การเรียกประชุมสภา

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
รุ่นแก้ไขเมื่อ 13:21, 16 มีนาคม 2557 โดย Suksan (คุย | ส่วนร่วม) (หน้าที่ถูกสร้างด้วย ''''ผู้เรียบเรียง''' นายโชคสุข กรกิตติชัย ---- '''ผู้ทรงค...')
(ต่าง) ←รุ่นแก้ไขก่อนหน้า | รุ่นแก้ไขล่าสุด (ต่าง) | รุ่นแก้ไขถัดไป→ (ต่าง)

ผู้เรียบเรียง นายโชคสุข กรกิตติชัย


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จเร พันธุ์เปรื่อง


บทนำ

ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามระบบรัฐสภา โดยมีรัฐสภาเป็นสถาบันตัวแทนของประชาชน อันประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภา การทำงานของรัฐสภากระทำโดยวิธีการประชุม ซึ่งรัฐสภาจะประชุมร่วมกันหรือแยกกันต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ การประชุมดังกล่าวจึงถือว่าเป็นการประชุมที่มีลักษณะพิเศษกว่าการประชุมปกติ เรียกว่า “การประชุมสภา”

ประวัติความเป็นมาของการประชุมสภา

การประชุมสภาไทยเกิดขึ้นครั้งแรก ในวันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ เวลา ๑๔.๐๐ นาฬิกา โดยกำหนดให้ห้องโถงชั้นบนของพระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นสถานที่ประชุม มีการจัดโต๊ะเป็นรูปครึ่งวงกลมตั้งอยู่ในระดับเดียวกันเป็นการชั่วคราว ซึ่งการประชุมครั้งแรกเป็นการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่ประชุมได้เลือก “เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี” เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร “พระยาอินทรวิชิต” เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร และให้ “หลวงประดิษฐ์มนูธรรม” ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร

ต่อมาเมื่อบังคับใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๘๙ ทำให้รัฐสภาประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและพฤฒสภา จึงได้กำหนดให้ใช้พระที่นั่งอภิเษกดุสิต เป็นที่ประชุมพฤฒสภา ส่วนพระที่นั่งอนันตสมาคมให้ใช้เป็นที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร และใช้เป็นที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา และเมื่อเปลี่ยนจากพฤฒสภาเป็นวุฒิสภา ในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ แล้ว ได้กำหนดให้ใช้พระที่นั่งอนันตสมาคมเป็นที่ประชุมวุฒิสภาเช่นเดียวกับสภาผู้แทนราษฎร หลังจากนั้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ได้มีการดำเนินการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ซึ่งแล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ จึงได้เปลี่ยนมาทำการประชุมสภา ณ อาคารรัฐสภาแห่งใหม่ และได้เปิดการประชุมเป็นครั้งแรกในการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ชุดที่ ๒ ครั้งที่ ๖๗ ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๗ และได้ใช้ห้องประชุมของอาคารรัฐสภาแห่งนี้มาจนถึงปัจจุบัน ส่วนพระที่นั่งอนันตสมาคม แม้ไม่ได้ใช้เป็นสถานที่ประชุมสภาแล้ว แต่ยังคงใช้เป็นสถานที่สำหรับประกอบรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาจนกระทั่งปัจจุบัน

ความหมายและประเภทของการประชุมสภา สมัยประชุม รัฐพิธี และการเรียกประชุมสภา

คำว่า “การประชุมสภา” หมายถึง การประชุมของสมาชิกรัฐสภา กรณีรัฐสภาประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ทำให้มีกรณีที่รัฐสภาจะต้องประชุมร่วมกันหรือแยกกันประชุมตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ ซึ่งปัจจุบันเมื่อพิจารณาจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๘๘ สามารถแบ่งการประชุมสภาได้ ๓ ประเภทตามประเภทของสมาชิกสภา คือ การประชุมสภาผู้แทนราษฎร การประชุมวุฒิสภา และการประชุมร่วมกันของรัฐสภา มีรายละเอียด ดังนี้

