ผลต่างระหว่างรุ่นของ "17 มีนาคม พ.ศ. 2518"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
หน้าที่ถูกสร้างด้วย ''''ผู้เรียบเรียง''' ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุต...'
 
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
 
บรรทัดที่ 12: บรรทัดที่ 12:
ในสมัยรัฐบาลของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นี้ นโยบายภายในประเทศที่มีผู้กล่าวถึงมากก็คือนโยบายทางเศรษฐกิจที่เรียกกันว่า[[นโยบาย “เงินผัน”]] ซึ่งเป็นการกระจายเงินงบประมาณจำนวนมากออกไปสร้างงานในชนบท โดยรัฐบาลได้เสนอเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่วันแถลงนโยบายของรัฐบาลว่าเป็นแผนปฏิบัติการในพื้นที่ชนบทเพื่อบรรเทาความทุกข์ยากเฉพาะหน้าของคนในชนบท โดยมอบหมายให้สภาตำบลใช้งบประมาณเงินผันจ้างแรงงานทำงานในพื้นที่
ในสมัยรัฐบาลของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นี้ นโยบายภายในประเทศที่มีผู้กล่าวถึงมากก็คือนโยบายทางเศรษฐกิจที่เรียกกันว่า[[นโยบาย “เงินผัน”]] ซึ่งเป็นการกระจายเงินงบประมาณจำนวนมากออกไปสร้างงานในชนบท โดยรัฐบาลได้เสนอเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่วันแถลงนโยบายของรัฐบาลว่าเป็นแผนปฏิบัติการในพื้นที่ชนบทเพื่อบรรเทาความทุกข์ยากเฉพาะหน้าของคนในชนบท โดยมอบหมายให้สภาตำบลใช้งบประมาณเงินผันจ้างแรงงานทำงานในพื้นที่


แต่บ้านเมืองในสมัยรัฐบาลของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช นั้นเป็นยุคที่ประชาธิปไตยกำลังเบ่งบานเต็มที่หลัง[[เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516]] และหลังการมี[[รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517]] ดังนั้น จึงมี[[การประท้วง]]จากกลุ่ม ต่าง ๆ เป็นปกติ ทั้งการประท้วงของนักศึกษาและประท้วงของชาวนา ที่ไป[[ขัดแย้ง]]กับการดำเนินงานของเจ้าพนักงาน เมืองรัฐบาลได้[[ประนีประนอม]]กับการประท้วงของกลุ่มพลังในสังคมมาก ก็เกิดมีการประท้วงจากเจ้าพนักงานของรัฐ คือ ตำรวจ จนถึงขั้น[[รุนแรง]]ที่ตำรวจเองได้เดินขบวนไปที่บ้านพักของนายกรัฐมนตรี พังรั้วบ้านเข้าไปในบ้าน ถึงขนาดทำลายทรัพย์สินในบ้านเสียหาย แต่นายกรัฐมนตรีผู้นี้ก็ยกโทษความผิดและอโหสิกรรมให้แก่ตำรวจที่ทำความผิดครั้งนี้ทั้งหมด
แต่บ้านเมืองในสมัยรัฐบาลของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช นั้นเป็นยุคที่ประชาธิปไตยกำลังเเบ่งบานเต็มที่หลัง[[เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516]] และหลังการมี[[รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517]] ดังนั้น จึงมี[[การประท้วง]]จากกลุ่ม ต่าง ๆ เป็นปกติ ทั้งการประท้วงของนักศึกษาและประท้วงของชาวนา ที่ไป[[ขัดแย้ง]]กับการดำเนินงานของเจ้าพนักงาน เมืองรัฐบาลได้[[ประนีประนอม]]กับการประท้วงของกลุ่มพลังในสังคมมาก ก็เกิดมีการประท้วงจากเจ้าพนักงานของรัฐ คือ ตำรวจ จนถึงขั้น[[รุนแรง]]ที่ตำรวจเองได้เดินขบวนไปที่บ้านพักของนายกรัฐมนตรี พังรั้วบ้านเข้าไปในบ้าน ถึงขนาดทำลายทรัพย์สินในบ้านเสียหาย แต่นายกรัฐมนตรีผู้นี้ก็ยกโทษความผิดและอโหสิกรรมให้แก่ตำรวจที่ทำความผิดครั้งนี้ทั้งหมด


นายกรัฐมนตรีผู้เก่งกล้าทางการเมือง ผู้เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่มีเสียงเพียง 18 เสียง ควบคุมรัฐบาลผสม 12 พรรคอยู่ได้มาจนถึงต้นปี พ.ศ. 2519 [[นายกรัฐมนตรี]]ก็ปรับคณะรัฐมนตรีเสียใหม่ ในวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2519 แต่ถึงจะปรับคณะรัฐมนตรีแล้วความขัดแย้งภายในรัฐบาลก็ยังคงไม่ดีนัก นายกรัฐมนตรีจึงเสนอเรื่อง[[ยุบสภา]]ใน[[วันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2519]] และดำเนิน[[การเลือกตั้ง]]ทั่วไปในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งที่นายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช แพ้ ไม่ได้รับเลือกตั้งในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร
นายกรัฐมนตรีผู้เก่งกล้าทางการเมือง ผู้เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่มีเสียงเพียง 18 เสียง ควบคุมรัฐบาลผสม 12 พรรคอยู่ได้มาจนถึงต้นปี พ.ศ. 2519 [[นายกรัฐมนตรี]]ก็ปรับคณะรัฐมนตรีเสียใหม่ ในวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2519 แต่ถึงจะปรับคณะรัฐมนตรีแล้วความขัดแย้งภายในรัฐบาลก็ยังคงไม่ดีนัก นายกรัฐมนตรีจึงเสนอเรื่อง[[ยุบสภา]]ใน[[วันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2519]] และดำเนิน[[การเลือกตั้ง]]ทั่วไปในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งที่นายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช แพ้ ไม่ได้รับเลือกตั้งในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 13:37, 22 ตุลาคม 2556

