จังหวัดจัดการตนเอง

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:56, 18 กรกฎาคม 2559 โดย Suksan (คุย | ส่วนร่วม) (หน้าที่ถูกสร้างด้วย ''''เรียบเรียงโดย''' : ศรัณย์ จิระพงษ์สุวรรณ '''ผู้ทรงค...')
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

เรียบเรียงโดย : ศรัณย์ จิระพงษ์สุวรรณ

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.ปธาน สุวรรณมงคล


ความเป็นมาของ “จังหวัดจัดการตนเอง”

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 หมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ มาตรา 78 กำหนดให้ “รัฐต้องกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นพึ่งตนเองและตัดสินใจในกิจการท้องถิ่นได้เอง พัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่นและระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการตลอดทั้งโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศในท้องถิ่นให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกันทั่วประเทศ รวมทั้งพัฒนาจังหวัดที่มีความพร้อมให้เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ โดยคำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนในจังหวัดนั้น”

รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทยที่มีบทบัญญัติในลักษณะที่ให้การรองรับการพัฒนาจังหวัดที่มีความพร้อมให้เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ทั้งจังหวัด โดยในที่ประชุมของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญได้มีกรรมาธิการคนหนึ่งอภิปรายเสนอให้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองท้องถิ่นขนาดใหญ่โดยยกเลิกการบริหารราชการส่วนภูมิภาค ซึ่งที่ประชุมไม่ได้ให้ความเห็นชอบในแนวความคิดดังกล่าวแต่ให้นำมาบรรจุในแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ

แนวความคิดเรื่อง “จังหวัดปกครองตนเอง” จึงมิใช่แนวความคิดใหม่แต่เป็นแนวความคิดที่ถูกรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา จนกระทั่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจุบันยังคงยืนยันหลักการดังกล่าวในหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ มาตรา 78 รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ดังต่อไปนี้

“กระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพึ่งตนเองและตัดสินใจในกิจการของท้องถิ่นได้เอง ส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการดำเนินการตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ พัฒนาเศรษฐกิจของท้องถิ่นและระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ ตลอดทั้งโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศในท้องถิ่น ให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกันทั่วประเทศ รวมทั้งพัฒนาจังหวัดที่มีความพร้อมให้เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ โดยคำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนในจังหวัดนั้น”

หากสืบค้นในมิติทางประวัติศาสตร์ พบว่ามีการเรียกร้องเพื่อการปกครองตนเองของประชาชนในท้องถิ่นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวคือในสมัยรัฐบาลหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ได้ตั้ง “คณะกรรมการสอดส่องภาวการณ์ใน 4 จังหวัดภาคใต้” เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2490 เพื่อลงไปรับฟังคำร้องเรียนและปัญหาของชาวมุสลิมมลายูภาคใต้ ซึ่งถือว่าเป็นหน่ออ่อนแนวคิดจัดการตนเองของประชาชนในพื้นที่ แต่เนื่องด้วยความผันผวนทางการเมืองในยุคสมัยนั้น จึงทำให้ประเด็นนี้ไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาในสังคมอีก

หลักการสำคัญของ “จังหวัดจัดการตนเอง”

จังหวัดจัดการตนเอง หมายถึง การที่ประชาชนในจังหวัดมีส่วนร่วมในการตัดสินใจกำหนดทิศทางการพัฒนา การบริหารจัดการจังหวัดของตนเองในทุกด้าน ทั้งด้านการเมืองเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สุขภาวะทางร่างกาย จิตใจ สังคมปัญญา ที่สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของประชาชน เมื่อเกิดปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตและสังคม ก็สามารถจัดการแก้ไขปัญหาต่างๆในท้องถิ่นได้ด้วยตนเองและเท่าทันกับสถานการณ์

ซึ่งการกระจายอำนาจให้ลงไปถึงประชาชนอย่างแท้จริงนั้นจะต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจโดยการกระจายอำนาจบริหารจัดการจากรัฐบาลไปสู่ท้องถิ่น และกระจายอำนาจขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่นไปสู่ประชาชน ชุมชน และภาคประชาสังคม ซึ่งรูปแบบโครงสร้างการกระจายอำนาจดังกล่าวจะนำไปสู่รูปแบบ “จังหวัดปกครองตนเอง” อันเป็นโครงสร้างการปกครองท้องถิ่นสองระดับ ได้แก่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับบน คือ จังหวัดปกครองตนเอง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับล่าง คือ เทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบลที่มีเขตพื้นที่การปกครองบางส่วนของจังหวัด

