26 มกราคม พ.ศ. 2518

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 09:55, 18 ธันวาคม 2555 โดย Apirom (คุย | ส่วนร่วม) (หน้าที่ถูกสร้างด้วย ''''ผู้เรียบเรียง''' ศ.นรนิต เศรษฐบุตร ---- '''ผู้ทรงคุณวุ...')
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง ศ.นรนิต เศรษฐบุตร


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2518 เป็นวันที่มีการเลือกตั้งทั่วไป ครั้งที่ 10 ของไทย และเป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 รัฐธรรมนูญฉบับนี้ร่างขึ้นหลังล้มรัฐบาลทหารของจอมพล ถนอม กิตติขจร

รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 ต้องการสร้างความเข้มแข็งให้แก่พรรคการเมืองและรัฐสภามากขึ้น จึงได้มีบทบัญญัติที่ถือว่าใหม่มากเกี่ยวกับการสังกัดพรรคการเมืองอยู่ด้วย เช่นมีบทบัญญัติเป็นครั้งแรกให้ผู้สมัครลงเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องสังกัดพรรคการเมือง ดังปรากฏในมาตรา 177 ว่าผู้มีสิทธิสมัครต้องมีคุณสมบัติ

“เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่พรรคเดียว”

ยิ่งไปกว่านั้นในมาตราเดียวกันนี้ ยังกำหนดอีกว่าผู้จะเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องชนะการเลือกตั้งเป็นผู้แทนราษฎร โดยบัญญัติว่า

“นายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร...”

การเลือกตั้งทั่วไปครั้งนี้มีพรรคการเมืองส่งผู้สมัครที่เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองเข้าแข่งขันชิงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้สภาผู้แทนราษฎรที่มีอยู่ทั้งหมด 269 ที่นั่งกันเป็นจำนวนมาก และหลายพรรคการเมือง การหาเสียงในตอนนั้นก็ถือว่าทำกันได้อย่างเสรีมาก รัฐบาลไม่ได้ลงแข่งขันด้วยและพรรคการเมืองก็มีทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยม ไปจนถึงฝ่ายสังคมนิยม

ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่มีพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งได้เสียเกินกว่าครึ่ง ปรากฏว่าพรรคการเมืองสิบพรรคแรกได้คะแนนเสียงเรียงกันตามลำดับดังนี้ 1. พรรคประชาธิปัตย์ 72 เสียง

2. พรรคธรรมสังคม 45 เสียง

3. พรรคชาติไทย 28 เสียง

4. พรรคเกษตรสังคม 19 เสียง

5. พรรคกิจสังคม 18 เสียง

6. พรรคสังคมชาตินิยม 16 เสียง

7. พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย 15 เสียง

8. พรรคพลังใหม่ 12 เสียง

9. พรรคแนวร่วมสังคมนิยม 10 เสียง

10. พรรคสันติชน 8 เสียง

พรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนเสียงเป็นอันดับหนึ่งจึงเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย จึงอยู่ได้เพียงถึงวันลงมติไว้วางใจ และรัฐบาลไม่ได้รับมติไว้วางใจจึงต้องออกไปให้มีการการจัดตั้งรัฐบาลใหม่