ศาลทหาร

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนารัตน์ มาศฉมาดล

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ

 

ความเป็นมาของศาลทหาร

          ในปี พ.ศ. 2474 ในสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้จัดตั้งกระทรวงยุติธรรมขึ้นเพื่อรวบรวมศาลซึ่งกระจัดกระจายสังกัดกระทรวง ทบวง กรมต่าง ๆ ให้เข้ามาสังกัดกระทรวงยุติธรรมทั้งหมด ยกเว้นแต่ศาลทหารเพียงศาลเดียวที่ยังคงสังกัดกระทรวงกลาโหม ต่อมาได้มีการประกาศใช้พระธรรมนูญศาลทหารบก ร.ศ. 126 และพระธรรมนูญศาลทหารเรือ ร.ศ. 127 จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2477 ได้มีการรวมพระธรรมนูญศาลทหารบกกับศาลทหารเรือเข้าเป็นฉบับเดียวกัน โดยพระราชบัญญัติศาลทหาร พุทธศักราช 2477[1] จนกระทั่งได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 บังคับใช้จนถึงปัจจุบัน

          หากพิจารณาความเป็นมาของศาลทหารในรัฐธรรมนูญ พบว่าถูกนำมาบัญญัติไว้ครั้งในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517 (มาตรา 211) นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในทุกรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรได้บัญญัติจัดตั้งศาลทหารขึ้นในทำนองเดียวกันในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ เพื่อกำหนดอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และการดำเนินการต่าง ๆ ของศาลทหาร โดยกำหนดให้ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาที่ผู้กระทำความผิดเป็นบุคคลซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหารและคดีอื่น

          สำหรับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย_พุทธศักราช_2560 ได้เพิ่มเติมความในเรื่องของการจัดตั้งวิธีพิจารณาคดีและการดําเนินงานของศาลทหาร ตลอดจนการแต่งตั้งและการให้ตุลาการศาลทหารพ้นจากตำแหน่งให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ ทั้งนี้ กฎหมายที่นำมาใช้ในการพิจารณาคดีของศาลทหารให้เป็นไปตาม “พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498” โดยกำหนดให้ศาลทหารสังกัดกระทรวงกลาโหม ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้รับผิดชอบในงานธุรการของศาลทหารให้ดำเนินไปโดยเรียบร้อย แต่การพิจารณาคดีตลอดถึงการที่จะมีคำสั่งหรือคำพิพากษาบังคับคดีนั้น ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลทหารโดยเฉพาะ[2] งานธุรการของศาลทหารจึงแตกต่างจากศาลอื่น ๆ ในประเทศไทยที่มีกฎหมายจัดตั้งหน่วนงานที่รับผิดชอบงานธุรการที่มีความเป็นอิสระในการบริหารงานบุคคล การงบประมาณ และการดำเนินการอื่น โดยให้มีหัวหน้าหน่วยงานคนหนึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาขึ้นตรงต่อประธานของแต่ละศาล[3]

 

ประเภทและลำดับชั้นศาลทหาร

          ศาลทหารแบ่งออกเป็น 3 ชั้น คือ ศาลทหารชั้นต้น ศาลทหารกลาง และศาลทหารสูงสุด[4] ประเทศไทยจัดแบ่งประเภทของศาลทหารออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

          1) ศาลทหารในเวลาปกติ

          2) ศาลทหารในเวลาไม่ปกติ คือ ในเวลาที่มีการรบหรือสถานะสงคราม หรือได้ประกาศใช้กฎอัยการศึก ศาลทหารซึ่งมีอยู่แล้วในเวลาปกติคงพิจารณาพิพากษาคดีอาญาได้ตามอำนาจ แต่ถ้าผู้มีอำนาจประกาศใช้กฎอัยการศึกได้ประกาศ หรือผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้สั่งตามกฎหมายว่าด้วยกฎอัยการศึก ให้ศาลทหารมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาใด ๆ อีก ก็ให้ศาลทหารพิจารณาพิพากษาคดีอาญาตามประกาศหรือคำสั่งนั้นได้ด้วย[5]

          3) ศาลอาญาศึกก่อตั้งขึ้นโดยหน่วยทหารหรือเรือรบที่อยู่ในยุทธบริเวณ[6] ศาลอาญาศึกมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาทั้งปวง ซึ่งการกระทำผิดเกิดขึ้นในเขตอำนาจได้ทุกบทกฎหมายและไม่จำกัดตัวบุคคล[7]

 

คดีที่อยู่ในเขตอำนาจศาลทหาร

          คดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลทหาร ได้แก่ คดีผู้กระทำผิดเป็นบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารในขณะกระทำผิด และมีอำนาจสั่งลงโทษบุคคลใด ๆ ที่กระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง[8] คดีที่ไม่อยู่ในอำนาจศาลทหารให้ดำเนินคดีในศาลพลเรือน คือ[9]

