สมัยประชุม

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 16:14, 18 กันยายน 2552 โดย Panu (คุย | ส่วนร่วม) (สร้างหน้าใหม่: '''ผู้เรียบเรียง''' นิพัทธ์ สระฉันทพงษ์ '''ผู้ทรงคุณวุฒิประจ...)
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง นิพัทธ์ สระฉันทพงษ์

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จเร พันธุ์เปรื่อง


เมื่อมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นการเลือกตั้งทั่วไปแล้วสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะมานั่งประชุมกันทันทีมิได้ จะต้องรอจนกว่าจะมีการเรียกประชุมสภาก่อน ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๒๗ กำหนดให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรกภายในสามสิบวันนับแต่วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร[๑] โดยพระมหากษัตริย์ทรงเรียกประชุมรัฐสภา ทรงเปิดและทรงปิดประชุม โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา[๒] ซึ่งในทางปฏิบัติคณะรัฐมนตรีซึ่งรักษาการอยู่จะเป็นผู้ดำเนินการจัดทำร่างพระราชกฤษฎีกากราบบังคมทูลขึ้นไปเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย[๓] เรียก ประชุมรัฐสภา

การประชุมสภา

การประชุมสภามีลักษณะพิเศษแตกต่างจากการประชุมโดยทั่วไป นับแต่ลักษณะการประชุม ผู้เข้าร่วมประชุม หัวข้อเรื่องที่ประชุม การอภิปราย และการลงมติในเรื่องที่ประชุม การประชุมสภาจะแบ่งตามประเภทของสมาชิกรัฐสภา ในกรณีที่รัฐสภาประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา การประชุมจะแบ่งเป็นการประชุมสภาผู้แทนราษฎร การประชุมวุฒิสภา และการประชุมร่วมกันของรัฐสภา โดยปกติการประชุมสภาจะต้องกระทำโดยเปิดเผยให้บุคคลภายนอกเข้าฟังการประชุมได้ตามระเบียบที่ประธานกำหนด และประธานสภาต้องจัดให้มีการถ่ายทอดสดการประชุมทางวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ที่ประชาชนทั่วไปสามารถรับได้อย่างทั่วถึง เว้นแต่มีเหตุขัดข้องให้แจ้งที่ประชุมทราบ หรือเว้นแต่จะมีความจำเป็น[๔] โดยคณะรัฐมนตรีหรือสมาชิกของแต่ละสภาหรือทั้งสองสภารวมกันมีจำนวนไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๔ ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา หรือของจำนวนสมาชิกของทั้งสองสภาเท่าที่มีอยู่รวมกัน แล้วแต่กรณี ร้องขอให้ประชุมลับก็ให้ประชุมลับ[๕] หลังจากนัดประชุมเรียบร้อยแล้ว สภาจะต้องดำเนินการประชุมตามระเบียบวาระที่กำหนดไว้ และในการดำเนินการประชุมไม่ว่าจะเป็นการประชุมสภาผู้แทนราษฎร การประชุมวุฒิสภา หรือการประชุมร่วมกันของรัฐสภา จะต้องกระทำในระหว่างสมัยประชุมเท่านั้น สภามิได้ทำงานกันตลอดเวลาหรือตลอดทั้งปี หากแต่ทำงานกันเป็นสมัย ๆ เรียกว่า สมัยประชุม[๖]

สมัยประชุม หมายถึง กำหนดเวลาในรอบหนึ่งปีที่ให้รัฐสภาทำการประชุมพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ทางด้านนิติบัญญัติ สมัยประชุม มี ๒ ประเภท[๗] ได้แก่

๑. สมัยประชุมสามัญของรัฐสภา ในปีหนึ่ง ๆ ให้มีสมัยประชุมสามัญของรัฐสภา ๒ สมัย

๑.๑ สมัยประชุมสามัญทั่วไป เป็นสมัยประชุมที่มีขึ้นภายหลังการเลือกตั้งทั่วไป โดยจะถือวันประชุมครั้งแรกที่มีการเรียกประชุมรัฐสภาเป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญทั่วไป โดยพระมหากษัตริย์จะเสด็จพระราชดำเนินมาทรงทำรัฐพิธีเปิดประชุมสมัยประชุมสามัญทั่วไปครั้งแรกด้วยพระองค์เอง หรือจะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระรัชทายาทซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว หรือผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้แทนพระองค์มาทำรัฐพิธีก็ได้ ซึ่งสมัยประชุมนี้รัฐสภาจะพิจารณาเรื่องใด ๆ ก็ได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเสนอญัตติหรือการเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี เหตุที่ต้องให้สมัยประชุมสามัญทั่วไปเป็นสมัยประชุมแรกหลังการเลือกตั้ง ก็เนื่องจากเหตุผลดังนี้

เหตุผลประการที่หนึ่ง คือ รัฐธรรมนูญต้องการให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้กำหนดวันเริ่มสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ จึงมีความจำเป็นต้องให้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ให้มีการเลือกประธานสภาและรองประธานสภาให้เรียบร้อยเสียก่อน ต่อจากนั้นจึงจะพิจารณาวันเริ่มสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ

เหตุผลประการที่สอง คือ รัฐธรรมนูญต้องการให้สมัยประชุมแรกหลังการเลือกตั้ง เป็นสมัยประชุมที่สามารถพิจารณาและดำเนินการได้ทุกเรื่องโดยไม่มีข้อจำกัด อย่างไรก็ดีในขณะที่การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญจะต้องดำเนินการในระหว่างสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ แต่ก็สามารถกระทำในระหว่างสมัยประชุมสามัญทั่วไปได้ด้วย

