จับสลาก
ผู้เรียบเรียง สุริยา ฆ้องเสนาะ
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จเร พันธุ์เปรื่อง
24 มิถุนายน 2475 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฯ ฉบับแรก คือ พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 จากนั้นมาจนถึงปัจจุบันประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมาแล้ว ทั้งสิ้น 18 ฉบับ ทั้งนี้ สาระสำคัญของรัฐธรรมนูญได้กำหนดให้มีรัฐสภาประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา ทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัติ และมีข้อบังคับการประชุมสภาเป็นเครื่องมือในการดำเนินการให้การประชุมสภาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย อนึ่ง การจับสลากเป็นสาระหนึ่งที่สำคัญที่ถูกบัญญัติไว้ทั้งในรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับการประชุมสภามาโดยตลอด
ความหมายและความสำคัญ
การจับสลากเป็นกลไกและวิธีการอย่างหนึ่งซึ่งมีการใช้กันมาตั้งแต่อดีต เพื่อแก้ไขหรือตัดสินชี้ขาดประเด็นปัญหาในกรณีหาข้อสรุปและชี้ขาดไม่ได้ และในการดำเนินงานทางการเมือง การจับสลากก็ถูกนำมาใช้ในบางเรื่องและปรากฏอยู่ในกำหมายสำคัญหลายฉบับ อาทิ รัฐธรรมนูญกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง กฎหมายว่าด้วยพรรคการเมือง แม้แต่ข้อบังคับการประชุม โดยมีสาระสำคัญต่อไปนี้
สาระสำคัญเกี่ยวกับคำว่าจับสลากที่ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญ
กรณีให้สมาชิกวุฒิสภาออกจากตำแหน่งโดยวิธีการจับสลากตามรัฐธรรมนูญ มีดังต่อไปนี้
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521
- รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2489
มาตรา 26 สมาชิกแห่งพฤฒสภา มีกำหนดเวลาคราวละหกปี เฉพาะในวาระเริ่มแรกเมื่อครบกำหนดสามปี ให้มีการเปลี่ยนสมาชิกกึ่งหนึ่งโดยวิธีจับสลาก แต่ผู้ที่ออกไปมีสิทธิได้รับเลือกตั้งกลับเข้ามาอีก
ถ้าตำแหน่งสมาชิกว่างลงเพราะเหตุอื่นนอกจากถึงคราวออกตามวาระ ให้รัฐสภาเลือกบุคคลผู้มีคุณสมบัติตามความในมาตรา 25 เข้าเป็นสมาชิกแทนตามวิธีการที่กำหนดในกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกพฤฒสภา สมาชิกที่เข้ามาแทนนั้นย่อมอยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่ากำหนดเวลาของผู้ซึ่งตนแทน[1]
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2492
มาตรา 83 สมาชิกภาพแห่งสมาชิกวุฒิสภามีกำหนดเวลาคราวละหกปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งเฉพาะในวาระเริ่มแรกเมื่อครบกำหนดสามปีให้มีการเปลี่ยนสมาชิกเป็นจำนวนกึ่งหนึ่งโดยวิธีจับสลาก
พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะเลือกและแต่งตั้งผู้ที่ออกตามวาระเป็นสมาชิกอีกได้[2]
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511
มาตรา 79 สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภามีวาระคราวละหกปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง
