การประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ผู้เรียบเรียง : นายรังสิทธิ์ วรรณกิจ
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : นายจเร พันธุ์เปรื่อง
การประชุมสภาผู้แทนราษฎรนับแต่วันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๔๗๕ เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลา กว่า ๘๐ ปีแล้ว เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าอำนาจอธิปไตยของฝ่ายนิติบัญญัติเป็นของประชาชนชาวไทยทุกคน โดยมอบให้บุคคล ซึ่งเรียกว่า ผู้แทนราษฎร ผ่านวิธีการเลือกตั้ง เพื่อไปใช้อำนาจในการออกกฎหมายและควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัยและตามเหตุการณ์ของบ้านเมืองในแต่ละช่วงเวลา โดยจะเห็นได้จากว่าการประชุมสภาผู้แทนราษฎรแต่ละยุคแต่ละสมัยนั้นมีประสิทธิภาพหรือมีคุณภาพได้ดีขนาดไหน สามารถศึกษาได้จากรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎรแต่ละยุคซึ่งจะสะท้อนให้เห็นสภาพการใช้อำนาจอธิปไตยที่เรียกว่า อำนาจนิติบัญญัติ ได้เป็นอย่างดี และสามารถศึกษา วิเคราะห์ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประวัติความเป็นมาการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
วันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เวลาย่ำรุ่ง ตรงกับวันศุกร์ แรม ๖ ค่ำ เดือน ๗ ปีวอก จุลศักราช ๑๒๙๔ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปกพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นปีที่ ๘ ในรัชกาลนั้น และนับเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่ ๗ ในพระราชวงศ์จักรี มีคณะบุคคลคณะหนึ่งประกอบด้วยข้าราชการ ฝ่ายทหารบก ทหารเรือ พลเรือนและราษฎร ซึ่งใช้นามว่า “คณะราษฎร” ได้ร่วมทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยโดยมีรัฐธรรมนูญใช้เป็นหลักในการปกครองประเทศ
ในเวลา ๑๖.๐๐ นาฬิกา ได้มีการประชุมระหว่างคณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารกับบรรดาเสนาบดีและปลัดทูลฉลองของทุกกระทรวง ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม โดยหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ได้ชี้แจงถึง ความประสงค์ที่คณะราษฎรได้ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งนี้ สรุปมีใจความสำคัญฯ ดังนี้
๑. คณะราษฎรได้ยึดอำนาจการปกครองประเทศไว้แล้ว
๒. มีผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร เป็นผู้ใช้อำนาจในการปกครองประเทศชั่วคราว
๓. ได้เชิญอภิรัฐมนตรี พระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์และข้าราชการบางท่านมาที่พระที่นั่งอนันตสมาคมเพื่อประกันความปลอดภัยของคณะราษฎร
๔. ได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗) กลับจากพระราชวัง ไกลกังวล หัวหิน มากรุงเทพมหานคร ทูลขอให้เป็นพระมหากษัตริย์
๕. ได้เตรียมสร้างธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรไว้แล้ว จะทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้เป็นหลักการปกครองประเทศต่อไป
๖. ต่อไปจะมีสภาผู้แทนราษฎรขึ้น สมาชิกของสภาจะต้องเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งจากราษฎรแต่ในชั้นต้นจะตั้งจากบุคคลที่ได้ร่วมกิจการเปลี่ยนแปลงการปกครองซึ่งได้รับการศึกษามีความรู้ในระบอบการปกครองนี้บ้างและจะได้เชิญท่านผู้ใหญ่ในราชการและผู้ประกอบอาชีพอื่นที่เป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองมาร่วมเป็นสมาชิกสภาเป็นการชั่วคราวชั่วระยะอันเร็ววัน
ในวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย ในพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พระราชทานให้แก่คณะราษฎรตามที่เสนอ ขอพระราชทานไปถือได้ว่าประเทศสยามได้มีรัฐธรรมนูญการปกครองประเทศเป็นฉบับแรกตั้งแต่วันนั้น
โดยบทบัญญัติแห่งธรรมนูญการปกครองประเทศฉบับนี้กำหนดให้มีรัฐสภาเพียงสภาเดียวเรียกว่า “สภาผู้แทนราษฎร” รัฐบาลไม่มีอำนาจยุบสภา ส่วนสภามีอำนาจมากและนายกรัฐมนตรีต้องเป็นสมาชิก สภาด้วยและต้องให้สภาเป็นผู้เลือกรัฐมนตรีคนอื่น ๆ นั้น เมื่อนายกรัฐมนตรีเลือกแล้วต้องเสนอรายชื่อ ให้สภาอนุมัติก่อน
ต่อมาได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน พระที่นั่งอนันตสมาคม ให้แก่สภาผู้แทนราษฎร เพื่อดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามที่คณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารกราบบังคมทูลขอพระราชทาน
คณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารได้แต่งตั้งผู้แทนราษฎร ชั่วคราวขึ้นมีจำนวน ๗๐ คน ประกอบกันขึ้นเป็นสภาผู้แทนราษฎรชุดแรก
ในวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๔๗๕ เวลา ๑๔.๐๐ นาฬิกา สภาผู้แทนราษฎรที่มีสมาชิกจำนวน ๗๐ คน ได้เริ่มประชุมเป็นครั้งแรก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม โดยใช้ห้องโถงชั้นล่างเป็นที่ประชุม จัดโต๊ะเก้าอี้เป็น รูปครึ่งวงกลมตั้งอยู่ในระดับเดียวกันเป็นการชั่วคราว
การประชุมสภาผู้แทนราษฎรนั้น ใช้ข้อบังคับการประชุมของสภาองคมนตรีไปพลางก่อน
โดยมีผลการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรก ดังนี้ ที่ประชุมได้ลงมติเป็นเอกฉันท์ตั้ง พระยาพหล พลพยุหเสนา เป็นผู้แทนราษฎร แทน พระยาวิชิตชลธี ซึ่งเดิมทีพระยาพหลพลพยุหเสนาไม่ได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่ได้เข้าร่วมประชุมเพื่อจะมากล่าวมอบงานการปกครองประเทศที่ยึดอำนาจไว้ให้แก่สภาผู้แทนราษฎร
จากนั้น ผู้แทนราษฎรได้กล่าวคำปฏิญาณตนต่อที่ประชุม
ในวันเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกนั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระกระแสรับสั่งเปิดประชุม โดยเจ้าพระยามหิธร เสนาบดีกระทรวงมุรธาธร ได้เชิญพระกระแสรับสั่ง มีความว่า
“วันนี้สภาผู้แทนราษฎรได้ประชุมเป็นครั้งแรก นับว่าเป็นการสำคัญอันหนึ่งในประวัติการณ์ของประเทศอันเป็นที่รักของเรา ข้าพเจ้าเชื่อว่าท่านทั้งหลายคงจะตั้งใจรักษาความอิสรภาพของไทยไว้ชั่วฟ้าและดิน ข้าพเจ้าขออำนวยพรแก่บรรดาผู้แทนราษฎรทั้งหลายให้บริบูรณ์ด้วยกำลังกาย กำลังปัญญา เพื่อจะได้ช่วยกันทำการให้สำเร็จตามความประสงค์ของเราและของท่านซึ่งมีจุดมุ่งหมายอันเดียวกันทุกประการเทอญ”
นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎรและผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร ได้กล่าวมอบงานการปกครองแผ่นดินที่คณะราษฎรได้ยึดไว้ให้แก่สภาผู้แทนราษฎรในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้เลือก มหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายพลตรี พระยาอินทรวิชิต เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร
ต่อมาเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ขออนุมัติที่ประชุมให้ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรซึ่งที่ประชุมเห็นชอบและได้เริ่มปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการ สภาผู้แทนราษฎรเป็นคนแรกตั้งแต่บัดนั้น จึงถือว่าสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้ตั้งขึ้นในวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๔๗๕ ด้วย
จากนั้นที่ประชุมได้เลือกประธานคณะกรรมการราษฎร (นายกรัฐมนตรี) และกรรมการราษฎร (รัฐมนตรี) ซึ่งที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้เลือก มหาอำมาตย์โท พระยามโนปกรณ์นิติธาดา เป็นประธานคณะกรรมการราษฎร (นายกรัฐมนตรี) และกรรมการราษฎรอีก ๑๔ นาย (รัฐมนตรี)
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกนี้ ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาและเห็นชอบ การแต่งตั้งกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ โดยหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ได้เสนอต่อที่ประชุมว่าธรรมนูญการปกครองแผ่นดินฉบับนี้เป็นธรรมนูญชั่วคราวเฉพาะ ได้สร้างขึ้นด้วยเวลากะทันหันอาจมีข้อบกพร่องได้จึงควรจะได้ตั้ง ผู้มีความรู้ความชำนาญตรวจแก้ไขเพิ่มเติมเสียใหม่ให้เรียบร้อยบริบูรณ์ มีจำนวน ๗ คน
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่ประชุมสภาตกลงให้มีการประชุมสัปดาห์ละ ๓ ครั้ง คือ วันจันทร์ วันพุธ และวันศุกร์ เริ่มเวลา ๑๖.๐๐ นาฬิกา และที่ประชุมได้ตกลงว่า การประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ถือว่าเป็นการเปิดเผย ใครถามอะไรให้สมาชิกบอกได้ เว้นแต่สภาจะลงมติว่าเป็นการประชุมลับจึงปกปิด
สมาชิกสภาลงนามก่อนเข้าประชุม ในวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๔๗๕ ที่ประชุมตกลงว่า ตามที่ได้มีการขานชื่อสมาชิกก่อนเข้าร่วมประชุมเพื่อทราบจำนวนและรายชื่อก่อนการประชุมทุกครั้งนั้น เห็นว่าเป็นการเสียเวลา จึงได้เปลี่ยนวิธีการใหม่โดยตั้งโต๊ะไว้ชั้นล่าง มีบัญชีให้สมาชิกผู้มาประชุมลงนามไว้เป็นหลักฐานแล้วให้เลขาธิการนับจำนวนผู้มาประชุมตามบัญชีนั้น นำมาแจ้งต่อที่ประชุมให้ทราบก่อนเริ่มประชุมแทนการเรียกชื่อ ซึ่งก็ถือเป็นประเพณีปฏิบัติของฝ่ายนิติบัญญัติมาจนถึงปัจจุบัน
การรับรองรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๔๗๕ ที่ประชุมตกลงว่า ตามที่ได้อ่านรายงานการประชุมสภาโดยละเอียดเสนอต่อที่ประชุมเพื่อให้รับรองทุกคราวไปนั้น เห็นว่าเป็นการเสียเวลา ควรใช้วิธีวางรายงานการประชุมไว้ในบริเวณสภา ณ ที่กำหนดขึ้นเพื่อให้สมาชิกอ่านล่วงหน้าก่อนเข้าประชุมก็เพียงพอ และให้ถือเสมือนหนึ่งว่า เลขาธิการได้อ่านเสนอต่อที่ประชุมแล้ว ซึ่งก็ถือเป็นประเพณีปฏิบัติของฝ่ายนิติบัญญัติมาจนถึงปัจจุบันนี้ โดยรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อจัดพิมพ์เสร็จก็จะนำมาไว้ในห้องสมุดของรัฐสภา ห้องรับรองสมาชิกเพื่อให้สมาชิกได้ตรวจสอบความถูกต้องก่อนที่จะบรรจุระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ที่ประชุมรับรองการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรก เป็นต้นมา การประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้มีพัฒนาการเรื่อยมา จนมาถึงปัจจุบันนี้ มีความเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัย ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เป็นประชาธิปไตยโดยมีรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการปกครองมากยิ่งขึ้น
สาระสำคัญของอำนาจหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร
นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐธรรมนูญฉบับแรกได้วางหลักการให้สภาผู้แทนราษฎร มีอำนาจที่สำคัญๆ ซึ่งในรัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐ ก็ยังคงหลักการดังกล่าวไว้ ดังนี้
๑. อำนาจในการตรากฎหมาย ได้แก่ การตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ การตราพระราชบัญญัติ หรือพระราชกำหนด
๒. อำนาจในการตรวจสอบฝ่ายบริหาร ได้แก่ การอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี การตั้งกระทู้ถาม การเสนอญัตติต่างๆ
นอกจากนี้สภาผู้แทนราษฎรยังมีการตั้งคณะกรรมาธิการสามัญประจำสภาผู้แทนราษฎรเพื่อตรวจสอบ ศึกษาเรื่องใดๆ ที่เป็นอำนาจของสภา โดยถือว่าสภาผู้แทนราษฎรมอบหมายให้ดำเนินการตรวจสอบ ก็เป็นการควบคุมการตรวจสอบฝ่ายบริหารอีกทางหนึ่ง
องค์ประกอบในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรแต่ละครั้ง มีส่วนประกอบที่สำคัญๆ ดังนี้
๑)ประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะเป็นประธานในที่ประชุม สภาผู้แทนราษฎรโดยจะสลับการทำหน้าที่ในที่ประชุม ซึ่งรัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐ กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่าจะต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและไม่ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองในขณะเดียวกัน การปฏิบัติหน้าที่จะต้องวางตัวเป็นกลางในการประชุม มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการประชุมสภาให้มีความเรียบร้อยตามที่รัฐธรรมนูญและข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร กำหนดไว้
โดยการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกภายหลังจากการเลือกตั้งทั่วไปนั้น ครั้งแรกจะมีวาระการประชุมที่สำคัญคือวาระการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อจะได้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ซึ่งจะมีการประชุมสภาในคราวต่อมาภายหลังจากได้ประธานสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ซึ่งโดยปกติประธานสภาผู้แทนราษฎรก็จะมาจากตัวแทนพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมากหรือมีเสียงสนับสนุนข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร เพราะจะต้องประสานกับวิปรัฐบาลและวิปฝ่ายค้านในการดำเนินงานด้านการประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ดำเนินไปโดยเรียบร้อย
ในการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรนั้นสมาชิกแต่ละคนมีสิทธิเสนอชื่อสมาชิกได้หนึ่งชื่อโดยต้อง มีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่า ๒๐ คน ทั้งนี้ ผู้ที่ถูกเสนอชื่อไม่ต้องกล่าวแสดงวิสัยทัศน์ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งต่างจากการเลือกประธานวุฒิสภาซึ่งผู้ที่ถูกเสนอชื่อจะต้องกล่าวแสดงวิสัยทัศน์ต่อที่ประชุมสภาถึงแนวทางการบริหารงานของวุฒิสภา
๒) ผู้เข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี หรือบุคคลอื่นที่ได้รับอนุญาตจากประธานสภาผู้แทนราษฎร
ตามรัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐ กำหนดให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน ๕๐๐ คน นายกรัฐมนตรี ๑ คน และรัฐมนตรีไม่เกิน ๓๕ คน สามารถเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้
ส่วนบุคคลที่ประธานสภาอนุญาต อาจเป็นข้าราชการประจำที่ต้องเสนอผลการดำเนินงานต่อที่ประชุม หรือตัวแทนผู้เสนอร่างกฎหมายในกรณีที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอกฎหมายนั้นที่จะต้องเป็น ผู้เสนอและชี้แจงต่อที่ประชุม
ผู้เข้าร่วมประชุมในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยปกติจะได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองในการปฏิบัติหน้าที่ในที่ประชุมสภา ตามรัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐ มาตรา ๑๓๐
๓) องค์ประชุมสภาผู้แทนราษฎร รัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐ กำหนดให้มีองค์ประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่จึงสามารถเปิดการประชุมสภาได้ แต่ในวาระกระทู้ถามมีจำนวน ไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้า ก็เป็นองค์ประชุมในเรื่องกระทู้ถามได้
การตรวจสอบว่าองค์ประชุมครบแล้วหรือไม่นั้น เดิมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาจากจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาลงลายมือชื่อที่จัดไว้หน้าห้องประชุมสภา ไม่มีการตรวจสอบองค์ประชุมระหว่างการประชุม กล่าวคือ จะถือเอาจำนวนที่มาลงชื่อเข้าประชุมสภาผู้แทนราษฎรโดยจะยึดถือจำนวนที่ลงชื่อครบองค์ประชุมตลอดไปจนกว่าจะปิดประชุมสภา ซึ่งเดิมการประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดแรกภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองก็ยึดถือจำนวนองค์ประชุมจากที่มาลงลายมือชื่อ มิได้มีการขานชื่อทีละคน จนครบ ๗๐ คน