สรุปเพื่อให้เข้าใจง่ายๆ คือ ในสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ รัฐสภาสามารถดำเนินการได้เฉพาะบางเรื่องที่เป็นเรื่องหลักๆ ขณะที่รัฐสภาสามารถดำเนินการได้ทุกเรื่องในสมัยประชุมสามัญทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องการขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีนั้น จะกระทำได้แต่เฉพาะในสมัยประชุมสามัญทั่วไปเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า ในปีหนึ่งจะมีการเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจได้เพียงครั้งเดียว ไม่ใช่เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจทุกสมัยประชุมเหมือนกับรัฐธรรมนูญในฉบับก่อนๆ[๘]

๑.๒ สมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ ในสมัยประชุมนี้ รัฐสภาจะดำเนินการประชุมได้เฉพาะกรณีที่บัญญัติไว้ในหมวด ๒พระมหากษัตริย์หรือการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัติ การอนุมัติพระราชกำหนด การให้ความเห็นชอบในการประกาศสงคราม การรับฟังคำชี้แจงและการให้ความเห็นชอบหนังสือสัญญา การเลือกหรือการให้ความเห็นชอบให้บุคคลดำรงตำแหน่ง การถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง การตั้งกระทู้ถาม และการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ รวมทั้งไม่ให้มีการเสนอญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ การที่กำหนดห้ามไว้เช่นนี้ ก็เนื่องจากไม่ประสงค์จะให้มีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจกันทุกสมัยประชุม หรือมีการพิจารณาญัตติต่าง ๆ จนไม่มีเวลาพิจารณาร่างกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ข้อห้ามดังกล่าว มิได้ห้ามไว้อย่างเด็ดขาด หากมีความจำเป็น รัฐสภาจะมีมติให้พิจารณาเรื่องอื่นใดด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา[๙] ให้พิจารณาเรื่องอื่นใดก็ได้

วันเริ่มสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้กำหนด ในกรณีที่การเริ่มประชุมครั้งแรกมีเวลาจนถึงสิ้นปีปฏิทินไม่ถึง ๑๕๐ วัน จะไม่มีการประชุมสามัญนิติบัญญัติสำหรับปีนั้นก็ได้ สมัยประชุมสามัญนิติบัญญัตินี้ มีเจตนารมณ์เพื่อเป็นสมัยประชุมที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและคณะรัฐมนตรีสามารถทุ่มเทและอุทิศเวลาให้กับการทำงานด้านนิติบัญญัติ โดยไม่ต้องมัวกังวลหรือถูกแรงกดดันจากปัจจัยหรือประเด็นทางการเมืองมากเกินไป[๑๐]

สำหรับกำหนดเวลาในสมัยประชุมสามัญของรัฐสภาสมัยหนึ่ง ๆ มีกำหนดเวลา ๑๒๐ วัน แต่พระมหากษัตริย์จะโปรดเกล้าฯ ให้ขยายเวลาออกไปก็ได้ ส่วนการปิดสมัยประชุมสามัญก่อนครบกำหนดเวลา ๑๒๐ วัน จะกระทำได้ก็แต่โดยความเห็นชอบของรัฐสภา ซึ่งกระทำโดยพระราชกฤษฎีกา[๑๑]

๒. สมัยประชุมวิสามัญ หมายถึง การเปิดประชุมนอกสมัยประชุมสามัญของรัฐสภา การเปิดสมัยประชุมวิสามัญนี้ เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ที่จะทรงเรียกให้มีขึ้น โดยคณะรัฐมนตรีจะนำความกราบบังคมทูลและตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ซึ่งนอกจากกรณีนี้แล้ว การเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญยังมีเพิ่มอีกสองกรณี[๑๒] คือ

๒.๑ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ทั้งสองสภารวมกัน หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีจำนวนไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๓ ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการประกาศเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญได้[๑๓]

๒.๒ ประธานวุฒิสภาแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบว่าวุฒิสภาได้รับรายงานการไต่สวนการยื่นถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่งของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติซึ่งส่งให้นอกสมัยประชุม เพื่อที่ประธานรัฐสภานำความกราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญ เพื่อให้วุฒิสภาพิจารณาและมีมติถอดถอนบุคคลดังกล่าวออกจากตำแหน่ง[๑๔]

ทั้งหมดที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า กรณีที่ฝ่ายบริหารหรือคณะรัฐมนตรีต้องการที่จะให้มีการเรียกประชุมสมัยวิสามัญโดยนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงตราพระราชกฤษฎีกานั้น นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ส่วนกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาเข้าชื่อกันร้องขอให้ประธานรัฐสภานำความกราบบังคมทูล หรือกรณีประธานวุฒิสภาแจ้งต่อประธานรัฐสภาเพื่อนำความกราบบังคมทูล เพื่อทรงมีพระบรมราชโองการประกาศเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญนั้น ประธานรัฐสภาจะเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ[๑๕] ดังกล่าว

อ้างอิง


บรรณานุกรม

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. ข้อบังคับการประชุมการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2551 ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. 2551. (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร). 2551.

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550. (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร). 2550.

http//meechaithailand.com/ver1/?Module=3&action=view&type=10&mcid=21, (เข้าข้อมูลเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2552).

http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php, (เข้าข้อมูลเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2552).