เอกสารสำคัญในร่างพระราชบัญญัติ “จังหวัดจัดการตนเอง พ.ศ. …”

ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 มาตรา 78 (3) กำหนดให้รัฐต้องกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพึ่งตนเองและตัดสินใจในกิจการของท้องถิ่นได้เอง ส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการดำเนินการตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ พัฒนาเศรษฐกิจของท้องถิ่นและระบบสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ ตลอดทั้งโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศในท้องถิ่น ให้ทั่วถึงและเท่าเทียมกันทั่วประเทศ รวมทั้งพัฒนาจังหวัดที่มีความพร้อมให้เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ โดยคำนึงถึงเจตนารมณ์ของประชาชนในจังหวัดนั้น แต่เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายรองรับหลักการดังกล่าว อีกทั้งการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบปัจจุบันตามที่กำหนดในกฎหมายต่าง ๆ ยังไม่ส่งเสริมให้เกิดการกระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่นอย่างแท้จริง

ดังนั้นเพื่อให้การปกครองส่วนท้องถิ่นบรรลุเจตนารมณ์ของรัฐธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย 2550 จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัติการบริหารจังหวัดปกครองตนเอง พ.ศ. …. ซึ่งมีทั้งหมด 135 มาตรา แบ่งออกเป็น 10 หมวด โดยมีสาระสำคัญคือ

1.การจัดตั้งจังหวัดปกครองตนเอง

กำหนดให้พระราชบัญญัตินี้มีลักษณะเป็นกฎหมายกลางเพื่อจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบ “จังหวัดปกครองตนเอง” กล่าวคือเมื่อประชาชนในจังหวัดใดมีความพร้อมตามเจตนารมณ์ของประชาชนในจังหวัดนั้น มีสิทธิแสดงเจตนารมณ์เพื่อจัดตั้งจังหวัดปกครองตนเอง โดยการจัดตั้งจังหวัดปกครองตนเองนั้น ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งจังหวัดปกครองตนเองตามพระราชบัญญัตินี้ การแสดงเจตนารมณ์ของประชาชนเพื่อจัดตั้งจังหวัดปกครองตนเองนั้น ให้กระทำโดยการออกเสียงประชามติตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ซึ่งกระบวนการเสนอให้มีการออกเสียงประชามติสามารถกระทำได้โดยประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งภายในจังหวัดจำนวนไม่น้อยกว่าห้าพันคน เข้าชื่อเสนอต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อให้มีการจัดทำประชามติจัดตั้งจังหวัดปกครองตนเอง ในขั้นตอนการออกเสียงประชามติต้องมีผู้มาออกเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียงในจังหวัดนั้น และต้องมีผลคะแนนออกเสียงประชามติจำนวนสามในห้าของผู้มาออกเสียงเห็นชอบให้จัดตั้งจังหวัดปกครองตนเอง และเมื่อประชาชนในจังหวัดใดลงประชามติเห็นชอบให้มีการจัดตั้งจังหวัดปกครองตนเองแล้ว ให้มีการดำเนินการออกพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งตามพระราชบัญญัตินี้ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่ได้ประกาศผลการออกเสียงประชามติ

โดยสรุป หากร่างพระราชบัญญัตินี้ได้รับการพิจารณาจากรัฐสภาและประกาศใช้เป็นกฎหมายแล้ว ก็หาได้มีผลโดยทั่วไปให้ทุกจังหวัดต้องเปลี่ยนแปลงฐานะมาเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ทั้งจังหวัดตามรูปแบบ “จังหวัดปกครองตนเอง” โดยทันทีไม่ กล่าวคือหากจังหวัดใดจะเปลี่ยนแปลงฐานะมาเป็น “จังหวัดปกครองตนเอง” จะต้องเกิดจากเจตนารมณ์ของประชาชนในจังหวัดนั้น และมีการดำเนินการตามขั้นตอนที่ได้กล่าวมาแล้ว เช่น มีการจัดทำประชามติ และมีการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งจังหวัดปกครองตนเองเสียก่อน