          (1) คดีที่บุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหารกับบุคคลที่มิได้อยู่ในอำนาจศาลทหารกระทำผิดด้วยกัน

          (2) คดีที่เกี่ยวพันกับคดีที่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน

          (3) คดีที่ต้องดำเนินในศาลเยาวชนและครอบครัว

          (4) คดีที่ศาลทหารเห็นว่าไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร

 

การสอบสวน การวิธีพิจารณาคดี และการพิพากษาของศาลทหาร

          การสอบสวนบุคคลที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร กระทำโดยนายทหารพระธรรมนูญหรืออัยการทหารมีอำนาจทำการสอบสวนคดีอาญาทั้งปวงซึ่งอยู่ในอำนาจศาลทหาร แต่ถ้ามีเหตุอันสมควรผู้บังคับบัญชาจะสั่งให้นายทหารชั้นสัญญาบัตรทำการสอบสวนก็ได้[10] โดยในกระบวนการพิจารณาคดีของศาลทหารในเวลาปกติจำเลยมีสิทธิแต่งทนายได้ แต่ในศาลอาญาศึกจำเลยไม่มีสิทธิแต่งทนาย[11] ศาลทหารใช้วิธีพิจารณาความอาญาทหาร โดยให้นำกฎหมาย กฎและข้อบังคับ ซึ่งออกตามกฎหมายฝ่ายทหารมาใช้บังคับ ถ้าไม่มีกฎหมาย กฎและข้อบังคับฝ่ายทหารก็ให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาใช้บังคับโดยอนุโลม ถ้าวิธีพิจารณาข้อใดซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่จะใช้ได้[12]

          ห้ามศาลทหารพิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง[13] ทั้งนี้คู่ความในคดีมีสิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทหารในเสลาปกติได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งให้จำเลยฟัง อนึ่ง คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทหารในเวลาไม่ปกติ และศาลอาญาศึกหรือศาลที่พิจารณาพิพากษาคดีแทนศาลอาญาศึกห้ามอุทธรณ์หรือฎีกา[14]

 

ตุลาการศาลทหาร

          การแต่งตั้งและถอดถอนตุลาการศาลทหารสูงสุดและศาลทหารกลางให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งและถอดถอน ส่วนการแต่งตั้งและถอดถอนตุลาการศาลทหารอื่น ๆ พระมหากษัตริย์อาจทรงมอบพระราชอำนาจแก่ผู้บังคับบัญชาทหารและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้แต่งตั้งและถอดถอนตามพระราชบัญญัตินี้ว่าด้วยการแต่งตั้งตุลาการ[15] ดังนี้ ตุลาการศาลทหารจึงไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านกฎหมาย และจะแต่งตั้งนายทหารนอกประจำการเป็นตุลาการก็ได้ โดยผู้มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการ คือ[16]

          (1) ผู้มีอำนาจบังคับบัญชาจังหวัดทหาร เป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งนายทหารชั้นสัญญาบัตร ซึ่งรับราชการประจำอยู่ในพื้นที่จังหวัดทหารนั้น ๆ เป็นตุลาการศาลจังหวัดทหาร

          (2) ผู้มีอำนาจบังคับบัญชามณฑลทหาร เป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งนายทหารชั้นสัญญาบัตร ซึ่งรับราชการประจำอยู่ในพื้นที่มณฑลทหารนั้น ๆ เป็นตุลาการศาลมณฑลทหาร

          (3) ผู้มีอำนาจบังคับบัญชาหน่วยทหาร เป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งนายทหารชั้นสัญญาบัตร ซึ่งรับราชการประจำอยู่ในหน่วยทหารนั้น ๆ เป็นตุลาการศาลประจำหน่วยทหาร

          (4) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งตุลาการศาลทหารกรุงเทพ

 

บรรณานุกรม

ราชกิจจานุเบกษา/เล่ม 51/หน้า 906/ 11 พฤศจิกายน 2477. พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พุทธศักราช 2477

ราชกิจจานุเบกษา/เล่ม 72/ตอนที่ 83/หน้า 1415/18 ตุลาคม 2498. พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498

ราชกิจจานุเบกษา/เล่ม 134/ตอนที่ 40 ก/ 6 เมษายน 2560. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

 

อ้างอิง

[1] พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พุทธศักราช 2477

[2] มาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498

[3] มาตรา 193 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560

[4] มาตรา 6 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560

[5] มาตรา 36 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560

[6] มาตรา 39 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560

[7] มาตรา 42 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560

[8] มาตรา 13 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560

[9] มาตรา 14 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560

[10] มาตรา 47 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560

[11] มาตรา 55 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560

[12] มาตรา 45 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560

[13] มาตรา 60 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560

[14] มาตรา 61 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560

[15] มาตรา 10 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560

[16] มาตรา 30 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560