๑. การประชุมสภาผู้แทนราษฎร หมายถึง การประชุมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาเรื่องใดๆ ตามอำนาจหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นอกจากจะมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นองค์ประชุมแล้วยังมีรัฐมนตรี และผู้ที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือผู้ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมอนุญาตเข้าร่วมประชุมด้วย ทั้งนี้ โดยมีข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นเครื่องมือในการดำเนินการประชุม ผู้ทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ได้แก่ ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎรผู้ทำหน้าที่แทนการประชุมสภาผู้แทนราษฎรนั้น เป็นการทำหน้าที่ในทางนิติบัญญัติ คือ การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัติ และพิจารณาอนุมัติพระราชกำหนด ทำหน้าที่ในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน โดยการตั้งกระทู้ถาม การพิจารณาญัตติต่างๆ และการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล รวมถึงการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ในการให้ความเห็นชอบเรื่องต่างๆ ที่กฎหมายกำหนดด้วย

๒. การประชุมวุฒิสภา หมายถึง การประชุมของสมาชิกวุฒิสภาเพื่อพิจารณาเรื่องใดๆ ตามอำนาจหน้าที่ของวุฒิสภา ในการประชุมวุฒิสภานอกจากจะมีสมาชิกวุฒิสภาเป็นองค์ประชุมแล้วยังมีรัฐมนตรี และผู้ที่ประธานวุฒิสภาหรือผู้ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมอนุญาตเข้าร่วมประชุมด้วย ทั้งนี้ โดยมีข้อบังคับการประชุมวุฒิสภาเป็นเครื่องมือในการดำเนินการประชุม ผู้ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมวุฒิสภา ได้แก่ประธานวุฒิสภาหรือรองประธานวุฒิสภาผู้ทำหน้าที่แทน การประชุมวุฒิสภา เป็นการทำหน้าที่ตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น ทำหน้าที่ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ทำหน้าที่การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินโดยการตั้งกระทู้ถาม การพิจารณาญัตติต่างๆ และเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ ทำหน้าที่ในการพิจารณาเลือก แต่งตั้ง ให้คำแนะนำ หรือให้ความเห็นชอบให้บุคคลดำรงตำแหน่งในองค์กรต่างๆ เช่น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นต้น นอกจากนี้ยังทำหน้าที่พิจารณาถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง

๓. การประชุมร่วมกันของรัฐสภา หมายถึง การประชุมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาร่วมกัน เพื่อพิจารณาเรื่องใดๆ ที่รัฐธรรมนูญกำหนด เช่น การให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ การแถลงนโยบาย การให้ความเห็นชอบในการประกาศสงคราม การรับฟังคำชี้แจงและการให้ความเห็นชอบหนังสือสัญญา การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เป็นต้น ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภานั้นจะต้องมีข้อบังคับการประชุมรัฐสภาแยกต่างหากอีกฉบับหนึ่ง แต่ถ้ายังไม่มีข้อบังคับการประชุมรัฐสภาจะต้องนำข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรมาใช้บังคับโดยอนุโลม และผู้ทำหน้าที่ประธานของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ได้แก่ ประธานรัฐสภา ซึ่งก็คือ ประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้ที่เป็นรองประธานรัฐสภาโดยตำแหน่ง คือ ประธานวุฒิสภา

คำว่า “สมัยประชุม” ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “Session” หมายถึง ระยะเวลาการประชุมรัฐสภาที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญว่าในปีหนึ่งรัฐสภาจะมีการประชุมกี่สมัย แต่ละสมัยมีระยะเวลานานเท่าใด โดยหลักการกำหนดสมัยประชุมต้องบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๘๙ ได้กำหนดสมัยประชุมเป็นครั้งแรก