2.การกำหนดให้ยกเลิกราชการส่วนภูมิภาคในจังหวัดที่ได้จัดตั้งเป็นจังหวัดปกครองตนเอง

กำหนดให้เมื่อมีการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งจังหวัดปกครองตนเองในจังหวัดใดให้ถือว่าพระราชบัญญัตินี้มีผลยกเลิกกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งจังหวัดนั้น กล่าวคือ เมื่อจังหวัดใดได้จัดตั้งเป็นจังหวัดปกครองตนเองตามพระราชบัญญัตินี้แล้ว โดยผลของพระราชบัญญัตินี้จะทำให้จังหวัด และอำเภอในฐานะที่เป็นราชการส่วนภูมิภาคตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินนั้นยกเลิกไป ตัวอย่างเช่น เมื่อกฎหมายฉบับนี้ประกาศใช้บังคับแล้ว หากประชาชนในจังหวัดใดแสดงเจตนารมณ์ผ่านการออกเสียงประชามติต้องการให้จังหวัดนั้นเปลี่ยนรูปแบบมาเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ทั้งจังหวัด และเมื่อคณะรัฐมนตรีดำเนินการออกพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งจังหวัดปกครองตนขึ้นในจังหวัดนั้นแล้ว เมื่อพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวประกาศใช้บังคับแล้วก็จะเป็นเงื่อนไขให้กฎหมายว่าด้วยการตั้งจังหวัดนั้น ตลอดจนอำเภอต่าง ๆ ในจังหวัดนั้นในฐานะที่เป็นราชการส่วนภูมิภาคถูกยกเลิกไปโดยผลของพระราชบัญญัติฉบับนี้

นอกจากนี้เมื่อได้ประกาศใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งจังหวัดปกครองตนเองในจังหวัดใดแล้ว ก็จะทำให้พระราชบัญญัติฉบับนี้ก่อตั้งฐานะนิติบุคคลให้กับจังหวัดปกครองตนเองนั้น โดยถือว่าจังหวัดปกครองตนเองที่ได้ก่อตั้งขึ้นนั้น เป็นราชการส่วนท้องถิ่นตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินและมีอาณาเขตท้องที่ตามที่จังหวัดนั้นมีอยู่เดิม

3.การกำหนดหลักการพื้นฐานของการปกครองส่วนท้องถิ่น

กำหนดให้จังหวัดปกครองตนเอง เทศบาล และองค์การบริหารส่วนตำบลตามพระราชบัญญัตินี้ มีความเป็นอิสระในการกำหนดนโยบาย การบริหาร การจัดบริการสาธารณะ การบริหารงานบุคคล การเงินการคลังและงบประมาณ รวมทั้งมีอำนาจหน้าที่ในการจัดการ การบำรุงรักษา และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางชีวภาพที่อยู่ในเขตพื้นที่อย่างสมดุลและยั่งยืน ซึ่งหลักการดังกล่าวเป็นหลักการพื้นฐานทั่วไปของการปกครองส่วนท้องถิ่นตามหลักการแห่งการกระจายอำนาจที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยให้การรับรอง การที่รัฐส่วนกลางกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นมีจำเป็นที่ต้องให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีความเป็นอิสระทั้งในการจัดทำบริการสาธารณะ งานบริหารงานทั่วไปตามอำนาจหน้าที่ การบริหารงบประมาณและการบริหารงานบุคคล เมื่อรัฐส่วนกลางได้กระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแล้ว รัฐส่วนกลางจะคงไว้ซึ่งอำนาจกำกับดูแล โดยการกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องทำเท่าที่จำเป็นและมีหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ชัดเจนสอดคล้องและเหมาะสมกับรูปแบบขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยต้องเป็นไปเพื่อการคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นหรือประโยชน์ของประเทศเป็นส่วนรวม และจะกระทบถึงสาระสำคัญแห่งหลักการปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น หรือนอกเหนือจากที่กฎหมายบัญญัติไว้มิได้

ลักษณะโครงสร้างในการบริหารจัดการ “จังหวัดจัดการตนเอง”

