ตาลปัตรพัดรองที่ระลึกงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ 7

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว


ลักษณะ

ผ้าปักไหม

36.3 X 94.5 เซนติเมตร

เป็นพัดหน้านาง พื้นเขียว ทำด้วยผ้าแพร ใจกลางพัดปักไหมเป็นภาพพระราชลัญจกรในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เป็นรูปพระแสงศร 3 องค์ ประกอบด้วยพระแสงศรพรหมาสตร์ พระแสงศรประลัยวาต และพระแสงศรอัคนีวาต อันเป็นราชศาตราวุธของพระราม ซึ่งเป็นอวตารปางหนึ่งของพระนารายณ์ รอบขอบพัดปักอักษรข้อความ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว บรมราชาภิเษก ๒๔๖๘ นมพัดทำด้วยทองเหลืองรูปกลีบบัว ด้ามไม้ คอ และส้นพัดเป็นทองเหลือง

ประวัติความเป็นมา

ตาลปัตรพัดรองบรมราชาภิเษกเล่มนี้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงออกแบบและสร้างขึ้นจำนวน 80 เล่ม เพื่อเป็นที่ระลึกในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2468 และถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ที่นิมนต์เข้ามาร่วมในพระราชพิธีจำนวน 80 รูป [1]

“ตาลปัตร” หมายถึง พัดที่ทำด้วยใบตาล คำว่า “พัด” เป็นคำนาม หมายถึง เครื่องโบกหรือกระพือลม ภาษาบาลีเรียกว่า “วิชนี” ภาษาไทยอาจแปลงเป็น “พัชนี” และต่อมาคงเรียกให้สั้นลงเหลือเพียง “พัช” โดยออกเสียงว่า “พัด” ซึ่งคำนี้คงมีการเรียกกันจนลืมต้นศัพท์ไป

สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจนถึงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระสงฆ์ไทยนิยมถือพัดวิชนีที่มีลักษณะรูปรีงองุ้มคล้ายจวักและใช้ถือแทนตาลปัตร พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่โปรดรูปลักษณะของพัดแบบนี้ว่ารูปร่างไม่เป็นมงคล คล้ายจวักที่ใช้ตักแกง จึงทรงคิดดัดแปลงตาลปัตรให้มีรูปกลมมนคล้ายพัดใบตาล แต่ทำโครงขึ้นด้วยไม้ แล้วใช้ผ้าแพรอย่างดีคลุมทั้งสองด้าน ขลิบด้วยผ้าโหมด โปรดให้ใช้แทนตาลปัตรรูปงอแบบเดิม เรียกว่า “พัดรอง” [2]

ในเวลาต่อมา “พัดรอง” เริ่มมีวิวัฒนาการมากขึ้น จากแบบที่เรียบง่ายแต่เดิม ได้มีการตกแต่งลายบนผ้าให้งามวิจิตรขึ้น จากหลักฐานพบว่าพัดรองที่เป็นงานปักอย่างสวยงาม มีขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพัดรองของหลวงสั่งมาจากเมืองจีน ลายเป็นอักษร “จ” 3 ตัว อยู่ใต้พระเกี้ยวยอด พระราชทานในงานขึ้นพระที่นั่งวโรภาสพิมาน พระราชวังบางปะอิน แต่หาตัวอย่างไม่ได้สูญหายไปหมดแล้ว พัดรองต่อมาคือ พัดเอราวัณ ซึ่งพระราชทานในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อปีระกา พ.ศ. 2416 ก็สั่งมาจากเมืองจีนเหมือนกัน [3]

ต่อมาใน พ.ศ. 2426 การทำพัดรองเริ่มเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย ส่วนมากมักเป็นการปักดิ้น ปักเลื่อม และมีการตกแต่งด้วยวิธีการต่างๆ ตามความนิยม มีทั้งปักหรือใช้ผ้าทอพิมพ์ลายหรือบุผ้า เป็นต้น นอกจากจะนิยมทำพัดรองในงานมงคล อาทิ งานเฉลิมฉลองพระชนมายุ งานขึ้นพระตำหนักและงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว ยังมีในงานอวมงคลด้วย ได้แก่ งานพระเมรุ เป็นต้น

อ้างอิง

  1. สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ, ร.7 ศ. 15/4 พระราชพิธีบรมราชาภิเษก 2468.
  2. ณัฎฐภัทร จันทวิช, ตาลปัตรพัดยศ ศิลปบนศาสนวัตถุ, (กรุงเทพฯ : ริเวอร์บุ๊ค, 2538), หน้า 127.
  3. 5 กรมศิลปากร, ตาลปัตร ฝีพระหัตถ์สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์, (กรุงเทพฯ :รุ่งศิลป์การพิมพ์,2530), หน้า 77.