ในการประชุมสภาสามารถแบ่งการประชุมเป็น ๒ สมัย คือ

๑. สมัยประชุมสามัญ เป็นการกำหนดวันประชุมสภาโดยปกติในระยะเวลาหนึ่งปี ซึ่งระยะเวลาของสมัยประชุมจะกำหนดโดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี ๒๔๘๙ ถึงปี ๒๕๓๘ ได้บัญญัติให้สมัยประชุมสามัญมีกำหนดเวลา ๙๐ วัน แต่ในรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ และปี ๒๕๕๐ สมัยประชุมสามัญ มีกำหนดระยะเวลา ๑๒๐ วัน แต่สามารถขยายระยะเวลาได้

อย่างไรก็ตามสมัยประชุมสามัญสามารถแบ่งออกได้ ๒ ลักษณะ คือ สมัยประชุมสามัญทั่วไป และสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ โดยมีการแยกสมัยประชุมครั้งแรกในรัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๔๐ ในการแยกสมัยประชุม ทั้งสองลักษณะดังกล่าว มีเจตนารมณ์เพื่อให้การทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาในการตรากฎหมายมีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ดีในการดำเนินการประชุมทั้งสองสมัยประชุมมีความแตกต่างกันกล่าวคือ

๑.๑ สมัยประชุมสามัญทั่วไป เป็นสมัยประชุมที่รัฐสภาสามารถดำเนินการในเรื่องใดๆ ที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา ได้ทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น เช่น การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล และเรื่องอื่นๆ ที่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องพิจารณาในการประชุมสมัยสามัญนิติบัญญัติ

๑.๒ สมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ เป็นสมัยประชุมที่รัฐสภาสามารถดำเนินการประชุมได้เฉพาะกรณี ที่บัญญัติไว้ในหมวดที่ ๒ ว่าด้วยพระมหากษัตริย์ ตามรัฐธรรมนูญการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ หรือร่างพระราชบัญญัติ การอนุมัติพระราชกำหนด การให้ความเห็นชอบหนังสือสัญญา การเลือกหรือการให้ความเห็นชอบบุคคลดำรงตำแหน่ง การถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง การตั้งกระทู้ถาม และการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เว้นแต่รัฐสภาจะมีมติให้พิจารณาเรื่องอื่นใดด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

๒. สมัยประชุมวิสามัญ เป็นการประชุมรัฐสภาในกรณีพิเศษนอกเหนือไปจากสมัยประชุมสามัญที่มี ขึ้นเป็นปกติ ซึ่งรัฐธรรมนูญได้กำหนดเงื่อนไขในการเปิดสมัยประชุมวิสามัญของรัฐสภา ดังนี้

- เมื่อมีความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งรัฐ พระมหากษัตริย์จะทรงเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุม สมัยวิสามัญได้โดยทรงตราพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมสมัยวิสามัญตามคำแนะนำของฝ่ายบริหาร

- สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา ทั้งสองสภารวมกันหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีจำนวนไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๓ ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภามีสิทธิเข้าชื่อร้องขอให้ นำความกราบบังคมทูลเพื่อมีพระบรมราชโองการประกาศเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญได้ โดยมีประธานรัฐสภาเป็นผู้นำความกราบบังคมทูลและลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ

ความแตกต่างที่สำคัญ คือ ในระหว่างสมัยประชุมสามัญทั่วไป สภาสามารถพิจารณาได้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับงานของสภา แต่ในระหว่างสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัตินั้น สภาสามารถพิจารณาได้ เฉพาะเรื่องที่เป็นหลักๆ ของกระบวนการนิติบัญญัติเท่านั้น เช่น การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ กรณีที่บัญญัติไว้ในหมวดพระมหากษัตริย์ การอนุมัติพระราชกำหนด การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ และการตั้งกระทู้ถาม เป็นต้น

รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา

คำว่า “รัฐพิธี” หมายถึง งาน หรือพิธี ที่รัฐบาลกราบบังคมทูลขอพระมหากรุณาธิคุณเพื่อทรงรับไว้เป็นงานรัฐพิธี มีหมายกำหนดการซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นองค์ประธานในพิธีหรือจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ผู้แทนพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธาน โดยมีคณะบุคคลฝ่ายรัฐที่เป็น “แม่งาน” เฝ้ารับเสด็จ

ในความหมายของรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา รวมความถึง สภาผู้แทนราษฎร สภาผู้แทน พฤฒสภา สภาร่างรัฐธรรมนูญ และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งมีชื่อแตกต่างกันไปตามรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับ ย่อมบ่งบอก ได้ว่า “รัฐ” เป็นฝ่ายดำเนินการ โดยมีพระมหากษัตริย์ หรือพระรัชทายาท หรือผู้แทนพระองค์ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นองค์ประธาน เพื่อเป็นการพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ผู้แทนของปวงชนชาวไทย เข้าเฝ้าฯ อย่างเป็นทางการ ก่อนปฏิบัติหน้าที่

รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา ถือว่าเป็นพิธีการที่สำคัญที่สุดของรัฐสภา ได้มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๒๘ ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงเรียกประชุมรัฐสภาทรงเปิดและทรงปิดประชุม ” และตามมาตรา ๑๒๗ วรรคหนึ่ง “จะเสด็จพระราชดำเนินมาทรงทำรัฐพิธีเปิดประชุมสมัยสามัญทั่วไปครั้งแรก คือ ภายในสามสิบวันนับแต่วันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้มีการเรียกประชุมรัฐสภา เพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรกด้วยพระองค์เอง หรือจะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระรัชทายาทซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว หรือผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้แทนพระองค์มาทำรัฐพิธีก็ได้”

การเรียกประชุมสภา

การเรียกประชุมสภา หมายถึง การเรียกให้สมาชิกรัฐสภามาประชุมร่วมกัน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ด้านนิติบัญญัติตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญนั้น กำหนดให้อำนาจในการเรียกประชุมรัฐสภาเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา

ขั้นตอนการเรียกประชุมสภา

เริ่มต้นเมื่อมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว มิได้หมายความว่า สมาชิกจะนัดเวลากันมานั่งประชุมกันได้ทันที หากแต่ต้องรอจนกว่าจะมีการเรียกประชุมก่อน ตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๒๗ “กำหนดให้มีการเรียกประชุมรัฐสภา เพื่อให้สมาชิกรัฐสภามาประชุมครั้งแรกภายใน ๓๐ วัน นับจากวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร”

เหตุที่รัฐธรรมนูญต้องกำหนดเวลาว่า จะต้องเรียกประชุมภายในสามสิบวัน ก็เพื่อมิให้ฝ่ายบริหาร หรือรัฐบาลซึ่งรักษาการอยู่ ถือโอกาสบริหารประเทศไปเรื่อยๆ โดยไม่ดำเนินการให้มีการเรียกประชุม เพราะเมื่อสภายังไม่เริ่ม ประชุม การตั้งนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้ และเป็นเหตุให้รัฐบาลชุดเดิมต้องรักษาการอยู่ต่อไป

ในการเรียกประชุม รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่า “พระมหากษัตริย์ทรงเรียกประชุมรัฐสภา เปิดและปิดประชุม โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา” ในทางปฏิบัติ คณะรัฐมนตรีจะเป็นผู้ดำเนินการจัดทำร่างพระราชกฤษฎีกากราบบังคมทูลขึ้นไปเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย

เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมเป็นครั้งแรกแล้ว พระมหากษัตริย์จะได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงทำรัฐพิธีเปิดประชุมสมัยประชุมครั้งแรก ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ด้วยพระองค์เอง หรืออาจโปรดเกล้าฯ ให้พระรัชทายาทที่บรรลุนิติภาวะแล้วเป็นผู้แทนพระองค์ มาทำรัฐพิธีก็ได้ ซึ่งบรรดาสมาชิกของทั้งสองสภา รวมทั้งคณะรัฐมนตรีและบรรดาทูตานุทูต จะต้องแต่งเต็มยศไปยืนเฝ้าโดยพร้อมเพรียงกัน เพื่อร่วมในรัฐพิธี และรับฟังพระราชดำรัส ซึ่งส่วนใหญ่จะทรงให้สติในการทำงานตามภาระหน้าที่ของรัฐสภาในเรื่องต่างๆ