แต่ในปี ๒๕๕๑ ศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีคำวินิจฉัยวางหลักการเกี่ยวกับเรื่ององค์ประชุมของฝ่ายนิติบัญญัติไว้ คือ ในคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๒/๒๕๕๑ เรื่อง ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติขอให้ ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. .... ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๔๑ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๓/๒๕๕๑ เรื่อง ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่..) พ.ศ. ... ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๔๑ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๔/๒๕๕๑ เรื่อง ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ. ... ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๔๑ โดยมีสาระสำคัญว่า เมื่อรัฐธรรมนูญกำหนดองค์ประชุมไว้ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา ย่อมมีความหมายว่า การประชุมสภาผู้แทนราษฎรและการประชุมวุฒิสภาที่มีจำนวนสมาชิกเข้าร่วมประชุมไม่ครบองค์ประชุม จะถือว่าเป็นการใช้อำนาจนิติบัญญัติโดยองค์กรสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาไม่ได้ และหากมีการออกเสียงลงคะแนนในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรและที่ประชุมวุฒิสภาที่ไม่ครบองค์ประชุม จะถือว่าเป็นการออกเสียงลงคะแนนของสมาชิกในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาที่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญไม่ได้
ในปัจจุบันจึงมีการตรวจสอบองค์ประชุมก่อนทุกครั้งที่สภาผู้แทนราษฎรจะลงมติในเรื่องใดๆ หรือในร่างกฎหมายฉบับใด หากตรวจสอบแล้วไม่ครบองค์ประชุม ประธานในที่ประชุมก็จะสั่งเลื่อนการประชุมหรือปิดประชุมในคราวนั้น แล้วนัดประชุมสภาผู้แทนราษฎรคราวต่อไปใหม่ โดยไม่ยึดตามจำนวนที่มาลงชื่อเข้าร่วมประชุมอีกต่อไปแล้ว
๔)เรื่องที่จะประชุม คือระเบียบวาระการประชุม
เรื่องที่จะประชุมจะต้องมีการบรรจุในระเบียบวาระการประชุมสภา ซึ่งเป็นอำนาจของประธานสภาผู้แทนราษฎรที่จะบรรจุเรื่องต่างๆ เข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม โดยจะต้องบรรจุภายใน ๗ วัน นับแต่วันที่ได้รับญัตติ โดยมีการจัดระเบียบวาระการประชุมเป็นลำดับ ดังนี้
(๑)กระทู้ถาม
(๒)เรื่องที่ประธานจะแจ้งต่อที่ประชุม
(๓)รับรองรายงานการประชุม
(๔)เรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว
(๕)เรื่องค้างพิจารณา
(๖)เรื่องที่เสนอใหม่
(๗)เรื่องอื่นๆ
ในการประชุมสภาโดยหลักการก็จะพิจารณาตามลำดับในการประชุมแต่ละครั้ง แต่อย่างไรก็ตามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีสิทธิขอให้เลื่อนการพิจารณาญัตติเรื่องใดๆ ขึ้นมาก่อนได้ เช่น ระเบียบวาระลำดับที่ ๔ เรื่องที่คณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว อาจมีหลายเรื่อง สมาชิกสามารถขอเลื่อนเรื่องที่อยู่ในลำดับใดก็ได้ขึ้นมาพิจารณาก่อน ถ้าที่ประชุมเห็นชอบโดยหากเป็นเรื่องร่างกฎหมายก็จะมีผลบังคับในการประชุมครั้งต่อไป หรือขอเลื่อนเรื่องที่ค้างพิจารณาหรือเรื่องที่เสนอใหม่ขึ้นมาพิจารณาก่อนก็ได้ ซึ่งในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในยุคปัจจุบันก็เกิดขึ้นตลอด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิปรัฐบาลจะขอให้ที่ประชุมสภาพิจารณาก่อนอันเป็นเรื่องที่เป็นนโยบายของรัฐบาลหรือเป็นเรื่องที่มีประชาชนกลุ่มองค์กรมาเรียกร้อง
ดังนั้นก่อนที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร จะบรรจุญัตติใดเข้าระเบียบวาระการประชุม หากเกิดข้อผิดพลาด หรือต้องมีการแก้ไข ผู้เสนอญัตติสามารถแก้ไขได้ โดยถือว่าเป็นอำนาจของผู้เสนอญัตตินั้นๆ ยังมิใช่อำนาจของประธานสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นหลักการสำคัญที่ฝ่ายนิติบัญญัติยึดถือและปฏิบัติสืบต่อกันมา อันถือว่าเป็นประเพณีในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างหนึ่ง
๕)การอภิปรายในที่ประชุม คือการพูดในที่ประชุมสภา โดยการพูด การแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมสภา จะได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ แต่อย่างไรก็ตามผู้เขียนเห็นว่าการพูดในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรจะต้องชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือมิใช่ไปใส่ความผู้อื่นอันผิดกฎหมายอาญาอย่างชัดเจน คงมิใช่เจตนารมณ์ของหลักการของเอกสิทธิ์
การพูดในที่ประชุมสภา มีลำดับก่อนหลัง ดังนี้ ผู้มีสิทธิพูดก่อน คือผู้เสนอญัตติหรือผู้แปรญัตติ และในกรณีที่มีผู้ขอพูดในที่ประชุมหลายคน ประธานในที่ประชุมมีอำนาจที่จะให้คนใดพูดก่อนได้ แต่ต้องคำนึงถึงผู้เสนอญัตติ ผู้แปรญัตติ และผู้ซึ่งยังไม่ได้อภิปรายด้วย
การพูดในที่ประชุมสภา ผู้ที่พูดจะต้องพูดในประเด็นหรือเกี่ยวข้องกับประเด็นที่กำลังอภิปรายกันอยู่ ปัญหามีว่า ใครเป็นผู้กำหนดประเด็นในการพูดแต่ละครั้งนั้น หากจะให้ประธานกำหนดก็คงจะเป็นการลำบากอยู่พอสมควร จึงต้องให้ที่ประชุมเป็นผู้พิจารณาน่าจะเหมาะสมกว่า แต่อย่างไรก็ตามการพูดในที่ประชุมสภาจะต้องไม่ฟุ่มเฟือย วนเวียน ซ้ำซาก หรือซ้ำกับผู้อื่น ซึ่งในหลักการนี้ประธานในที่ประชุมจะต้องจับประเด็นของแต่ละคนให้ได้จึงจะสามารถวินิจฉัยได้ว่าพูดเข้าลักษณะดังกล่าวหรือไม่ และการอ่านเอกสารในที่ประชุมให้ผู้อื่นฟังก็ทำได้เท่าที่จำเป็น และวัตถุใดๆ ที่นำเข้ามาประกอบการพูดในที่ประชุมสภาจะต้องได้รับอนุญาตจากประธานสภาหรือประธานในที่ประชุมก่อนจึงนำเสนอประกอบการพูดได้