-ด้านโครงสร้างการปกครอง

“จังหวัดจัดการตนเอง” จะมีโครงสร้างองค์กรปกครองท้องถิ่นสองชั้น ระนาบบนคือ จังหวัดจัดการตนเอง ระนาบล่างคือ เทศบาล หรือ อบต. เช่น "จังหวัด" (prefecture) ของญี่ปุ่น ระดับจังหวัดอาจจะเรียกว่า "องค์กรพี่" ส่วนเทศบาล อบต. ถือว่าเป็น "องค์กรน้อง" ปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน คือ องค์กรพี่อาจจะให้ความช่วยเหลือหรือเงินอุดหนุนให้แก่องค์กรน้องที่ขาดแคลน ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด

-ด้านการคลัง

“จังหวัดจัดการตนเอง” จะมีการคลังท้องถิ่นรูปแบบใหม่ มีเป้าประสงค์ในการพัฒนาเพื่อท้องถิ่น ไทยทำงานเข้มแข็ง ระบบการคลังและรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐต้องให้การสนับสนุนในการจัดทำบริการสาธารณะและต้องให้การอุดหนุนงบประมาณแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีรายได้น้อย เพื่อให้เพียงพอต่อการจัดทำบริการสาธารณะตามอำนาจหน้าที่ซึ่งทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีรายได้หลักจากภาษีอากรและรายได้ที่ไม่ใช่ภาษีอากร นอกจากนี้ต้องจัดให้มีคณะกรรมการบริหารภาษีระหว่างรัฐกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ทรงคุณวุฒิโดยมีอำนาจหน้าที่ที่สำคัญ ในการกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการ จัดทำแผน การจัดเก็บภาษีอากรและรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ด้านการจัดเก็บภาษีที่ใช้ฐานร่วมกันระหว่างรัฐกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือภาษีอื่นที่ไม่ใช่ภาษีท้องถิ่น เมื่อจังหวัดปกครองตนเองจัดเก็บให้เก็บไว้เป็นรายได้ของตนร้อยละ 70 และส่งให้เป็นรายได้ของแผ่นดินร้อยละ 30 ส่วนภาษีท้องถิ่น ให้จัดเก็บเป็นรายได้ของท้องถิ่นทั้งหมด ซึ่งลักษณะการจัดเก็บภาษีเช่นนี้จะมีลักษณะคล้ายกับ การบริหารงานท้องถิ่นของประเทศจีน ญี่ปุ่น ฯลฯ ซึ่ง ประเทศจีนเป็นตัวอย่างประเทศที่รัฐบาลท้องถิ่นมีอำนาจการคลังและงบประมาณสูง คือ รายจ่ายโดยรัฐบาลท้องถิ่นนั้นมีขนาดใหญ่กว่ารัฐบาลกลาง สัดส่วนโดยประมาณคือ 70:30 นั่นหมายถึงรัฐบาลท้องถิ่นใช้จ่ายเงิน (จัดบริการสาธารณะ) ร้อยละ 70 ในขณะที่รัฐบาลกลางใช้จ่ายเงินส่วนที่เหลือคือร้อยละ 30 เท่านั้น

มีผู้เสนอให้ศึกษาโครงสร้างการคลังในจีนและญี่ปุ่นเพื่อเป็นตัวอย่างหรือนำมาปรับใช้ในร่างกฎหมายจังหวัดจัดการตนเอง หลักคิดคือต้องการให้จังหวัดจัดการตนเองและเทศบาลของไทยในอนาคต ไม่ต้องพึ่งเงินอุดหนุนจากรัฐบาลมากเกินไป โดยการขยายฐานภาษีและแหล่งรายได้ของท้องถิ่น เช่น จัดเก็บภาษีเสริมจากเงินได้บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล รวมถึงมีข้อเสนอให้ควรต้องปรับโครงสร้างภาษีแบ่งให้เหมาะสม เช่น ภาษีสุรา ภาษียาสูบ ปัจจุบันแบ่งให้ท้องถิ่นร้อยละ 10 คนท้องถิ่นเห็นว่าไม่ยุติธรรม และไม่สอดคล้องกับยุคสมัย ผู้เชี่ยวชาญบางท่านเสนอสัดส่วนร้อยละ 50-50 คือรัฐบาลควรจะได้ครึ่งหนึ่ง ท้องถิ่นได้ครึ่งหนึ่ง ในด้านการจัดเก็บภาษี หน่วยงานของรัฐจัดเก็บ หรือว่าองค์กรท้องถิ่นเป็นหน่วยจัดเก็บ หรือว่าจ้างให้เอกชนจัดเก็บแทน