หลังจากนั้น จึงเป็นเรื่องของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จะเชิญสมาชิกให้มาประชุมกัน เป็นครั้งแรก เพื่อเลือกตั้งประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งถือว่าเป็นประธานรัฐสภาด้วยแล้ว การดำเนินการต่อจากนั้น จึงเป็นเรื่อง ของประธานสภาที่จะเรียกประชุมและกำหนดวาระของการประชุมต่อไป

ส่วนวุฒิสภา ก็จะสามารถดำเนินการประชุม เพื่อทำหน้าที่ของตนนับแต่นั้นเป็นต้นไป แต่ที่ผ่านมาเนื่องจากอายุของสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาจะเหลื่อมกันอยู่ ดังนั้นในขณะที่สภาผู้แทนราษฎรเริ่มต้นใหม่ วุฒิสภาจะมีอยู่ก่อนแล้ว และไม่จำเป็นต้องดำเนินการเลือกตั้งประธาน หรือรองประธานกันใหม่ จึงสามารถทำงานได้ทันที

ในการทำงานของสภานั้น สภามิได้ทำงานกันตลอดเวลาหรือตลอดทั้งปี หากแต่ทำงานกันเป็นสมัย ๆ เรียกว่า “สมัยประชุม” ซึ่งตามรัฐธรรมนูญกำหนดว่าในปีหนึ่งให้มี ๒ สมัย สมัยละ ๑๒๐ วัน ใน ๑ ปี จะประกอบด้วยสมัยประชุมสามัญทั่วไป และสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติโดยวันประชุมครั้งแรกให้ถือเป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญทั่วไป ส่วนวันเริ่มสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้กำหนด เมื่อสภาผู้แทนราษฎร กำหนดวันเริ่มสมัยประชุมสมัยที่สองเป็นวันใดแล้ว จะถือว่าวันนั้น เป็นวันเปิดสมัยประชุมสมัยที่สองของปีตลอดไป จนกว่าสภาผู้แทนราษฎรจะสิ้นอายุหรือครบวาระ

กรณีที่การเริ่มประชุมครั้งแรกมีเวลาจนถึงสิ้นปีปฏิทินไม่ถึง ๑๕๐ วัน อาจไม่มีการประชุมสมัยสามัญ นิติบัญญัติสำหรับปีนั้นก็ได้

นอกจากสมัยประชุมสามัญปีละ ๒ สมัยดังกล่าวแล้ว ในกรณีที่มีความจำเป็นรีบด่วนจะต้องกระทำ เพื่อประโยชน์แห่งรัฐ คณะรัฐมนตรีอาจนำความกราบบังคมทูล เพื่อพระมหากษัตริย์จะทรงเรียกประชุม รัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญได้ หรือถ้าคณะรัฐมนตรีไม่ดำเนินการให้มีการเปิดประชุมสมัยวิสามัญ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะร่วมกับสมาชิกวุฒิสภาหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่เพียงสภาเดียว จะเข้าชื่อกันให้ได้จำนวนไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๓ ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา เพื่อขอให้นำความกราบบังคมทูล เพื่อมีพระบรมราชโองการประกาศเรียกประชุมรัฐสภาเป็นการประชุมสมัยวิสามัญก็ได้เช่นกัน

โปรดสังเกตว่าสมาชิกวุฒิสภา แต่เพียงสภาเดียว ไม่มีสิทธิเข้าชื่อกันขอให้มีการเรียกประชุมสมัย วิสามัญได้แต่มีสิทธิร่วมลงชื่อกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ การประชุมสมัยวิสามัญโดยปกติ จะไม่มีการกำหนดเวลาไว้ สุดแต่เสร็จภารกิจเมื่อใด ก็จะมีพระราชกฤษฎีปิดสมัยประชุมเมื่อนั้น