ในวาระเริ่มแรกเมื่อครบกำหนดสามปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งสมาชิกเป็นครั้งแรก ให้มีการจับสลากเพื่อให้สมาชิกพ้นจากตำแหน่งเป็นจำนวนกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมด และให้ถือว่าการสิ้นสุดแห่งสมาชิกภาพโดยการจับสลากเป็นการออกตามวาระด้วย
พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะแต่งตั้งผู้ที่ออกตามวาระ เป็นสมาชิกอีกได้[3]
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2517
มาตรา 108 สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภามีกำหนดเวลาคราวละหกปี นับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งเฉพาะในวาระเริ่มแรก เมื่อครบกำหนดสามปี ให้สมาชิกออกจากตำแหน่งเป็นจำนวนกึ่งหนึ่งโดยวิธีจับสลาก[4]
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2521
มาตรา 85 สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภามีกำหนดเวลาคราวละหกปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง ในวาระเริ่มแรกเมื่อครบสองปีให้สมาชิกออกจากตำแหน่งเป็นจำนวนหนึ่งในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดโดยวิธีจับสลาก และเมื่อครบสี่ปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง ให้สมาชิกวุฒิสภาในจำนวนที่เหลือจากการจับสลากออกเมื่อครบสองปีแรก ออกจากตำแหน่งเป็นจำนวนหนึ่งในสองของจำนวนดังกล่าวโดยวิธีจับสลาก หากจำนวนที่คำนวณได้มีเศษให้ปัดเศษทิ้ง และให้ถือว่าการสิ้นสุดแห่งสมาชิกภาพโดยการจับสลากเป็นการออกตามวาระด้วย
พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะแต่งตั้งผู้ที่ออกตามวาระเป็นสมาชิกอีกก็ได้[5]
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2534
มาตรา 95 สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภามีกำหนดเวลาคราวละหกปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง เมื่อครบกำหนดสามปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งครั้งแรกตามมาตรานี้ ให้สมาชิกวุฒิสภาจำนวนกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดตามมาตรา 94 วรรคสองออกจากตำแหน่งโดยวิธีจับสลาก และให้ถือว่าการสิ้นสุดแห่งสมาชิกภาพโดยการจับสลากเป็นการออกตามวาระ และพระมหากษัตริย์จะได้ทรงแต่งตั้งสมาชิกเท่าจำนวนที่ต้องออกไปเข้าแทนที่ เมื่อครบหกปีสมาชิกส่วนที่เหลือจากการจับสลากต้องพ้นจากตำแหน่ง และจะมีการแต่งตั้งสมาชิกจำนวนเท่าที่ต้องออกไปเข้ามาแทนที่ต่อไปทุกสามปี
พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะทรงแต่งตั้งผู้ที่ออกตามวาระเป็นสมาชิกอีกได้[6]
จากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่ได้กล่าวมานั้น การออกจากตำแหน่งตามวาระโดยวิธีการจับสลากของสมาชิกวุฒิสภา มีข้อสรุปดังต่อไปนี้
1. ที่มาของสมาชิกวุฒิสภา มาจากการแต่งตั้ง มักจะมีการจับสลากออกเพื่อเป็นการหมุนเวียน
2. อายุของวุฒิสภามักจะกำหนดไว้ 6 ปี ซึ่งเมื่อวาระการดำรงตำแหน่งยาวนานกว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น รัฐธรรมนูญจึงต้องบัญญัติให้มีการจับสลากออกหนึ่งในสามหรือกึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมดเท่าที่มีอยู่
3. จับสลากออกตามวาระสามารถได้รับการแต่งตั้งกลับเข้ามาใหม่ได้
