จิตรกรรมและประติมากรรมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 16:09, 19 มิถุนายน 2568 โดย Adminkpi (คุย | ส่วนร่วม) (สร้างหน้าด้วย "'''ผู้เรียบเรียง :''' ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร '''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ :''' ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ '''จิตรกรรมและประติมากรรมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้...")
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง : ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ


จิตรกรรมและประติมากรรมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

                   จิตรกรรมและประติมากรรมของไทยมีความเกี่ยวพันกับคติความเชื่อ และวิถีการดำรงชีวิตของผู้คนในสังคมอย่างแนบแน่น ดังนั้นผลงานการสร้างศิลปะประเภทจิตรกรรมและประติมากรรมจึงเป็นการบันทึกเรื่องราวและสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไปแห่งยุคสมัยอย่างแยกไม่ออกไปโดยปริยาย การรับอิทธิพลตะวันตกปรากฎให้เห็นในสังคมสยามมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีมาแล้ว

                   การติดต่อทางการทูตกับชาติตะวันตกได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในสมัยรัตนโกสินทร์เด่นชัดเมื่อประเทศทางแถบเอเชียถูกคุกคามจากลัทธิการล่าอาณานิคม ทั้งนี้ ทางประเทศอังกฤษได้ส่ง เซอร์ จอห์น บาวริ่ง (Sir John Bowring) เข้ามาเจรจาทำสัญญาการค้ากับสยามที่เรียกว่า สนธิสัญญาบาวริ่ง ทำให้ประเทศไทยเราเสียเปรียบหลายประการ ต่อมาประเทศอีกหลายประเทศในยุโรปและอเมริกาต่างก็ขอทำสัญญาเช่นกัน วิธีการเดียวที่จะรักษาเอกราชของชาติให้อยู่รอด คือ การยอมรับอิทธิพลตะวันตกแล้วนำมาปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของชาติมหาอำนาจ ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในทุกด้านรวมถึงด้านศิลปกรรมไทยทั้งจิตรกรรมและประติมากรรม กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำไปสู่การสร้างสรรค์ศิลปะแนวใหม่มีการประยุกต์ทั้งรูปแบบและเนื้อหาอย่างเด่นชัด นับเป็นจุดเริ่มต้นของการเขียนภาพเหมือนหรือพระบรมสาทิสลักษณ์และการสร้างพระบรมราชานุสรณ์ของพระมหากษัตริย์ไทยในแบบเหมือนจริงขณะที่ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ ซึ่งแตกต่างไปจากคติความเชื่อโบราณ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสยุโรปถึงสองครั้ง ทรงสนพระทัยในงานศิลปะ ทรงนำสถาปนิก จิตรกร และประติมากรชาวตะวันตก ส่วนใหญ่เป็นชาวอิตาเลียนเข้ามาสร้างผลงานจิตรกรรมและประติมากรรมในประเทศสยามมากมาย เช่นเดียวกันกับสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ที่ทรงตระหนักเรื่องของการพัฒนาชาติให้มีอารยะ ด้วยการว่าจ้างจิตรกรและประติมากร อย่าง กาลิเลโอ คินี (Galileo Chini) คาร์โล ริโกลี (Carlo Rigoli) จิตรกร และศาสตราจารย์ คอราโด เฟโรจี (Professor Corrado Feroci) ประติมากรชาวอิตาเลียน ภายหลังโอนสัญชาติมาเป็นไทยชื่อ ศิลป์ พีระศรี ผู้มีบทบาทอย่างมากในการวางรากฐานแนวคิดและการสร้างสรรค์จิตรกรรมและประติมากรรมแบบตะวันตกในประเทศไทย อย่างไรก็ดี รัชกาลที่ 6 ทรงตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาศิลปะประจำชาติไทยไม่ให้สูญหาย จึงทรงเปิดโรงเรียนเพาะช่างเพื่อสืบสานงานช่างฝีมือของไทยให้ควบคู่ไปกับการส่งเสริมศิลปกรรมแบบตะวันตก นอกจากนี้ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ นายช่างใหญ่แห่งกรุงสยามซึ่งเป็นเจ้านายผู้รับผิดชอบงานด้านศิลปะและวัฒนธรรม รวมทั้งทรงเป็นศิลปินสำคัญผู้รับนโยบายจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตั้งแต่รัชกาลที่ 5 จนถึงรัชกาลที่ 7 ทรงรื้อฟื้นและสร้างสรรค์งานช่างทั้งปวง ทรงนำศิลปะแบบไทยประเพณีมาพัฒนาให้เกิดรูปแบบใหม่ โดยผสมผสานความงามอย่างไทยเข้ากับทางตะวันตกได้อย่างลงตัว

