20 ตุลาคม พ.ศ. 2501

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า

ผู้เรียบเรียง ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 เป็นวันที่จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และคณะทหาร ได้ยึดอำนาจการปกครองล้มรัฐธรรมนูญ

การยึดอำนาจวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นั่นว่าไปแล้วก็เป็นการยึดอำนาจที่สะดวกและง่ายดายมาก เพราะรัฐบาลในตอนนั้นมีพลเอกถนอม กิตติขจร ลูกน้องของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี และท่านก็ได้ลาออกจากนายกรัฐมนตรีไปล่วงหน้าแล้วตั้งแต่ตอนเที่ยงวันของวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501

ตอนนั้นทางการยังได้ประกาศให้ประชาชนรู้ล่วงหน้าอีกว่าจะมีข่าวสำคัญในคืนนั้น

ครั้นเวลาประมาณ 3 ทุ่มของวันนั้น คณะผู้ยึดอำนาจที่มีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก เป็นหัวหน้าก็นำทหารเข้ายึดอำนาจล้มรัฐธรรมนูญ การยึดอำนาจคราวนี้ต่างกับเมื่อครั้งที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจในวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2500 เพราะได้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ. 2475 แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495 ที่ได้ใช้มาเป็นเวลาประมาณ 7 ปี และได้ยกเลิกพรรคการเมือง

วันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2502 จึงได้ประกาศใช้ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. 2502

การยึดอำนาจล้มรัฐธรรมนูญและพรรคการเมืองครั้งนี้ผู้ยึดอำนาจเรียกว่า “การปฏิวัติ” โดยต้องการที่จะหยุดการปกครองแบบประชาธิปไตยไว้ชั่วคราว ดังปรากฏความคิดเห็นของผู้ที่ใกล้ชิดจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อยู่ในหนังสือประวัติและผลงานของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ดังจะขอยกส่วนหนึ่งมาบันทึกไว้ให้อ่านกัน

“ในเวลาที่ทำรัฐประหารในวันที่ 16 กันยายน 2500 นั้น มิได้มีการแก้ไขรูปแบบการปกครองบ้านเมืองใหม่ คงปล่อยให้ดำเนินการไปตามแบบเดิมกล่าวคือ ยังคงมีรัฐสภา มีพรรคการเมือง ให้เสรีภาพหนังสือพิมพ์ที่จะวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลได้อย่างเต็มที่และกว้างขวาง มีสหพันธ์และสหบาลกรรมการที่ชอบหยุดงานและสไตรก์เมื่อไม่พอใจนายจ้างเหล่านี้เป็นต้น...”

สิ่งที่ท่านบ่นว่ากันมานั้น ที่จริงก็เป็นสิ่งปกติที่มีอยู่ในระบอบประชาธิปไตย แต่ท่านผู้มีทั้งกำลังและอำนาจ ท่านเบื่อและไม่อยากทน ดังมีความเห็นต่อมาอีกว่า

“...ทั้ง ๆ ที่รัฐบาลได้พยายามรักษาสถานการณ์เป็นอย่างดีที่สุดแล้ว ก้ไม่อาจสำเร็จได้ ทั้งนี้เพราะกลไกต่าง ๆ ไม่ดีนั่นเอง ที่ร้ายที่สุดก็คือผู้แทนราษฎรทั้งหลายพยายามแย่งกันเป็นรัฐมนตรีและข้าราชการการเมือง โดยขู่รัฐบาลว่าถ้าไม่แต่งตั้งแล้วก็จะถอนตัวออกจากพรรคสนับสนุนรัฐบาลกันไปตั้งพรรคฝ่ายค้านขึ้นใหม่อีก”

ผู้รักประชาธิปไตยและเคยสนับสนุนจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในการยึดอำนาจเมื่อปี พ.ศ. 2500 กลับถูกจับเข้าคุก ผู้คนต้องปิดปากเงียบ ไม่กล้าคุยเกี่ยวกับการเมือง

แต่การยึดอำนาจในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2501 ก็เป็นการยึดอำนาจครั้งสุดท้ายของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ครั้นมีธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรออกมาใช้เป็นกติกาแล้ว จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ก็เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาลเสียเองเลย

หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 มาแล้ว เชื่อกันว่าจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ น่าจะเป็นผู้นำการเมืองที่มีอำนาจมากที่สุด เพราะนอกจากจะเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทหารบก ที่ทำให้มีอำนาจคุมทหารได้ทั้งทางนิตินัยและพฤฒินัยทั่วประเทศแล้ว ท่านยังเป็นหัวหน้ารัฐบาลควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาแห่งชาติที่ถือว่าเป็น “ซูเปอร์กระทรวง” คุมงานสำคัญที่เอามาจากกระทรวงอื่น ๆ

ทางด้านอำนาจนิติบัญญัตินั้นสภาร่างรัฐธรรมนูญซึ่งทำหน้าที่นิติบัญญัติอยู่ด้วยนั้น สมาชิกทั้งหมดก็มาจากการแต่งตั้งและตัวประธานสภาก็เป็นนายทหารที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์

ส่วนทางด้านอำนาจตุลาคม จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีอำนาจตามมาตรา 17 ของธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรในฐานะนายกรัฐมนตรีโดยมติคณะรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งการหรือกระทำการใด ๆ ได้

ที่ไม่เคยมีมาก่อนก็คือ นายกรัฐมนตรีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยังดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมตำรวจอีกด้วย

อย่างนี้ก็น่าจะมีอำนาจมากมายเหลือคณา

แต่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้มีอำนาจมากมาย ก็อยู่มาได้ถึงวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2506 เท่านั้นเพราะถึงแก่อสัญกรรมในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี อันเนื่องมาจากโรคภัยไข้เจ็บนั่นเอง