สาระสำคัญคำว่าจับสลากที่ปรากฏอยู่ในกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง
กรณีที่มีผู้สมัครได้คะแนนเสียงเลือกตั้งเท่ากันให้ใช้วิธีจับสลากเพื่อให้ได้ผู้ได้รับเลือกตั้ง เช่น
พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทน พ.ศ. 2511
มาตรา 61 ในเขตเลือกตั้งซึ่งมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนได้หนึ่งคน ผู้สมัครผู้ใดได้คะแนนมากที่สุด ให้ผู้สมัครนั้นเป็นผู้ได้รับเลือกตั้ง ในกรณีที่คะแนนมากที่สุดเท่ากัน ให้ผู้สมัครซึ่งได้คะแนนเท่ากันจับสลากกันว่าผู้ใดได้รับเลือกตั้งหรือไม่
ในเขตเลือกตั้งซึ่งมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนได้มากกว่าหนึ่งคน ให้ผู้สมัครซึ่งได้คะแนนมากตามลำดับลงมาเป็นผู้ได้รับเลือกตั้ง
ภายในบังคับแห่งวรรคสอง ในกรณีที่มีผู้สมัครหลายคนได้คะแนนเท่ากันจนเป็นเหตุให้ไม่สามารถเรียงลำดับผู้ได้รับเลือกตั้งตามจำนวน ก็ให้ผู้ที่ได้คะแนนเท่ากันนั้นจับสลากเพื่อให้ได้จำนวนผู้ได้รับเลือกตั้งครบจำนวนที่เขตเลือกตั้งนั้นมีการเลือกตั้งได้
การจับสลากตามความในมาตรานี้ ให้กระทำต่อหน้าผู้ว่าราชการจังหวัดตามวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง[7]
พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522
มาตรา 77 ในเขตเลือกตั้งซึ่งมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้หนึ่งคน ผู้สมัครของพรรคการเมืองใดได้คะแนนมากที่สุด ให้ผู้สมัครของพรรคการเมืองนั้นเป็นผู้ได้รับเลือกตั้ง ในกรณีที่คะแนนมากที่สุดเท่ากันให้ผู้สมัครของพรรคการเมืองนั้นเป็นผู้ได้คะแนนเท่ากันจับสลากกันว่าผู้ใดเป็นผู้ได้รับเลือกตั้ง
ในเขตเลือกตั้งซึ่งมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้มากกว่าหนึ่งคน ให้ผู้สมัครของพรรคการเมืองซึ่งได้คะแนนมากตามลำดับลงมาตามจำนวนที่จะพึงมีการเลือกตั้งได้เป็นผู้ได้รับเลือกตั้ง
ในกรณีที่มีผู้สมัครของพรรคการเมืองหลายคนได้คะแนนเท่ากัน จนเป็นเหตุให้ไม่สามารถเรียงลำดับผู้ได้รับเลือกตั้งได้ตามวรรคสอง ให้ผู้สมัครที่ได้คะแนนเท่ากันนั้นจับสลากเพื่อให้ได้รับเลือกตั้งครบจำนวนตามที่เขตเลือกตั้งนั้นจะพึงมีการเลือกตั้งได้[8]
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550
มาตรา 89 ภายใต้บังคับมาตรา 88 ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ให้ผู้สมัครซึ่งได้คะแนนเลือกตั้งมากที่สุดเป็นผู้ได้รับเลือกตั้ง แต่ในเขตเลือกตั้งที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งได้มากกว่าหนึ่งคน ให้ผู้สมัครซึ่งได้คะแนนเลือกตั้งมากที่สุดเรียงตามลำดับลงมาในเขตเลือกตั้งนั้นเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งตามจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะพึงมีในเขตเลือกตั้งนั้น
ในกรณีที่มีผู้สมัครได้คะแนนเลือกตั้งเท่ากันอันเป็นเหตุให้ไม่สามารถเรียงลำดับผู้ที่ได้รับเลือกตั้งได้ตามวรรคหนึ่งให้ผู้สมัครที่ได้คะแนนเลือกตั้งเท่ากันจับสลากเพื่อให้ได้รับเลือกตั้งครบจำนวนที่จะพึงมีในเขตเลือกตั้งนั้น ซึ่งต้องกระทำต่อหน้าที่คณะกรรมาธิการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งนั้นตามวิธีการที่คณะกรรมาการการเลือกตั้งกำหนด
จากกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งดังกล่าว ได้กล่าวถึงกรณีที่มีผู้สมัครได้คะแนนเสียงเลือกตั้งเท่ากันอันเป็นเหตุให้ไม่สามารถเรียงลำดับผู้ที่ได้รับเลือกตั้ง ให้ผู้สมัครที่ได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งเท่ากันจับสลากเพื่อให้ได้ผู้ได้รับเลือกตั้ง[9]
สาระสำคัญคำว่าจับสลากที่ปรากฏอยู่ในกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมือง
กรณีที่ชื่อ ชื่อย่อ หรือภาพเครื่องหมายของพรรคการเมือง ซ้ำหรือพ้องหรือคล้ายคลึงกัน เช่น
พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2524
มาตรา 12 ในกรณีที่นายทะเบียนเห็นว่าชื่อพรรคการเมืองหรือภาพเครื่องหมายพรรคการเมืองของคณะผู้เริ่มจัดตั้งพรรคการเมืองตามที่ปรากฏในหนังสือเชิญชวนซ้ำหรือพ้องหรือมีลักษณะคล้ายคลึงกันกับชื่อพรรคการเมืองหรือภาพเครื่องหมายพรรคการเมืองของคณะผู้เริ่มจัดตั้งของพรรคการเมืองอื่นที่ได้แจ้งไว้ในวันเดียวกัน ให้นายทะเบียนดำเนินการต่อไปนี้
(1) มีหนังสือบอกกล่าวไปยังคณะผู้เริ่มจัดตั้งพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเพื่อให้ทำความตกลงกันว่าคณะผู้เริ่มจัดตั้งพรรคการเมืองคณะใดจะเป็นผู้มีสิทธิใช้ชื่อพรรคการเมืองหรือภาพเครื่องหมายพรรคการเมืองนั้น เมื่อได้ตกลงกันเป็นประการใดแล้ว ให้นายทะเบียนรับแจ้งตามที่ได้ตกลงกัน การตกลงกันดังกล่าวให้กระทำให้เสร็จสิ้นภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกกล่าว
(2) ในกรณีที่คณะผู้เริ่มจัดตั้งพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องยืนยันไม่ยอมตกลงกันหรือเมื่อพ้นกำหนดเวลาดังกล่าวใน (1) แล้วยังตกลงกันไม่ได้ ให้นายทะเบียนพิจาณารับแจ้งจากคณะผู้เริ่มจัดตั้งพรรคการเมืองที่เห็นว่ามีสิทธิที่จะใช้ชื่อหรือภาพเครื่องหมายพรรคการเมืองนั้นดีกว่า โดยพิจารณาตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
(ก) คณะผู้เริ่มจัดตั้งพรรคการเมืองคณะใดมีจำนวนผู้เริ่มจัดตั้งพรรคการเมืองซึ่งเคยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหลังสุดในนามของพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองตามหลักฐานใบสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เคยใช้ชื่อหรือใช้ภาพเครื่องหมายพรรคการเมืองนั้นมากกว่า คณะผู้เริ่มจัดตั้งพรรคการเมืองคณะนั้นย่อมมีสิทธิดีกว่า
(ข) ในกรณีที่จำนวนผู้เริ่มจัดตั้งพรรคการเมืองตาม (ก) มีจำนวนเท่ากัน คณะผู้เริ่มจัดตั้งพรรคการเมืองคณะใดมีจำนวนผู้เริ่มจัดตั้งพรรคการเมืองซึ่งเคยสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหลังสุดในนามของพรรคการเมืองหรือกลุ่มการเมืองตามหลักฐานใบสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เคยใช้ชื่อหรือใช้ภาพเครื่องหมายพรรคการเมืองนั้นมากกว่า คณะผู้เริ่มจัดตั้งพรรคการเมืองคณะนั้นย่อมมีสิทธิดีกว่า
(ค) ในกรณีที่จำนวนผู้เริ่มจัดตั้งพรรคการเมืองตาม (ข) มีจำนวนเท่ากันให้นายทะเบียนดำเนินการจับสลากเพื่อให้ได้ผู้มีสิทธิใช้ชื่อพรรคการเมืองหรือภาพเครื่องหมายพรรคการเมืองโดยเปิดเผย