การพูดในลักษณะดังต่อไปนี้ ไม่สามารถพูดในที่ประชุมสภาได้ คือ แสดงกริยาหรือใช้วาจาอันไม่สุภาพ ใส่ร้าย หรือเสียดสีบุคคลใด การกล่าวถึงพระมหากษัตริย์ หรือออกชื่อสมาชิกหรือบุคคลใดโดยไม่จำเป็น
การพูดในที่ประชุมสภานั้น หากผู้ใดได้พูดพอแล้วและพอสมควรแล้ว ประธานจะให้ผู้นั้นหยุดพูดก็ได้ กล่าวคือ ผู้พูดจะต้องได้พูดเสียก่อน ประธานจึงจะมีอำนาจวินิจฉัยว่าพูดแล้วและพอสมควรแล้ว เห็นควรหยุดพูดได้ แต่หากผู้นั้นยังไม่ได้พูดเลย ก็จะไม่มีกรณีที่ประธานเห็นว่าพูดพอสมควรแล้วเพราะยังไม่ได้พูด ดังนั้นประธานสภาหรือประธานในที่ประชุมจะต้องให้สิทธิแก่ผู้พูดได้พูดเสียก่อน จึงจะมีอำนาจวินิจฉัยให้เขาหยุดพูดได้ มิใช่เห็นว่าที่ประชุมได้พูดพอสมควรแล้ว
ในขณะที่สมาชิกกำลังพูดอยู่นั้น หากสมาชิกท่านอื่นเห็นว่าผู้ที่พูดอยู่นั้นมีการฝ่าฝืนข้อบังคับ ก็ต้องยืนขึ้นและยกมือขึ้นพ้นศีรษะ ซึ่งในทางสภาเรียกว่า การประท้วง ประธานต้องให้โอกาสผู้ที่ประท้วงนั้นชี้แจง จากนั้นประธานจึงวินิจฉัยซึ่งคำวินิจฉัยของประธานถือเป็นเด็ดขาด ส่วนการพูดถึงเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องอื่นใดอันเป็นที่เสียหายแก่ผู้นั้น เรียกว่า การพูดพาดพิง ประธานก็จะต้องให้ผู้ที่ถูกพาดพิงชี้แจง ดังนั้นหากเห็นว่า มีการกระทำผิดข้อบังคับจะใช้วิธีการที่เรียกว่า การประท้วง ส่วนหากผู้พูดได้พูดถึงเรื่องส่วนตัวของเขาหรือเรื่องอื่นใดอันเป็นที่เสียหายแก่ผู้อื่นนั้นจะเรียกว่า การพูดพาดพิง
การที่พูดในที่ประชุมแล้ว คำพูดบางคำพูดอาจเป็นการฝ่าฝืนหรือผิดข้อบังคับ ผู้พูดอาจถอนคำพูดนั้นเองหรือถอนคำพูดตามที่มีผู้ประท้วงและประธานวินิจฉัยว่าให้ถอนคำพูดนั้นเสียก็ยินยอมตามนั้น ก็ไม่ปรากฏในรายงานการประชุมสภาหรือก็จะมีบันทึกว่ามีการถอนคำพูดแล้ว หากผู้ที่พูดไม่ถอนคำพูดตามที่ประธานวินิจฉัยให้ถอนคำพูด ผู้นั้นออกจากที่ประชุมไป และจะให้บันทึกไว้ในรายงานการประชุมว่า ผู้ที่พูดไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของประธาน ซึ่งก็จะปรากฏกรณีดังกล่าวไปในรายงานการประชุมสภาผู้แทนราษฎรในคราวนั้น
การพูด หรือที่เรียกว่า การอภิปราย เป็นอันยุติในกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังนี้ ไม่มีผู้อภิปราย หรือที่ประชุมลงมติให้ปิดอภิปราย หรือที่ประชุมลงมติให้ยกเรื่องอื่นขึ้นปรึกษา ซึ่งการอภิปรายหรือการพูดเป็นอันยุติลงไป ๓ กรณี ดังกล่าวข้างต้นเท่านั้น เมื่อการพูดยุติลงก็ไม่มีการพูดในเรื่องนั้นๆ หรือประเด็นนั้นๆ ซ้ำอีก ก็ต้องไปพูดเรื่องใหม่หรือประเด็นใหม่หรือหากจะเป็นการลงมติของที่ประชุมจะต้องมีการให้พูดสรุปอีกครั้งหนึ่งก่อนที่จะมีการลงมติ
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร หากประธานในที่ประชุมให้สัญญาณด้วยการเคาะค้อน หรือยืนขึ้น ให้ผู้ที่กำลังพูดหยุดพูดและนั่งลงทันที ซึ่งเป็นอำนาจโดยเด็ดขาดของประธานในที่ประชุม และการพูดในที่ประชุมสภาไม่ว่าประชุมสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภานั้น ผู้พูดจะต้องยืนขึ้นพูด มีบุคคลที่นั่งพูดคือ ประธานในที่ประชุม นอกนั้นต้องยืนพูดต่อที่ประชุมสภา
๖)การลงมติในที่ประชุม คือการลงคะแนนเสียงของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่ละท่าน ซึ่งทุกท่านมีคะแนนเสียงเพียง ๑ เสียง หรือ หนึ่งคะแนนเท่ากัน แต่จะมีพิเศษคือ ประธานในที่ประชุม หากคะแนนเสียงเท่ากัน ประธานในที่ประชุมจะต้องออกเสียงชี้ขาด ไม่มีสิทธิงดออกเสียงแต่อย่างใด จะต้องออกเสียงชี้ขาดในทางใดทางหนึ่ง
การออกเสียงลงคะแนน ก็มี ๒ วิธี คือ โดยเปิดเผย หรือลงคะแนนลับ ซึ่งปกติในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรหากจะต้องมีการลงคะแนนก็จะใช้วิธีการลงคะแนนเสียงโดยเปิดเผยโดยวิธีการใช้บัตรลงคะแนนเสียง แต่ถ้าเป็นกรณีที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นการลงคะแนนลับหรือมีสมาชิกเสนอญัตติให้ลงคะแนนลับ โดยมีผู้รับรองไม่น้อยกว่า ๒๐ คน ก็ให้ลงคะแนนลับ ทั้งนี้ หากกรณีมีการเสนอลงคะแนนลับ แต่มีผู้คัดค้านและมีผู้รับรองไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๓ ของสมาชิกในที่ประชุม ให้ถือเป็นเอกสิทธิ์ที่จะลงคะแนนโดยเปิดเผย
การลงคะแนนเสียงจะกระทำแทนกันมิได้ เพราะถือเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของสมาชิกแต่ละท่านในการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้แทนของพี่น้องประชาชน เพื่อใช้อำนาจนิติบัญญัติที่ได้รับมอบมาจากประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย จะมอบหมายต่อหรือใช้ให้บุคคลใดลงคะแนนเสียงแทนไม่ได้ หากมีกรณีดังกล่าวผู้เขียนเห็นว่าเป็นการผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญและผิดศีลธรรมอันดีของประชาชนอย่างร้ายแรง