-ด้านงานบุคคล

“จังหวัดจัดการตนเอง” จะมีภายโครงสร้างงานบุคคลที่เจ้าพนักงานจะสังกัดกับรัฐบาลท้องถิ่น จังหวัด โดยมีระบบบุคลากรที่เป็นอิสระของตนเองภายใต้กฎหมายของจังหวัดจัดการตัวเอง ในระบบบริหารงานบุคคลใหม่นี้จังหวัดจะสามารถจัดให้มีระบบบุคลากรกลาง(Pool-down) ที่เอื้ออำนวยให้จังหวัดและ อปท. ในเขตพื้นที่สามารถใช้ประโยชน์บุคลากรที่ขาดแคลนร่วมกันได้ และจะมีบุคลากรของจังหวัดมีที่มาจากข้าราชการของ อบจ. และข้าราชการส่วนภูมิภาค ที่รับโอนมาปฏิบัติหน้าที่หลังจากยุบรวมหน่วยงานเดิมเข้าด้วยกัน

โดยสามารถดูตัวอย่างจาก กรณีศึกษาของประเทศจีนที่มีจำนวนพนักงานท้องถิ่นมากกว่า 40 ล้านคน โดยเปรียบเทียบกับเจ้าพนักงานที่สังกัดรัฐบาลกลางของจีนเพียง 4 ล้านคน ในบางมณฑลของจีนมีสำนักงานลงทุนที่สังกัดรัฐบาลมณฑล ทำหน้าที่ให้คำปรึกษา เจรจาต่อรองกับหน่วยธุรกิจที่ประสงค์จะไปลงทุนในจีน รวมทั้งการเจรจาต่อรองสิทธิประโยชน์ด้านภาษี ในประเทศญี่ปุ่นก็คล้ายๆ กับจีน รัฐบาลท้องถิ่นของญี่ปุ่นใช้จ่ายเงินประมาณร้อยละ 55 ในขณะที่รัฐบาลกลางใช้จ่ายเงินคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 45

สถานะปัจจุบันของ “จังหวัดจัดการตนเอง”

ปัจจุบันสาระสำคัญของพระราชบัญญัติที่ว่าด้วย “จังหวัดจัดการตนเอง” พบว่ามีลักษณะเป็นกฎหมายกลางเพื่อจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบ “จังหวัดจัดการตนเอง” กล่าวคือเมื่อประชาชนในจังหวัดใดมีความพร้อมตามเจตนารมณ์ของประชาชนในจังหวัดนั้น มีสิทธิแสดงเจตนารมณ์เพื่อจัดตั้งจังหวัดปกครองตนเอง โดยการจัดตั้งจังหวัดปกครองตนเองนั้น ให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งจังหวัดปกครองตนเองตามพระราชบัญญัตินี้ การแสดงเจตนารมณ์ของประชาชนเพื่อจัดตั้งจังหวัดปกครองตนเองนั้น จะกระทำโดยการออกเสียงประชามติตามกฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ซึ่งกระบวนการเสนอให้มีการออกเสียงประชามติสามารถกระทำได้โดยประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งภายในจังหวัดจำนวนไม่น้อยกว่าห้าพันคน เข้าชื่อเสนอต่อนายกรัฐมนตรีเพื่อให้มีการจัดทำประชามติจัดตั้ง “จังหวัดจัดการตนเอง” ในขั้นตอนการออกเสียงประชามติต้องมีผู้มาออกเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียงในจังหวัดนั้น และต้องมีผลคะแนนออกเสียงประชามติจำนวนสามในห้าของผู้มาออกเสียงเห็นชอบให้จัดตั้งจังหวัดจัดการตนเอง และเมื่อประชาชนในจังหวัดใดลงประชามติเห็นชอบให้มีการจัดตั้งจังหวัดจัดการตนเองแล้ว ให้มีการดำเนินการออกพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งตามพระราชบัญญัตินี้ภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่ได้ประกาศผลการออกเสียงประชามติ