ให้นายทะเบียนบอกกล่าวการรับแจ้งตาม (2) เป็นหนังสือไปยังคณะผู้เริ่มจัดตั้งพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่รับแจ้ง[10]
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550
มาตรา 15 ในกรณีที่นายทะเบียนเห็นว่าชื่อ ชื่อย่อ หรือภาพเครื่องหมายของพรรคการเมืองตามที่ปรากฏในเอกสารการจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมือง ซ้ำ หรือพ้อง หรือมีลักษณะคล้ายคลึงกับชื่อ ชื่อย่อ หรือภาพเครื่องหมายของพรรคการเมืองซึ่งผู้จดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองอื่นได้ยื่นจดแจ้งไว้ในวันและเวลาเดียวกัน ให้นายทะเบียนดำเนินการดังต่อไปนี้
(1) แจ้งเป็นหนังสือไปยังผู้ยื่นจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเพื่อให้ทำความตกลงกันว่าผู้จดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองคณะใดจะเป็นผู้มีสิทธิใช้ชื่อ ชื่อย่อ หรือภาพเครื่องหมายพรรคการเมืองนั้น เมื่อได้ตกลงกันเป็นประการใดแล้ว และไม่เป็นการซ้ำหรือพ้องหรือมีลักษณะคล้ายคลึงกัน ให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งรับจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองตามที่ได้ตกลงกัน การตกลงกันดังกล่าวให้กระทำให้เสร็จสิ้นภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งจากนายทะเบียน
(2) ในกรณีที่ผู้ยื่นจดแจ้งการตั้งพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องยืนยันไม่ยอมตกลงกัน หรือเมื่อพ้นกำหนดเวลาตาม (1) แล้ว ยังตกลงกันไม่ได้ ให้นายทะเบียนดำเนินการจับสลากโดยเปิดเผยเพื่อให้ได้ผู้มีสิทธิใช้ชื่อ ชื่อย่อ หรือภาพเครื่องหมายของพรรคการเมืองนั้น และให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งรับการจดแจ้งจากผู้ยื่นจดแจ้งจัดตั้งพรรคการเมืองตามผลของการจับสลากนั้น
ให้นายทะเบียนแจ้งผลการดำเนินการตาม (2) เป็นหนังสือไปยังผู้ยื่นจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ทราบผลตาม (2)
จากกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมือง กล่าวถึงกรณีที่พรรคการเมืองใช้ชื่อ ชื่อย่อ หรือภาพเครื่องหมายของพรรคการเมือง ซ้ำหรือพ้อง หรือคล้ายคลึงกัน ใช้วิธีจับสลากโดยเปิดเผยเพื่อให้ได้ผู้มีสิทธิใช้ชื่อ ชื่อย่อ หรือเครื่องหมายของพรรคการเมืองนั้น[11]
สาระสำคัญคำว่าจับสลากที่ปรากฏอยู่ในข้อบังคับการประชุม
กรณีการเลือกประธานสภาโดยวิธีการจับสลากตามข้อบังคับการประชุมของสภาเช่น
ข้อบังคับการประชุมสภาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา พ.ศ. 2517
ข้อ 4 ในการเลือกประธานสภา สมาชิกแต่ละคนมีสิทธิเสนอชื่อสมาชิกได้หนึ่งชื่อ การเสนอนั้นต้องมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่าห้าคน
ถ้ามีการเสนอชื่อผู้ใดเพียงชื่อเดียว ให้ถือว่าผู้นั้นได้รับเลือก ถ้ามีการเสนอชื่อหลายชื่อ ก็ให้มีการลงคะแนนเลือกโดยการเขียนชื่อบนแผ่นกระดาษที่เจ้าหน้าที่ได้จัดให้ ใส่ลงในภาชนะที่จัดไว้เพื่อการนั้น ในการออกเสียงลงคะแนน ให้เรียกชื่อสมาชิกตามลำดับอักษรชื่อให้ออกเสียงลงคะแนนเป็นรายคนในการตรวจนับคะแนน ให้ประธานของที่ประชุมเชิญสมาชิกไม่น้อยกว่าห้าคนเป็นผู้ตรวจนับ ผู้ได้คะแนนสูงสุดเป็นผู้ได้รับเลือก ถ้าได้คะแนนสูงสุดเท่กันหลายชื่อ ให้เลือกใหม่เฉพาะชื่อที่ได้คะแนนเท่ากัน แต่ถ้าคะแนนสูงสุดเท่ากันอีก ก็ให้ใช้วิธีจับสลาก
