ผลต่างระหว่างรุ่นของ "นักศึกษาชุมนุมประท้วงกรณีมายาเกวซ"
หน้าที่ถูกสร้างด้วย ''''ผู้เรียบเรียง''' จุฬาพร เอื้อรักสกุล ---- '''ผู้ทรงคุ...' |
ลไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 33: | บรรทัดที่ 33: | ||
<references/> | <references/> | ||
[[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2501-2519]] | [[หมวดหมู่:เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองไทย สมัย พ.ศ. 2501-2519]] | ||
[[หมวดหมู่:จุฬาพร เอื้อรักสกุล]] |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 10:26, 4 ตุลาคม 2554
ผู้เรียบเรียง จุฬาพร เอื้อรักสกุล
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองศาสตราจารย์นรนิติ เศรษฐบุตร และ รองศาสตราจารย์ ดร.นิยม รัฐอมฤต
นักศึกษาชุมนุมประท้วงกรณี “มายาเกวซ”
เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 เวลาประมาณ 15.20 น. เรือมายาเกวซ (Mayaquez) ซึ่งเป็นเรือบรรทุกสินค้าของประเทศสหรัฐอเมริกาที่กำลังแล่นจากฮ่องกงมุ่งหน้ามาสัตหีบ จ. ชลบุรี ได้ถูกเรือของรัฐบาลกัมพูชาประชาธิปไตยจับในเขตน่านน้ำซึ่งอยู่ห่างจากฝั่งของประเทศกัมพูชาประมาณ 60 ไมล์ ขณะที่ถูกจับเรือดังกล่าวมีลูกเรือรวม 39 คน[1] รัฐบาลสหรัฐตอบโต้อย่างแข็งกร้าวและรวดเร็วเพราะเห็นเป็นโอกาสอันดีที่ผู้นำสหรัฐใช้เพื่อแสดงอำนาจและความเด็ดขาดให้ปรากฏแก่ชาวโลก เนื่องจากว่าเพียงแค่เดือนก่อนหน้านั้นทั้งกัมพูชาและเวียดนามใต้ได้พ่ายแพ้แก่กองกำลังคอมมิวนิสต์ซึ่งสร้างความสั่นคลอนอย่างยิ่งแก่เกียรติภูมิและความภูมิใจแห่งชาติของชาวอเมริกัน[2]
ปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐเพื่อชิงเรือคืนเกิดขึ้นโดยนาวิกโยธินอเมริกันจากเกาะโอกินาวาและอ่าวซูบิคที่ถูกส่งมายังฐานทัพอเมริกันที่อู่ตะเภาในวันที่ 13 พฤษภาคม ได้บุกจู่โจมชิงเรือและลูกเรือคืนในเช้ามืดวันที่ 14 พฤษภาคม โดยมีเครื่องบินรบจากฐานทัพอเมริกันที่อุดรธานีและโคราชออกปฏิบัติการร่วมด้วย และประสบความสำเร็จในเวลาประมาณ 11.00 น.
การใช้ดินแดนไทยเพื่อปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้เกิดขึ้นโดยขัดขืนเจตนารมณ์ของรัฐบาลไทยซึ่งมิได้รับรู้ปฏิบัติการครั้งนี้เลย ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้แจ้งแก่อุปทูตสหรัฐประจำประเทศไทยในวันที่ 13 พฤษภาคม แล้วว่า ไทยไม่ยินยอมให้ใช้ดินแดนไทยในทางการทหารใดๆ เพื่อตอบโต้กัมพูชา อย่างไรก็ตาม ก่อนการดำเนินภารกิจนี้ สถานทูตสหรัฐได้แจ้งแผนการใช้กำลังต่อพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดซึ่งเป็นผู้ที่สหรัฐติดต่อด้านการทหารเป็นประจำ[3] พลเอกเกรียงศักดิ์ได้ให้อนุญาตโดยมิได้แจ้งแก่รัฐบาลไทยๆซึ่งรับรู้สถานการณ์ภายหลังจากที่สหรัฐดำเนินภารกิจเสร็จสิ้นแล้ว ก็ได้แถลงว่าการกระทำครั้งนี้เป็นการละเมิดอธิปไตยไทยและได้ยื่นบันทึกประท้วงต่ออุปทูตสหรัฐพร้อมทั้งระบุให้ถอนนาวิกโยธินออกทั้งหมดภายใน 24 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ได้สร้างความสะเทือนกว้างไกล กลุ่มการเมืองต่างๆ ได้แสดงปฏิกิริยาประท้วงและประณามสหรัฐอย่างรวดเร็วและอย่างสอดคล้องกันซึ่งขัดแย้งกับบริบทการเมืองไทยขณะนั้นที่มีความขัดแย้งทางความคิดทางการเมืองอย่างรุนแรงในสังคม ดังที่บทความหนึ่งในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ วันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 ระบุว่า “ไม่มีครั้งใดในการเมืองไทยที่คนไทยทั้งชาติจะแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบรัฐบาลสหรัฐเท่าครั้งนี้” การเคลื่อนไหวเริ่มขึ้นในวันที่ 15 พฤษภาคม โดยพรรคการเมืองฝ่ายค้านทุกพรรคได้เรียกร้องให้เปิดประชุมสภาวิสามัญเพราะเห็นว่าเหตุการณ์เป็นภาวะคับขันและเกี่ยวข้องกับ เอกราชและอธิปไตยของชาติ หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับได้เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนความสัมพันธ์ไทย – อเมริกันเพื่อให้ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน แต่ปฏิกิริยาที่รุนแรงที่สุดมาจากศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยซึ่งได้จัดการชุมนุมประท้วงสหรัฐที่สนามหลวงและมีผู้เข้าร่วมหลายพันคน ต่อมาในวันที่ 16 พฤษภาคม คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ส่งบันทึกประท้วงถึงรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ พร้อมทั้งเรียกตัวเอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐกลับ และประกาศจะทบทวนสัญญาและข้อผูกพันระหว่างไทยกับสหรัฐที่มีทั้งหมด ส่วนการชุมนุมที่นำโดยศูนย์นิสิตฯ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้ขีดเส้นตายให้รัฐบาลสหรัฐต้องขอขมาภายใน 24 ชั่วโมง หลังจากที่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากรัฐบาลสหรัฐในวันต่อมากลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนขบวนจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มายังหน้าสถานทูตสหรัฐ อดีตผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ได้เข้าร่วมด้วย เช่น นายธีรยุทธ บุญมี และ นายเสกสรร ประเสริฐกุล เป็นต้น
ในวันที่ 3 มีผู้เข้าร่วมการชุมนุมจำนวนถึงกว่าหนึ่งหมื่นคน สหภาพกรรมกร 61 แห่งได้ประกาศเข้าร่วมด้วยและขู่จะทำลายธุรกิจของบริษัทที่ชาวอเมริกันเป็นเจ้าของถ้าสหรัฐไม่ขอโทษไทย นอกจากนี้ ยังมีการชุมนุมของนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และสงขลานครินทร์ด้วย ผู้ชุมนุมที่หน้าสถานทูตได้เผาหุ่นประธานาธิบดีฟอร์ดและ ดร.เฮนรี่ คิสซิงเจอร์ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐซึ่งมีความผิดตามคำพิพากษาของ “ศาลประชาชน” คือ “เป็นฆาตกรเลือดเย็น ฆ่าประชาชนหลายหมื่นคนในอินโดจีนและหลอกลวงประชาชนไทย” นายธีรยุทธ บุญมี ได้ประกาศด้วยว่าหากประธานาธิบดีฟอร์ดไม่ขอโทษประชาชนไทยเองภายใน 24 ชั่วโมง ก็จะเผาธงชาติอเมริกันซึ่ง “เป็นการทำลายสัญลักษณ์ของจักรวรรดินิยมอเมริกา” การชุมนุมได้เกิดความวุ่นวายขึ้นเมื่อผู้ชุมนุมกรูกันเข้าไปแกะตราสถานทูตซึ่งเป็นรูปนกอินทรีลงกระทืบและติดรูปอีแร้งแทน ป้ายชื่อสถานทูตถูกทับด้วยป้าย “ซ่องโจร” และขณะที่เหตุการณ์กำลังชุลมุนนั้น ก็มีคนกลุ่มหนึ่งแต่งตัวเป็นชาวเวียดนามกระชากธงชาติอเมริกันลงมาปัสสาวะรดกลางที่ชุมนุมขณะเกิดเหตุการณ์ทั้งหมดนั้น กำลังตำรวจที่ดูแลบริเวณนั้นมิได้เข้าจัดการใดๆ
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความวิตกกังวลแก่ผู้นำรัฐบาลมากและต้องการยุติการชุมนุมโดยเร็วที่สุด ดังนั้น เมื่ออุปทูตสหรัฐขอพบเพื่อหารือสถานการณ์ พลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีต่างประเทศก็ได้ขอให้ส่งสารขอโทษไทย ในเช้าวันต่อมาอุปทูตสหรัฐได้ยื่นบันทึกของอุปทูตต่อ พลตรีชาติชายซึ่งมีใจความบางตอนว่า “รัฐบาลสหรัฐเข้าใจถึงปัญหาที่ได้สร้างให้แก่รัฐบาลไทย...และขอย้ำว่ามีความเสียใจในเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ สหรัฐยังคงมีนโยบายที่จะเคารพต่ออธิปไตยและเอกราชของไทยเสมอ...และเหตุการณ์ทำนองนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก” พลตรีชาติชายกล่าวในเวลาต่อมาว่าพอใจต่อบันทึกนี้และคำขอโทษจากประธานาธิบดีฟอร์ดก็ไม่จำเป็นอีกต่อไปและได้ส่งสำเนาบันทึกแก่ผู้นำการชุมนุมที่หน้าสถานทูต กลุ่มผู้ชุมนุมได้ประกาศว่า “รัฐบาลสหรัฐได้ขอขมาแล้ว” และประกาศก่อนเลิกการชุมนุมว่าการต่อสู้ครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ส่วนจุดสุดท้ายคือการขับไล่ฐานทัพอเมริกันทั้งหมดออกไป