ผู้เรียบเรียง ศาสตราจารย์พิเศษ นรนิติ เศรษฐบุตร


ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต


วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2518 เป็นวันที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หัวหน้าพรรคกิจสังคมที่มีเสียงในสภาของพรรคตัวเอง เพียง 18 เสียง นับเป็นพรรคที่มีเสียงมากเป็นอันดับที่ 5 ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีของรัฐบาลผสมที่มีพรรคกิจสังคมเป็นแกนนำ พรรคที่มาร่วมรัฐบาลนั้นมีอยู่ด้วยกัน 12 พรรค และเมื่อนายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรีเข้าแถลงนโยบายต่อรัฐบาลและขอความไว้วางใจ ปรากฏว่ารัฐบาลของท่านก็ได้รับเสียงไว้วางใจถึง 140 เสียงต่อ 124 เสียงที่ไม่ไว้วางใจ

แม้จะมีเสียงในพรรคของตัวเองน้อย แต่การที่เป็นนักการเมืองเก่าที่มีบารมีมาก นายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช จึงทำงานบริหารประเทศได้ดีพอสมควร ทั้งในระยะเวลาที่ท่านเข้าเป็นหัวหน้ารัฐบาลนั้น สถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ค่อนข้างจะตึงเครียด เพราะฝ่ายนิยมคอมมูนิสต์คือเขมรแดงได้อำนาจในกรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา และกองทัพของเวียดนามเหนือก็เข้ายึดกรุงไซ่งอน ประเทศเวียดนามใต้ได้ในเดือนมิถุนายน ทางรัฐบาลไทยจึงได้ดำเนินนโยบายติดต่อกับสาธารณรัฐประชาชนจีน และสามารถสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ในเดือนกรกฏาคม พ.ศ. 2518 นั่นเอง นับว่ารัฐบาลของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ดำเนินนโยบายต่างประเทศที่ทันต่อเหตุการณ์ และลดแรงบีบคั้นจากมหาอำนาจคอมมิวนิสต์ที่มีต่อประเทศไทยลงได้มาก

ในสมัยรัฐบาลของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นี้ นโยบายภายในประเทศที่มีผู้กล่าวถึงมากก็คือนโยบายทางเศรษฐกิจที่เรียกกันว่านโยบาย “เงินผัน” ซึ่งเป็นการกระจายเงินงบประมาณจำนวนมากออกไปสร้างงานในชนบท โดยรัฐบาลได้เสนอเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่วันแถลงนโยบายของรัฐบาลว่าเป็นแผนปฏิบัติการในพื้นที่ชนบทเพื่อบรรเทาความทุกข์ยากเฉพาะหน้าของคนในชนบท โดยมอบหมายให้สภาตำบลใช้งบประมาณเงินผันจ้างแรงงานทำงานในพื้นที่

แต่บ้านเมืองในสมัยรัฐบาลของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช นั้นเป็นยุคที่ประชาธิปไตยกำลังเเบ่งบานเต็มที่หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และหลังการมีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2517 ดังนั้น จึงมีการประท้วงจากกลุ่ม ต่าง ๆ เป็นปกติ ทั้งการประท้วงของนักศึกษาและประท้วงของชาวนา ที่ไปขัดแย้งกับการดำเนินงานของเจ้าพนักงาน เมืองรัฐบาลได้ประนีประนอมกับการประท้วงของกลุ่มพลังในสังคมมาก ก็เกิดมีการประท้วงจากเจ้าพนักงานของรัฐ คือ ตำรวจ จนถึงขั้นรุนแรงที่ตำรวจเองได้เดินขบวนไปที่บ้านพักของนายกรัฐมนตรี พังรั้วบ้านเข้าไปในบ้าน ถึงขนาดทำลายทรัพย์สินในบ้านเสียหาย แต่นายกรัฐมนตรีผู้นี้ก็ยกโทษความผิดและอโหสิกรรมให้แก่ตำรวจที่ทำความผิดครั้งนี้ทั้งหมด

นายกรัฐมนตรีผู้เก่งกล้าทางการเมือง ผู้เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองที่มีเสียงเพียง 18 เสียง ควบคุมรัฐบาลผสม 12 พรรคอยู่ได้มาจนถึงต้นปี พ.ศ. 2519 นายกรัฐมนตรีก็ปรับคณะรัฐมนตรีเสียใหม่ ในวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2519 แต่ถึงจะปรับคณะรัฐมนตรีแล้วความขัดแย้งภายในรัฐบาลก็ยังคงไม่ดีนัก นายกรัฐมนตรีจึงเสนอเรื่องยุบสภาในวันที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2519 และดำเนินการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2519 ซึ่งเป็นการเลือกตั้งที่นายกรัฐมนตรี ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช แพ้ ไม่ได้รับเลือกตั้งในเขตดุสิต กรุงเทพมหานคร