ให้ประธานประกาศชื่อผู้ได้รับเลือกต่อที่ประชุม[12]
ข้อบังคับการประชุมของวุฒิสภา พ.ศ. 2518
ข้อ 4 ในการเลือกประธานสภา สมาชิกแต่ละคนมีสิทธิเสนอชื่อได้หนึ่งชื่อ การเสนอนั้นต้องมีสมาชิกรับรอบไม่น้อยกว่าห้าคน
ถ้ามีการเสนอชื่อผู้ใดเดียวชื่อเดียว ให้ถือว่าผู้นั้นได้รับเลือก ถ้ามีการเสนอชื่อหลายชื่อ ก็ให้มีการลงคะแนนเลือกโดยการเขียนชื่อบนแผ่นกระดาษที่เจ้าหน้าที่จัดให้ ใส่ลงในภาชนะที่จัดไว้เพื่อการนั้น ในการออกเสียงลงคะแนน ให้เรียกชื่อสมาชิกตามลำดับอักษรชื่อให้ออกเสียงลงคะแนนเป็นรายคนในการตรวจนับคะแนน ให้ประธานของที่ประชุมเชิญสมาชิกไม่น้อยกว่าห้าคนเป็นผู้ตรวจนับ ผู้ได้คะแนนสูงสุดเป็นผู้ได้รับเลือก ถ้าได้คะแนนสูงสุดเท่ากันหลายชื่อ ให้เลือกใหม่เฉพาะชื่อที่ได้คะแนนเท่ากัน แต่ถ้าคะแนนสูงสุดเท่ากันอีก ก็ให้ใช้วิธีจับสลาก
ให้ประธานประกาศชื่อผู้ได้รับเลือกต่อที่ประชุม[13]
ข้อบังคับการประชุมของวุฒิสภา พ.ศ. 2527
ข้อ 5 ในการเลือกประธานสภา สมาชิกแต่ละคนมีสิทธิเสนอชื่อสมาชิกได้หนึ่งชื่อ การเสนอนั้นต้องมีสมาชิกรับรองไม่น้อยกว่าห้าคน
ถ้ามีการเสนอชื่อผู้ใดเพียงชื่อเดียว ให้ถือว่าผู้นั้นได้รับเลือก ถ้ามีการเสนอชื่อหลายชื่อก็ให้มีการลงคะแนนเลือกโดยการเขียนชื่อบนแผ่นกระดาษใส่ซองที่เจ้าหน้าที่จัดให้ใส่ลงในภาชนะที่จัดไว้เพื่อการนั้น ในการออกเสียงลงคะแนน ให้เรียกสมาชิกตามลำดับอักษรชื่อ ให้ออกเสียงลงคะแนนเป็นรายคน ในการตรวจนับคะแนน ให้ประธานของที่ประชุมเชิญสมาชิกไม่น้อยกว่าห้าคนเป็นผู้ตรวจนับ ผู้ได้คะแนนสูงสุดเป็นผู้ได้รับเลือก ถ้าได้คะแนนสูงสุดเท่ากันหลายชื่อ ให้เลือกใหม่เฉพาะชื่อที่ได้คะแนนเท่ากัน แต่ถ้าคะแนนสูงสุดเท่ากันอีก ก็ให้ใช้วิธีจับสลาก
ให้ประธานประกาศชื่อผู้ได้รับเลือกต่อที่ประชุม
ข้อบังคับการประชุมดังที่กล่าวมาได้กำหนดไว้เหมือน ๆ กันว่า ในการเลือกประธานสภานั้น หลังจากที่ออกเสียงโดยวิธีการเรียกชื่อตามลำดับอักษรแล้ว ผู้ได้คะแนนสูงสุดเป็นผู้ได้รับเลือก ถ้าได้คะแนนสูงสุดเท่ากันหลายชื่อให้เลือกใหม่ เฉพาะชื่อที่ได้คะแนนเท่ากัน แต่ถ้าคะแนนสูงสุดเท่ากันอีก ก็ให้ใช้วิธีการจับสลาก
ทั้งนี้ การเลือกประธานสภาโดยวิธีจับสลากในกรณีที่มีคะแนนเท่ากันนั้น ในปัจจุบันไม่ได้บัญญัติวิธีนี้ในข้อบังคับการประชุมแล้ว แต่ใช้การเลือกโดยให้ออกเสียงและลงคะแนนเป็นการลับ กรณีมีการเสนอชื่อหลายคนแทน[14]
สรุป
การจับสลากในอดีตตามข้อบังคับการประชุมเป็นวิธีการดำเนินงานแบบหนึ่งตามระบวนการทางรัฐสภาซึ่งเป็นวิธีการตัดสินในการเลือกประธานสภาในกรณีผู้ได้รับเลือกได้คะแนนสูงสุดเท่ากันซึ่งเป็นการตัดสินอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งปัจจุบันนี้ข้อบังคับการประชุมมิได้มีการจับสลากแล้ว ส่วนการจับสลากกรณีที่ชื่อ ชื่อย่อ หรือภาพเครื่องหมายของพรรคการเมือง ซ้ำหรือพ้อง หรือคล้ายคลึงกันตามกฎหมายว่าด้วยพรรคการเมืองนั้น เจตนารมณ์เพื่อต้องการแก้ไขปัญหาจากรณีที่พรรคการเองไม่สามารถตกลงกันได้ หรือพ้นระยะเวลาที่ได้กำหนดไว้ ส่วนกรณีที่มีผู้สมัครได้คะแนนเสียงเลือกตั้งเท่ากันตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งก็ให้ใช้วิธีการจับสลากเพื่อให้ได้ผู้รับเลือกตั้งเจตนารมณ์เพื่อต้องการตัดสินชี้ขาด และส่วนกรณีการออกจากตำแหน่งโดยวิธีจับสลากของสมาชิกวุฒิสภานั้น เจตนารมณ์เพื่อต้องการให้สมาชิกวุฒิสภาไม่ให้อยู่ในตำแหน่งนาน และเพื่อให้เกิดการสับเปลี่ยนหมุนเวียนเพื่อได้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถหลายด้านเข้ามากลั่นกรองกฎหมาย อันจะยังประโยชน์เกิดแก่ประเทศชาติต่อไป
อ้างอิง
- ↑ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. สรรสารรัฐธรรมนูญไทย. กรุงเทพฯ : บริษัทรุ่งศิลป์การพิมพ์, 2548 หน้า 90-91
- ↑ เรื่องเดียวกัน หน้า 213
- ↑ เรื่องเดียวกัน หน้า 325
- ↑ เรื่องเดียวกัน หน้า 424
- ↑ เรื่องเดียวกัน หน้า 591
- ↑ เรื่องเดียวกัน หน้า 700
- ↑ พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสภาผู้แทน พ.ศ. 2511 ราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ เล่มที่ 85 ตอนที่ 103 4 พฤศจิกายน 2511 หน้า 29-30
- ↑ พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผุ้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 ราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ เล่มที่ 96 ตอนที่ 12 3 กุมภาพันธ์ 2522 หน้า 32
- ↑ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ เล่ม 1 กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2550 หน้า 156-157
- ↑ พระราชบัญญัติพรรคการเมือง พ.ศ. 2524 ราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ เล่มที่ 98 ตอนที่ 111 8 กรกฎาคม 2524 หน้า 6-8
- ↑ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ เล่ม 1. กรุงเทพฯ : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, 2550 หน้า 24-25
- ↑ ข้อบังคับการประชุมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำหน้าที่รัฐสภา พ.ศ. 2517 ราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ เล่มที่ 91 ตอนที่ 186 6 พฤศจิกายน 2517 หน้า 18-19
- ↑ ข้อบังคับการประชุมของวุฒิสภา พ.ศ. 2518 ราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ เล่มที่ 92 ตอนที่ 68 28 มีนาคม 2527 หน้า 2
- ↑ ข้อบังคับการประชุมของวุฒิสภา พ.ศ. 2527 ราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ เล่มที่ 101 ตอนที่ 72 6 มิถุนายน 2529 หน้า 8
หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ
ศาสตราจารย์ ไพโรจน์ ชัยนาม. รัฐธรรมนูญบทกฎหมายและเอกสารสำคัญในทางการเมือง. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2519
สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา. รวมข้อบังคับการประชุมสภา. กรุงเทพฯ : สำนักงานเลขาธิการรัฐสภา, 2519
บรรณานุกรม
คณิน บุญสุวรรณ. ภาษาการเมืองในระบบรัฐสภา. กรุงเทพฯ : โอ.เอส.พริ้นติ้ง เฮ้าส์, 2533
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. สรรสารรัฐธรรมนูญไทย. กรุงเทพฯ : บริษัทรุ่งศิลป์การพิมพ์, 2548