                   จากพัฒนาการแนวความคิดทางศิลปะของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้มีการสถาปนาโรงเรียนหัตถกรรมราชบูรณะ ต่อมารัชกาลที่ 6 พระราชทานนามใหม่ว่า โรงเรียนเพาะช่าง ระหว่าง พ.ศ. 2460-2465 เรื่อยมาโดยมีการนำแนวการเรียนการสอนศิลปะแบบตะวันตกมาสู่โรงเรียนเพาะช่าง ตลอดจนการรับ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เข้ามาปฏิบัติราชการจนกระทั่งถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7  ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้เป็นผู้นำก่อตั้งโรงเรียนประณีตศิลปกรรมขึ้นใน พ.ศ. 2477 มีแนวทางการเรียนการสอนทั้งรูปแบบศิลปะไทยและแบบสากล และถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งการวางรากฐานทางการศึกษาด้านศิลปกรรมที่สำคัญยิ่งของไทย

                   สำหรับผลงานทางด้านจิตรกรรมและประติมากรรมที่ปรากฎเด่นชัดในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ถือว่ามีความสำคัญอีกช่วงเวลาของหัวเลี้ยวหัวต่อ เสมือนเป็นรอยเชื่อมต่อทางวัฒนธรรมของไทยที่แสดงการเปลี่ยนแปลงอย่างมีพลวัต ซึ่งถือเป็นพัฒนาการทางศิลปะอีกรูปแบบหนึ่ง อันเปลี่ยนผ่านจากสุนทรียะความงามคติความคิดแบบดั้งเดิมไปสู่การแสดงออกรูปแบบใหม่ภายใต้อิทธิพลจากศิลปะตะวันตก

                   จิตรกรรมไทยและประติมากรรมในสมัยรัชกาลที่ 7 (พ.ศ. 2468-2477) มีลักษณะและแนวโน้มที่ได้รับอิทธิพลตะวันตก รวมถึงพัฒนาการงานศิลปกรรมที่มีการผสมผสานของไทยกับแนวคิดใหม่ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น งานจิตรกรรมฝาผนังยังคงสืบทอดการสร้างจิตรกรรมตามวัดและพระอารามต่าง ๆ แต่มีการปรับเปลี่ยนเรื่องราวของเนื้อหาและเทคนิคของการวาดภาพ มีการนำเสนอเรื่องราวจากวรรณคดีภาพชีวิตประจำวันและเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ อาทิ จิตรกรรมฝาผนังวัดสุวรรณดารารามเขียน เรื่อง พระราชประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราชตั้งแต่ทรงพระเยาว์จนสวรรคต โดยมีภาพการกระทำยุทธหัตถีเป็นภาพเด่นอยู่เหนือประตูด้านหน้า โดยใช้เทคนิคการวาดภาพแบบตะวันตกมาประยุกต์ใช้คล้ายภาพสีน้ำมัน การวาดภาพเหมือนของบุคคล เช่น พระมหากษัตริย์ ขุนนางและบุคคลสำคัญต่าง ๆ มีความนิยมมากขึ้นรวมทั้งมีการผสมผสานเทคนิคการวาดภาพแบบตะวันตก เช่น การใช้สีและเงา การใช้มุมมองแบบสามมิติ

                                                             ภาพ : จิตรกรรมฝาผนังวัดสุวรรณดาราราม [1]

                   ประติมากรรมในสมัยรัชกาลที่ 7 มีการสร้างพระพุทธรูปตามแบบไทยประเพณีแต่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบและลักษณะให้ดูเรียบง่ายและทันสมัย มีการสร้างประติมากรรมบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์มากขึ้น อาทิ การสร้างปฐมบรมราชานุสรณ์เป็นประติมากรรมอนุสาวรีย์แห่งแรก ๆ ของเมืองไทย ถัดมาจากการสร้างพระบรมรูปทรงม้าในรัชกาลที่ 5

                   ผลจากการศึกษางานศิลปกรรมในสมัยรัชกาลที่ 7 มีความสำคัญ คือ สื่อให้เห็นถึงความสืบเนื่องและความเปลี่ยนแปลงทางสังคมสยามได้เป็นอย่างดี ด้วยเหตุที่ผลงานทางจิตรกรรมและประติมากรรมถูกหล่อหลอมขึ้นมาภายใต้บริบทของสังคมสยามในสมัยนั้น การแสดงออกทางศิลปะจึงถูกปรับให้สอดคล้องตามยุคตามสมัยไปด้วยเช่นกัน


บรรณานุกรม

ฉัตรบงกช  ศรีวัฒนสาร. “ความสืบเนื่องและการเปลี่ยนแปลงของศิลปวัฒนธรรมสมัยรัชกาลที่ 7” ใน 120 ปี ผ่านฟ้า ประชาธิปก. นนทบุรี : สำนักบรรณสารสนเทศ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2556.

ปวีณา สุธีรางกูร. “ศิลปกรรมในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว”. วารสารอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ปีที่ 42 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2563.

วิไลรัตน์ ยังรอด. “จิตรกรรมฝาผนังวัดสุวรรณดาราราม” พงศาวดารบนโครงภาพพุทธประวัติ” วารสารเมืองโบราณ ปีที่ 29 ฉบับที่ 4 ตุลาคม-ธันวาคม 2546.


[1] https://cbtthailand.dasta.or.th/webapp/relattraction/content/2613/