โดยสรุปร่างกฎหมายที่กล่าวมาข้างต้นจะเป็นกลไกสำคัญประการหนึ่งที่ช่วยคลี่คลายวิกฤตการณ์ทางการเมืองของสังคมไทยที่กำลังประสบอยู่ ณ ขณะนี้โดยสาเหตุหนึ่งของปัญหาต่าง ๆ ทางการเมืองที่เป็นอยู่มีสาเหตุสำคัญเกิดขึ้นจากการ “รวมศูนย์อำนาจต่าง ๆ ที่กระจุกตัวอยู่ศูนย์กลาง” ดังนั้นจึงย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่นักการเมืองหรือผู้ถืออำนาจรัฐซึ่งอยู่ใกล้ชิดกับอำนาจจะแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบจากอำนาจนั้น เพราะฉะนั้นหากมีการกระจายอำนาจดังที่กล่าวมาให้ไปอยู่ในมือของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจและยอมให้ประชาชนในท้องถิ่นมีอำนาจบริหารการปกครองของตนเอง ตลอดจนสามารถตัดสินใจวิถีชีวิตหรือจัดการความเป็นอยู่ตามวิถีความแตกต่างหากหลายของแต่ละท้องถิ่นภายใต้รัฐธรรมนูญ ประชาชนในท้องถิ่นย่อมจะรู้สึกว่าเขาเป็นเจ้าของอำนาจมากขึ้นและหวงแหนเอาใจใส่ติดตามอำนาจที่มอบให้แก่ตัวแทนของเขา และทางตรงกันข้ามผู้เขียนเชื่อว่าบรรดานักการเมืองก็จะรู้สึกว่าเขาถูกตรวจสอบและติดตามจากเจ้าของอำนาจอย่างชิดใกล้ จนไม่มีโอกาสใช้อำนาจไปในทางที่มิชอบได้

นอกจากนี้หากเกิดการกระจายอำนาจ กระจายทรัพยากร กระจายงบประมาณ ลงสู่ท้องถิ่นอย่างแท้จริงด้วยความจริงใจจากรัฐส่วนกลางแล้ว การกระจุกตัวด้านทรัพยากร ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สังคมก็จะคลี่คลายไปในทางที่ดีและจะเป็นคำตอบของการปฏิรูปประเทศอย่างยั่งยืนและเป็นภูมิคุ้มกันมิให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองอย่างเช่นปัจจุบันได้

อ้างอิง


บรรณานุกรม

จรัส สุวรรณมาลา.(2554). ก้าวข้ามกับดักของการกระจายอำนาจสู่จังหวัดจัดการตนเอง ใน ประเด็นท้าทายการกระจายอำนาจและการปกครองท้องถิ่นไทย. กรุงเทพมหานคร: ศูนย์ส่งเสริมนวัตกรรมและธรรมาภิบาลท้องถิ่นและภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

จรัส สุวรรณมาลา และ วีรศักดิ์เครือเทพ, บรรณาธิการ.(2554). จังหวัดจัดการตัวเอง (Self-governing province). ใน ประเด็นท้าทายการกระจายอํานาจและการปกครองท้องถิ่นไทย. กรุงเทพมหานคร: ภาควิชารัฐประศาสนศาสตร์คณะรัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

รายงานการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 4 (สมัยสามัญ ครั้งที่สอง) วันจันทร์ที่ 8 เดือนกันยายน พ.ศ. 2540. ในส่วนคำอภิปรายของนายถวิล ไพรสณฑ์ สมาชิกรัฐสภา. หน้า 10 -16. ศูนย์ชวเลขและพิมพ์ดีด สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร.

ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์.(2554). กระจายรายได้สู่ท้องถิ่นส่วนกลางต้องทำน้อยๆ สร้าง Vertical Fiscal Balance ภารกิจกับเงินต้องสมดุล. ค้นวันที่ 9 ตุลาคม 2556 จาก http://www.thaipublica.org/ 2011/10/local-revenue-distribution.

ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ และกอบกุล รายะนาคร. (2552). การขับเคลื่อนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อการจัดบริการสาธารณะที่ดี ,สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ,สถาบันศึกษานโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (สนสธ.)