๗)การประกาศผลการลงมติของที่ประชุม คือ เมื่อมีการลงมติในเรื่องใดหรือประเด็นใดแล้ว ประธานในที่ประชุมก็จะประกาศผลการลงมติว่ามีองค์ประชุมเท่าใด มีผู้เข้าร่วมประชุมเท่าใด เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยเท่าใด งดออกเสียงหรือไม่ลงคะแนนเสียงเท่าใด และสุดท้ายก็จะประกาศเป็นมติของที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในเรื่องนั้นๆ หรือในประเด็นนั้นว่าอย่างไร และคะแนนเสียงเป็นตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด หากเป็นกรณีที่กำหนดคะแนนเสียงเอาไว้
ประชาชนสามารถเข้าไปตรวจสอบบันทึกการออกเสียงลงคะแนนของสมาชิกแต่ละคนได้ เว้นแต่เป็นการลงคะแนนลับ
๘)เครื่องมือที่ใช้ควบคุมการประชุม คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.๒๕๕๑ โดยรัฐธรรมนูญจะกำหนดอำนาจหน้าที่ของ สภาผู้แทนราษฎรไว้ ส่วนข้อบังคับการประชุมสภาจะเป็นรายละเอียดและขั้นตอนที่ขยายออกมาจากรัฐธรรมนูญถึงแนวทางที่จะต้องปฏิบัติตามในเรื่องต่างๆ ดังนี้ การเลือกประธานสภาและรองประธานสภา อำนาจหน้าที่ของประธานสภาและรองประธานสภา และหน้าที่ของเลขาธิการ การประชุม กรรมาธิการ การเสนอและการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ หรือร่างพระราชบัญญัติ กระทู้ถาม การพิจารณาให้ความเห็นชอบนายกรัฐมนตรี การอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ การรักษาระเบียบและความเรียบร้อย เป็นต้น ซึ่งที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรจะต้องยึดถือและดำเนินการตามที่รัฐธรรมนูญ และข้อบังคับการประชุมกำหนดไว้อย่างเคร่งครัด เพื่อความถูกต้องและชอบธรรมในการใช้อำนาจนิติบัญญัติแทนพี่น้องประชาชน
๙)ฝ่ายเลขานุการในที่ประชุม คือข้าราชการประจำมีเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เจ้าหน้าที่สำนักการประชุม เป็นต้น ซึ่งมีหน้าที่ในทางธุรการเกี่ยวกับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ไม่ว่าจะเป็นเอกสารที่จะใช้ในห้องประชุม หรือเครื่องเสียง บัตรลงคะแนนสำรอง หรือบัตรแสดงตนสำรองของสมาชิกต้องมีความพร้อมทั้งด้านการประสานงานกับคณะรัฐมนตรี คณะกรรมาธิการและบุคคลที่จะมาชี้แจงต่อที่ประชุมสภา เป็นต้น
๑๐)การจัดทำรายงานการประชุม คือ การรวบรวมคำพูดหรือคำอภิปรายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้เป็นรูปเล่มมีระเบียบเรียบร้อยซึ่งจะมี ๒ ลักษณะ คือ แบบการจดบันทึกโดยย่อ เรียกว่า “บันทึกการประชุม” กับ แบบจดรายละเอียดทุกคำพูดของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เรียกว่า “รายงานการประชุมสภา"
โดยมีฝ่ายเลขานุการตามข้อ ๙ เป็นผู้จัดทำรายงานการประชุมสภา คือ สำนักรายงานการประชุมและชวเลข สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จะมีเจ้าหน้าที่ที่เรียกว่า เจ้าพนักงานชวเลข ซึ่งเป็นข้าราชการประเภทหนึ่งของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้มีหน้าที่จดบันทึกและจัดทำรายงานการประชุมสภาเสนอต่อคณะกรรมาธิการตรวจรายงานการประชุม ซึ่งเป็นกรรมาธิการสามัญประจำสภาผู้แทนราษฎร เพื่อทำหน้าที่ช่วยสภาผู้แทนราษฎรตรวจทานรายงานการประชุมของสภา ก่อนที่จะเสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ให้รับรองรายงานการประชุมสภา
บันทึกการประชุมสภา ซึ่งจะเป็นการจดแบบย่อสรุปสาระสำคัญว่าในการประชุมครั้งนั้นๆ สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเรื่องใดบ้าง ผลการประชุมเป็นอย่าง จากนั้นจะส่งไปยังหน่วยงานภายนอก เช่น ราชเลขาธิการ เลขาธิการวุฒิสภา เลขาธิการคณะรัฐมนตรี และอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เพื่อดำเนินการตามหน้าที่หรือเพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนทราบ
รายงานการประชุมสภา ซึ่งจะเป็นการจดแบบจดทุกคำพูดของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะมีผลสามารถใช้อ้างอิงได้ก็ต่อเมื่อสภาผู้แทนราษฎรรับรองรายงานการประชุมสภาแล้ว
สถานที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ภายหลังจากที่มีการยึดอำนาจการปกครองประเทศได้แล้ว คณะผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานพระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นสถานที่ใช้ประชุมสภาผู้แทนราษฎร พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานตามที่กราบบังคมทูลขอไป
โดยพระที่นั่งอนันตสมาคมได้ใช้เป็นสถานที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกตั้งแต่วันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๔๗๕ จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๔ มีการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ขึ้นทางทิศเหนือของพระที่นั่งอนันตสมาคม โดยใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ ๔ ปี จึงมาแล้วเสร็จในปี ๒๕๑๗
ในปี ๒๕๑๗ จึงได้มีการย้ายการประชุมสภาผู้แทนราษฎรมายังอาคารรัฐสภาใหม่ บริเวณถนนอู่ทองใน และได้ใช้เป็นสถานที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ตั้งแต่นั้นมาจึงถึงปัจจุบัน โดยอาคารรัฐสภาใหม่นี้ มีห้องประชุมเพียงห้องเดียวจึงต้องมีการสลับกันประชุมระหว่างสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
