาชีพต่างๆ เพื่อช่วยกลั่นกรองงานในหน้าที่รับผิดชอบของสภาล่าง[27] อาจจะมาจากการเลือกตั้งอย่างเดียว หรืออาจจะมาจากการแต่งตั้งอย่างเดียว หรืออาจจะมาทั้งจากการเลือกตั้งและแต่งตั้งก็ได้อาจจะมาจากการสืบตระกูล แล้วแต่ประเทศนั้นๆ จะกำหนด ส่วนการดำรงตำแหน่งส่วนหนึ่งจะขึ้นอยู่กับรัฐธรรมนูญ ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับประวัติศาสตร์ความเป็นมา ส่วนสภาล่าง หรือสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน[28] โดยทั่วไปสภาล่างเป็นแหล่งที่บัญญัติกฎหมายที่สำคัญ[29] ซึ่งแบบสองสภานี้ สภานิติบัญญัติจะแบ่งออกเป็นสองฝ่าย หรือสองประเภท โดยให้สภาล่างมีบทบาทอย่างแท้จริงในการตรากฎหมายและอีกสภาหนึ่งคือสภาสูงทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา คอยยับยั้งหรือกลั่นกรองการใช้อำนาจของสภาล่าง
ในระบบนี้อำนาจศูนย์กลางจะอยู่ที่รัฐสภา เป็นศูนย์กลางของอำนาจทางการเมือง[30] และเป็นองค์กรสูงสุดที่เป็นที่รวมเจตจำนงของประชาชนทั้งประเทศ โดยทั่วไปจะมีอำนาจหน้าที่ต่างๆ คือ 1. อำนาจนิติบัญญัติคือ มีหน้าที่ในการริเริ่มเสนอกฎหมาย พิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายหลัก[31]กฎหมายที่สำคัญ และกฎหมายต่างๆ รวมทั้งอนุมัติใช้กฎหมายรวมทั้งการยกเลิกกฎหมายด้วย 2. อำนาจหน้าที่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญคือ อำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญรวมถึงการพิจารณาอนุมัติให้มีการใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ การตีความรัฐธรรมนูญ เป็นต้น หรืออาจะให้ประชาชนเป็น ผู้ตัดสินในการที่จะให้มีการดำเนินแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ กรณีที่รัฐสภาตกลงกันไม่ได้ประชาชนทั้งหมดจะเป็นผู้ตัดสินลงมติว่าสมควรจะให้มีการแก้ไขปัญหารัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งหลักเกณฑ์จะเป็นไปตามที่ประเทศนั้นๆ จะกำหนด 3. อำนาจหน้าที่ในการจัดให้มีและรับรองฝ่ายบริหาร รวมทั้งการตรวจสอบ การควบคุม ตลอดจนการถอดถอนฝ่ายบริหารประเทศ 4. สรรหาและรับรองบุคคลมาเป็นนายกรัฐมนตรีโดยให้ประมุขแต่งตั้ง และให้การรับรองโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยาย ซึ่งบุคคลหรือคณะบุคคลที่นายกรัฐมนตรีเสนอชื่อให้ประมุขแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรี 5. ตรวจสอบควบคุมฝ่ายบริหารด้วยตรากฎหมาย หรือไม่ตรากฎหมาย ให้อำนาจตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี เปิดอภิปรายทั่วไปในเรื่องต่างๆ โดยไม่มีการลงมติตั้งคณะกรรมาธิการหรือคณะทำงานเพื่อตรวจสอบหรือติดตามการทำงานของรัฐบาลหรือหน่วยงานต่างๆ ของรัฐ 6. ถอดถอนนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลหรือทั้งคณะโดยการเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ 7. การมีส่วนในการใช้อำนาจบริหาร 8. อำนาจการฟ้องร้องฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการ 9. อำนาจในการกำหนดหน้าที่ในการกำหนดคุณสมบัติของสมาชิกของตน โดยสมาชิกรัฐสภาของแต่ละประเทศจะมีสภาพอย่างไร มีคุณสมบัติประการใดก็แล้วแต่รัฐสภาประเทศนั้นๆ จะกำหนดไว้ 10. อำนาจหน้าที่ในการเลือกเจ้าหน้าที่ของตนเอง เช่นประธานสภาล่าง 11. อำนาจหน้าที่ให้ความเห็นชอบหรือให้สัตยาบันเรื่องสำคัญของประเทศ เช่น การลงนามสนธิสัญญา ประกาศสงคราม 12. อำนาจหน้าที่ในเรื่องการรับฟังสะท้อนความต้องการ และความทุกข์ของประชาชนให้ผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบได้รับทราบเพื่อแก้ไขปัญหาให้ ทั้งนี้ อาจเป็นการรับฟังด้วยวิธีการต่างๆ โดยสมาชิกสภา แต่ละคน โดยกลุ่มสมาชิก โดยพรรคการเมืองที่สังกัด หรืออาจโดยการตั้งคณะกรรมาธิการต่าง คณะทำงาน จัดประชุม เพื่อศึกษาและรับฟังปัญหารวมทั้งเสนอแนะแนวทางแก้ไข 13. อำนาจหน้าที่ในการให้ความรู้ความเข้าใจ หรือให้การศึกษาในเรื่องต่างๆของชาติบ้านเมือง แก่ประชาชนด้วยวิธีการต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ 14. อำนาจหน้าที่อื่น
บรรณานุกรม
โกสินทร์ วงศ์สุรวัฒน์.ความเป็นมาของการปกครองในระบบรัฐสภา และระบบรัฐสภาในประเทศไทย.''พิมพ์ครั้งที่ 2: ห้างหุ้นส่วนจำกัด แพร่พิทยา อินเตอร์เนชั่นแนล,กรุงเทพฯ. 2518.