เมื่อสภาผู้แทนราษฎร มีประธานและรองประธานแล้ว สิ่งแรกที่จะต้องทำก็คือ การประชุมเพื่อกำหนดวันเริ่มต้นของสมัยประชุมสามัญสมัยที่สอง พร้อมทั้งกำหนดวันประชุมของสภาผู้แทนราษฎร ว่าจะประชุมกันสัปดาห์ละกี่วัน และในเวลาใด เท่าที่ผ่านมาส่วนใหญ่ สภาผู้แทนราษฎรจะกำหนดให้มีการประชุมสัปดาห์ละ ๒ วัน คือ ในวันพุธและวันพฤหัสบดี โดยมักจะตกลงกันว่า ในวันพุธจะพิจารณาแต่เฉพาะกฎหมาย ส่วนวันพฤหัสบดีจะพิจารณาในทุกเรื่องที่บรรจุในระเบียบวาระ

ในสมัยประชุมแต่ละสมัยในทุกปี ภาระหน้าที่ของสภาจะแตกต่างกัน กล่าวคือ ในสมัยประชุมสมัยสามัญครั้งที่ ๑ ของปี ซึ่งเรียกว่า “สมัยประชุมสามัญทั่วไป” ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา สามารถพิจารณาหรือดำเนินการเรื่องใดๆ ที่อยู่ในภาระหน้าที่ได้ทุกเรื่อง ส่วนสมัยประชุมสามัญครั้งที่ ๒ ของปี ซึ่งเรียกว่า “สมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ” สภาทั้งสองจะทำหน้าที่ได้เฉพาะบางเรื่อง เช่น เรื่องที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ ร่างกฎหมาย การตั้งกระทู้ถาม การแต่งตั้งและถอดถอนบุคคล เป็นต้น จะพิจารณาญัตติอื่นใด โดยเฉพาะญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ได้ เหตุที่กำหนดห้ามไว้เช่นนี้ ก็เนื่องจากไม่ประสงค์จะให้มีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจกันทุกสมัยประชุม หรือมีการพิจารณาญัตติต่าง ๆ จนไม่มีเวลาพิจารณาร่างกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ข้อห้ามดังกล่าว มิได้ห้ามไว้อย่างเด็ดขาด หากมีความจำเป็น รัฐสภาอาจมีมติด้วยคะแนนเกิน กึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งสองสภา ให้พิจารณาเรื่องอื่นใดก็ได้

ระยะเวลา ๑๒๐ วันของแต่ละสมัยประชุมนั้น ถ้ามีความจำเป็นก็อาจมีการตราพระราชกฤษฎีกา เพื่อขยายเวลาออกไปอีกก็ได้ โดยเป็นดุลพินิจของฝ่ายบริหาร แต่จะดำเนินการปิดสมัยประชุม ก่อนครบกำหนดไม่ได้ เว้นแต่รัฐสภาจะให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ฝ่ายบริหาร ถือโอกาสปิดสมัยประชุมก่อนกำหนด จนทำให้ฝ่ายนิติบัญญัติ คือ สภา ไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้

เมื่อครบ ๑๒๐ วันของแต่ละสมัยประชุม จะมีการตราพระราชกฤษฎีกาปิดสมัยประชุมขึ้น โดยเลขาธิการของสภาผู้แทนราษฎรจะนำพระราชกฤษฎีกานั้น มาอ่านในที่ประชุมของแต่ละสภา ในวันประชุมวันสุดท้ายของแต่ละสมัยประชุม ในขณะที่เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรอ่านพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ทุกคนในที่ประชุมจะต้องยืนขึ้น เพื่อรับฟังพระราชกฤษฎีกาด้วยอาการสำรวมตลอดเวลาที่อ่าน