แต่ในปัจจุบันนี้ สถานที่อาคารรัฐสภา ถนนอู่ทองใน คับแคบ ทำให้มีการริเริ่มดำเนินการหาสถานที่ก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ จนที่สุดก็ได้ที่ดินบริเวณพื้นที่ราชพัสดุถนนทหาร (เกียกกาย) และขณะนี้ได้มีการดำเนินการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่แล้ว โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี ๒๕๕๙ – ๒๕๖๐ นี้ เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จก็ต้องย้ายสถานที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรไปยังอาคารรัฐสภาแห่งใหม่บริเวณพื้นที่ทหารเกียกกายริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยจะมีห้องประชุมแบ่งเป็น ๒ ห้อง คือ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร และห้องประชุมวุฒิสภา แยกจากกันเป็นสัดส่วนเพื่อสะดวกในการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ ดังนั้น จึงนับเป็นสถานที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรแห่งที่ ๓ นับแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
แต่อย่างไรก็ตาม พระที่นั่งอนันตสมาคม ก็ยังมีความสำคัญต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย คือเป็นสถานที่ประกอบพิธีเปิดประชุมรัฐสภาครั้งแรกภายหลังจากมีการเลือกตั้งทั่วไป โดยพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดประชุมรัฐสภาหรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผู้แทนพระองค์เสด็จมาทรงกระทำพิธีเปิดประชุมรัฐสภาแทนพระองค์ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม มาจนถึงปัจจุบันนี้
ความสำคัญของการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ความสำคัญของการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สามารถสรุปเป็นหลักการสำคัญๆ ได้ดังนี้
- เป็นบ่อเกิดแห่งการออกกฎหมาย เพื่อมาบังคับใช้โดยทั่วไป
- เป็นบ่อเกิดแห่งการมีประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อจะเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี
- เป็นบ่อเกิดแห่งการมีผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร โดยมีประธานสภาผู้แทนราษฎรลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ
- เป็นบ่อเกิดแห่งอำนาจฝ่ายบริหาร คือ นายกรัฐมนตรี เพื่อไปจัดตั้งคณะรัฐมนตรีในการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งจะต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎร
- เป็นบ่อเกิดแห่งการเริ่มต้นของการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะต้องปฏิญาณตนในที่ประชุม จึงถือเป็นวันเริ่มปฏิบัติหน้าที่ซึ่งจะเกี่ยวโยงกับการยื่นบัญชีแสดงหนี้สินและทรัพย์สินของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา จะใช้คำว่า “ปฏิญาณตนในที่ประชุมแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิก...” ส่วนคณะรัฐมนตรี ผู้พิพากษาหรือตุลาการ จะใช้คำว่า “ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์...”
- เป็นบ่อเกิดแห่งวันเริ่มต้นสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ เพราะที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้กำหนด
- เป็นบ่อเกิดแห่งกระบวนการตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติ เพราะการพิจารณาต้องเริ่มต้นที่สภาผู้แทนราษฎรก่อน
- เป็นบ่อเกิดแห่งการพิจารณาและลงมติยืนยันร่างกฎหมายที่มีการยับยั้งหรืออนุมัติยืนยันพระราชกำหนดตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด
- เป็นบ่อเกิดแห่งการมีเอกสิทธิ์คุ้มครองในการปฏิบัติหน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ลักษณะการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นการประชุมโดยเปิดเผย เว้นแต่คณะรัฐมนตรี หรือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน ๑ ใน ๔ ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภา ร้องขอให้ประชุมลับ ก็ให้ประชุมลับ
ส่วนการกำหนดวันเวลาที่จะประชุมสภาผู้แทนราษฎรนั้น โดยปกติก็จะตกลงกันว่าจะประชุมสัปดาห์ละ ๒ วัน คือพุธ และพฤหัสบดี ส่วนจะเริ่มประชุมในเวลาใดนั้นก็จะเป็นการคุยกันระหว่างวิปทั้งสองฝ่ายแล้วนำเสนอที่ประชุมให้ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรรับทราบ
เหตุผลที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันพุธและวันพฤหัสบดีของสัปดาห์นั้น เนื่องจากในวันจันทร์และวันศุกร์เป็นวันประชุมวุฒิสภา เพราะในปัจจุบันห้องประชุมมีเพียงห้องเดียว แต่ในอนาคตหากการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่แล้วเสร็จก็คงต้องพิจารณากรอบกันอีกครั้งหนึ่งเพราะมีการแบ่งห้องประชุม ๒ ห้องแยกจากกันเป็นสัดส่วน ส่วนวันอังคารเป็นวันประชุมคณะรัฐมนตรี
เวลาที่เริ่มประชุมสภาผู้แทนราษฎรนั้น เมื่อคราวภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองมีสภาผู้แทนราษฎรชุดแรกนั้น การประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดแรก จะเริ่มประชุมสภาในช่วงเย็น คือประมาณ ๑๖.๐๐ นาฬิกา เป็นต้นไป ซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากรายงานการประชุมสภา ซึ่งจะมีการเขียนไว้ว่าเปิดประชุมเวลาเท่าใด เลิกประชุมเวลาเท่าใด