จรูญ สุภาพ. หลักรัฐศาสตร์ ฉบับพิสดาร แนวทฤษฎีและประยุกต์.'พิมพ์ครั้งที่ 1: บริษัทโรงพิมพ์ ไทยวัฒนาพานิช จำกัด, กรุงเทพฯ. 2518.
จุมพล หนิมพานิช บรรณาธิการ. 2551. หลักพื้นฐานทางรัฐศาสตร์.'พิมพ์ครั้งที่ 6: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2551.
นิยม รัฐอมฤต. การปกครองระบอบประชาธิปไตยในนานาประเทศ.พิมพ์ครั้งที่ 1: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, กรุงเทพฯ. 2553.
วิชัย ตันศิริ. วิวัฒนาการของระบอบประชาธิปไตย.พิมพ์ครั้งที่ 1: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรุงเทพฯ. 2548.
วิสุทธิ์ โพธิแท่น.แนวคิดพื้นฐานของประชาธิปไตย.''พิมพ์ครั้งที่ 1: สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษา, 2550.
หนังสือแนะนำ
สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา. วุฒิสภาไทย: กองการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา,กรุงเทพฯ. 2540.
[1] จุมพล หนิมพานิช บรรณาธิการ. หลักพื้นฐานทางรัฐศาสตร์.'พิมพ์ครั้งที่ 6: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2551, หน้า185.
[2] วิชัย ตันศิริ. วิวัฒนาการของระบอบประชาธิปไตย.พิมพ์ครั้งที่ 1: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรุงเทพฯ. 2548. หน้า53
[3] เรื่องเดียวกัน, หน้า 542-543.
[4] เรื่องเดียวกัน, หน้า 544-545.
[5] เรื่องเดียวกัน, หน้า 545-546.
[6] เรื่องเดียวกัน, หน้า 546.
[7] เรื่องเดียวกัน, หน้า 547.
[8] เรื่องเดียวกัน, หน้า 320-321.
[9] เรื่องเดียวกัน, หน้า 547.
[10] เรื่องเดียวกัน, หน้า 320-322.
[11] เรื่องเดียวกัน, หน้า 323.
[12] เรื่องเดียวกัน, หน้า 548.
[13] นิยม รัฐอมฤต. การปกครองระบอบประชาธิปไตยในนานาประเทศ.พิมพ์ครั้งที่ 1: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, กรุงเทพฯ. 2553. หน้า 24.
[14] วิชัย ตันศิริ. วิวัฒนาการของระบอบประชาธิปไตย.พิมพ์ครั้งที่ 1: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรุงเทพฯ. 2548. หน้า 327.
[15] เรื่องเดียวกัน, หน้า 327-329.
[16] เรื่องเดียวกัน, หน้า 329.
[17] เรื่องเดียวกัน, หน้า 330-332.
[18] เรื่องเดียวกัน, หน้า 332.
[19] นิยม รัฐอมฤต. การปกครองระบอบประชาธิปไตยในนานาประเทศ.พิมพ์ครั้งที่ 1: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, กรุงเทพฯ. 2553. หน้า 25.
[20] วิชัย ตันศิริ. วิวัฒนาการของระบอบประชาธิปไตย.พิมพ์ครั้งที่ 1: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, กรุงเทพฯ. 2548. หน้า 334-335.
[21] โกสินทร์ วงศ์สุรวัฒน์.ความเป็นมาของการปกครองในระบบรัฐสภา และระบบรัฐสภาในประเทศไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2: ห้างหุ้นส่วนจำกัด แพร่พิทยา อินเตอร์เนชั่นแนล,กรุงเทพฯ. 2518. หน้า2-3.
[22] เรื่องเดียวกัน, หน้า4-5.
[23] เรื่องเดียวกัน, หน้า 7-8.
[24] เรื่องเดียวกัน, หน้า 15.
[25] เรื่องเดียวกัน, หน้า 16-17.
[26] เรื่องเดียวกัน, หน้า 25.
[27] จุมพล หนิมพานิช บรรณาธิการ.หลักพื้นฐานทางรัฐศาสตร์', หน้า 188.
[28] เรื่องเดียวกัน, หน้า 188.
[29] จรูญ สุภาพ. หลักรัฐศาสตร์ ฉบับพิสดาร แนวทฤษฎีและประยุกต์.'พิมพ์ครั้งที่ 1: บริษัทโรงพิมพ์ ไทยวัฒนาพานิช จำกัด, กรุงเทพฯ. 2518, หน้า 418.
[30] จุมพล หนิมพานิช บรรณาธิการ. หลักพื้นฐานทางรัฐศาสตร์', หน้า 185.
[31] วิสุทธิ์ โพธิแท่น.แนวคิดพื้นฐานของประชาธิปไตย', หน้า 99.