เมื่อปิดสมัยประชุมสภาแล้ว ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา จะมีการประชุมไม่ได้ แต่ไม่ห้ามกรรมาธิการชุดต่างๆ ที่จะประชุมเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตน

บทสรุปปิดท้าย

ดังนั้น การประชุมสภา จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา เพราะถือเป็นกลไกการทำงานของสมาชิกรัฐสภา ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจ อันจะก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการปฏิบัติงานทั้ง ด้านนิติบัญญัติ ด้านการควบคุมการทำงานของฝ่ายบริหาร รวมถึงการทำงานในด้านอื่นๆ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้

อ้างอิง


หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ

กาญจนารัตน์ ลีวิโรจน์. คู่มือสมาชิกวุฒิสภา เล่มที่ ๑. (นนทบุรี : สถาบันพระปกเกล้า), ๒๕๔๙.

คณิน บุญสุวรรณ. ปทานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทย. (กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ), ๒๕๔๘.

ชัยอนันต์ สมุทวาณิช และเศรษฐพร คูศรีพิทักษ์. กลไกรัฐสภา. (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์พิฆเณศ), ๒๕๑๘.

ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์. รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี ๒๔๗๕ – ๒๕๑๗. (กรุงเทพฯ : ช.ชุมนุมช่าง), ๒๕๑๗.

มนตรี รูปสุวรรณ. กฎหมายรัฐสภา. พิมพ์ครั้งที่ ๖. (กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง), ๒๕๔๓.

มังกร ชัยชนะดารา. วิธีดำเนินการประชุมแบบรัฐสภา. (กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพาณิช), ๒๕๒๐.

สถาพร สระมาลีย์. กฎหมายรัฐสภา. (กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง), ๒๕๔๙.

สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา. การประชุมสภา. (กรุงเทพฯ : กองการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา), ม.ป.ป..

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. ระบบงานรัฐสภา ๒๕๕๕. (กรุงเทพมหานคร : สำนัก การพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร), ๒๕๕๕.

สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม. “ความหมายของพระราชพิธี รัฐพิธี พิธี”, [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : npt.onab.go.th/sara/pitee.doc‎. (เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๗)

อุมาสีว์ สอาดเอี่ยม. “ลักษณะการประชุม,” รัฐสภาสาร. ๓๔(๔) : ๕ – ๓๓ ; เมษายน ๒๕๒๙.

บรรณานุกรม

คณิน บุญสุวรรณ. “ตอนที่ ๑๐ “สมัยประชุม””, [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://www.kaninboonsuwan.com/terminology/ct010.html. (เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๗)

คณิน บุญสุวรรณ, ปทานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทย. (กรุงเทพฯ : สุขภาพใจ), ๒๕๔๘.

ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์. รัฐสภาไทยในรอบสี่สิบสองปี ๒๔๗๕ – ๒๕๑๗. (กรุงเทพฯ : ช.ชุมนุมช่าง), ๒๕๑๗.

มีชัย ฤชุพันธุ์, “การเปิด – ปิดสมัยประชุมรัฐสภา”, [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://www.meechaithailand.com/ver1/?module=3&action=view&type=10&mcid=21. (เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๗)

วัชราพร ยอดมิ่ง. “การประชุมสภา”, [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : http://www.kpi.ac.th. (เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๗)

สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม. “ความหมายของพระราชพิธี รัฐพิธี พิธี”, [ออนไลน์]. สืบค้นจาก : npt.onab.go.th/sara/pitee.doc‎. (เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๗)

สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา. การประชุมสภา. (กรุงเทพฯ : กองการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา), ม.ป.ป..

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. เปรียบเทียบรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๗๕ – ๒๕๔๙. (กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร), ๒๕๕๑.

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย, (กรุงเทพมหานคร : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร), ๒๕๕๑.

ดูเพิ่มเติม

• รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐

• ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๕๑

• ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๑

• ข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. ๒๕๔๔