เวลาที่เริ่มประชุมสภาผู้แทนราษฎรนั้น ปกติวันพุธจะเริ่มเวลา ๑๓.๐๐ นาฬิกา เป็นต้นไป ส่วนวันพฤหัสบดีจะเริ่มประชุมในเวลา ๑๐.๐๐ นาฬิกาเป็นต้นไป ดังเช่นการประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ ๒๔ ซึ่งยุบสภาผู้แทนราษฎรไปเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๖ เป็นต้น
การที่สภาผู้แทนราษฎรจะมีการประชุมกันได้มิใช่ว่าในปีหนึ่งจะมีการประชุมทุกเดือน จะมีช่วงเวลาที่สภาผู้แทนราษฎรสามารถประชุมได้ เรียกว่า สมัยประชุม ระยะเวลา ๑๒๐ วัน แบ่งออกเป็น ๒ สมัย คือ สมัยสามัญทั่วไป กับสมัยสามัญนิติบัญญัติ และหากมีเรื่องสำคัญจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งรัฐก็สามารถขอเปิดสมัยวิสามัญได้
- สมัยสามัญทั่วไป สภาผู้แทนราษฎรสามารถจะประชุมพิจารณาเรื่องอะไรก็ได้ภายในกรอบอำนาจหน้าที่สภาผู้แทนราษฎร
- สมัยสามัญนิติบัญญัติ สภาผู้แทนราษฎรจะประชุมพิจารณาได้เฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับหมวดของพระมหากษัตริย์หรือพิจารณาร่างกฎหมาย การอนุมัติพระราชกำหนด การตั้งกระทู้ถามเท่านั้น หากจะพิจารณานอกเหนือจากนี้จะต้องได้รับอนุญาตจากที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา คือสภาผู้แทนราษฎรร่วมกับวุฒิสภา
ข้อสังเกตเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำว่า “ผู้แทนราษฎร” กับ “ผู้แทน”
ในรัฐธรรมนูญฉบับแรกใช้คำว่า “สภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” มาจนถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๘๙ ใช้คำว่า “สภาผู้แทนและสมาชิกสภาผู้แทน” เรื่อยมาจนถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๗๕ แก้ไขเพิ่มเติมพุทธศักราช ๒๔๙๕ ก็กลับมาใช้คำว่า สภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มาจนถึงธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๑ ก็กลับมาใช้คำว่า “สภาผู้แทน” อีกครั้งจนมาถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๗ ก็กลับมาใช้คำว่า “สภาผู้แทนราษฎร” และใช้มาจนถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ นี้ เนื่องจากเหตุการณ์หรือสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลาของการเมืองไทยมีความแตกต่างกันจึงอาจต้องใช้ถ้อยคำที่แตกต่างกัน ดังนั้นจะต้องศึกษาดูจากประวัติศาสตร์เหตุการณ์ทาง การเมืองไทยในแต่ยุคแต่ละสมัย
ส่วนในอนาคตผู้เขียนเห็นว่าควรจะต้องคงไว้ซึ่งคำว่า “สภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” นั่นคือคงหลักการที่สำคัญไว้ว่าจะต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชนนั่นเอง
บทสรุป
การประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นการใช้อำนาจอธิปไตยที่ได้รับมอบมาจากประชาชนเพื่อให้มาออกกฎหมายและควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหารจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะต้องมีความพร้อมเพรียงกันเข้าร่วมประชุมเพื่อทำหน้าที่แทนพี่น้องประชาชนในการพิจารณาออกกฎหมายและควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหาร เพื่อจะได้พัฒนาให้เป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะการประชุมสภาผู้แทนราษฎรนั้น เป็นบ่อเกิดของกฎหมายที่จะมาใช้บังคับเป็นการทั่วไปกับทั้งเป็นบ่อเกิดแห่งอำนาจบริหาร คือนายกรัฐมนตรี หากไม่มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรภายหลัง การเลือกตั้งทั่วไปแล้วจะไม่มีองค์ประกอบในการที่จะเสนอนายกรัฐมนตรีได้เลย ฝ่ายบริหารก็จะเกิดขึ้นไม่ได้ และถึงแม้มีการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว เมื่อไม่มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็จะ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เพราะต้องปฏิญาณตนในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรก่อน จึงจะเริ่มต้นใช้อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติได้บริบูรณ์
บรรณานุกรม
๑. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
๒. ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๑
๓. นายประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์ อดีตเลขาธิการรัฐสภา. รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี (๒๔๗๕-๒๕๑๗), กรุงเทพมหานคร : ห้างหุ้นส่วนจำกัด ช.ชุมนุมช่าง, กรกฎาคม ๒๕๑๗.
๔. สำนักกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา. ประมวลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับวงงานรัฐสภา (ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐), พิมพ์ครั้งที่ ๑. กรุงเทพมหานคร : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา, ปี ๒๕๕๒.
๕. สำนักกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รวมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (๒๔๗๕ – ๒๕๔๙). พิมพ์ครั้งที่ ๑, กรุงเทพมหานคร : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. ๒๕๔๙.
๖. วัชรพร ยอดมิ่ง. บทความเรื่องการประชุมสภา, (ออนไลน์). เข้าถึงได้จาก http://www.kpi.ac.th/wiki/index.php สถาบันพระปกเกล้า. (เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๗)