ปฏิกิริยารุนแรงของนักศึกษาและสาธารณชนต่อเหตุการณ์มายาเกวซเกิดขึ้นในบริบทการเมืองไทยหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ที่มีข้อเรียกร้องจากหลายกลุ่มให้รัฐบาลดำเนินนโยบายที่เป็นอิสระจากสหรัฐ กลุ่มเหล่านี้ซึ่งมีทั้งนักวิชาการ นักหนังสือพิมพ์ นักการเมืองพลเรือนและนักศึกษา มีทัศนะว่า นโยบายต่างประเทศที่ผูกพันกับสหรัฐอย่างแน่นแฟ้นนั้นถูกกำหนดโดยผู้นำทหารซึ่งมีผลประโยชน์สอดคล้องกับสหรัฐและเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นประโยชน์กับสหรัฐมากกว่า โดยเฉพาะฐานทัพและทหารอเมริกันในประเทศไทยก็คือสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกันที่ต้องให้หมดไปโดยเร็ว อีกทั้งทำให้ไทยสูญเสียอธิปไตยและไร้เกียรติภูมิประเทศ นักวิชาการ เช่น ดร. เขียน ธีระวิทย์ กล่าวใน พ.ศ. 2518 ว่า หากฐานทัพอเมริกันยังอยู่ต่อไป “จะสร้างความแตกแยกให้คนในชาติมากขึ้น อาจเกิดการตั้งขบวนการสังหารชาวอเมริกันและทหารอเมริกันในไทย เพราะคนไทยทุกวันนี้มีความเกลียดชังทหารอเมริกัน” ส่วนนักศึกษาฝ่ายซ้ายกลุ่มหนึ่งในเวลานั้นก็ได้ผลิตงานเขียนหรือกล่าวเสมอในที่สาธารณะว่า สหรัฐเป็น “จักรวรรดินิยม” ที่เอาเปรียบประเทศเล็กทั่วไปรวมทั้งไทยด้วย
การชุมนุมของนักศึกษาครั้งนี้ดูเหมือนประสบความสำเร็จเพราะรัฐบาลได้ตอบโต้สหรัฐอย่างแข็งกร้าว อย่างไรก็ตาม การตอบโต้ของรัฐบาลยังเป็นเพราะสาเหตุอื่นด้วย กล่าวคือ ผู้นำพลเรือนกลุ่มหนึ่งก็มีทัศนะว่าจะต้องปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ไทย – อเมริกันที่มีลักษณะ “ลูกพี่ – ลูกน้อง” และเน้นด้านการทหารให้มีลักษณะที่สมดุลมากขึ้น เหตุการณ์ “มายาเกวซ” จึงเป็นโอกาสที่จะแสดงความเป็นตัวของตัวเองแก่สหรัฐและประเทศเพื่อนบ้านอินโดจีนที่รัฐบาลกำลังพยายามสร้างไมตรีด้วย นอกจากนี้ก็เป็นโอกาสที่รัฐบาลจะมีบทบาทในเรื่องความมั่นคงที่ก่อนหน้านั้นถือเป็นเรื่องของฝ่ายทหารที่รัฐบาลพลเรือนช่วงหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม แทบไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ก็ทำให้รัฐบาลไทยอยู่ในฐานะลำบากเพราะฝ่ายทหารยังคงมีอำนาจในการเมืองไทยและต้องการความช่วยเหลือด้านการทหารจากสหรัฐต่อไป ขณะเดียวกัน สหรัฐยังคงเป็นมหาอำนาจที่ผู้นำไทยทุกกลุ่มให้ความสำคัญมากที่สุดและหากจำเป็นก็ยังคงหวังพึ่งพามากที่สุดด้วย ดังนั้น รัฐบาลจึงยุติเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างรวดเร็วโดยการยอมรับ “สารแสดงความเสียใจ” จากอุปทูตอเมริกันประจำประเทศไทยที่มิใช่ “คำขอโทษ” จากรัฐบาลอเมริกัน[4]
ที่มา
1. จุฬาพร เอื้อรักสกุล, กรณีมายาเกวซ : ศึกษาการตัดสินนโยบายในภาวะวิกฤตการณ์, วิทยานิพนธ์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2529.
2. Walter LaFeber, America, Russia, and the Cold War, 1945-1990, McGraw – Hill: Inc., 1991.
อ้างอิง
- ↑ Time, 26 May, 1975, p.8. ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์วารสารรวมทั้งการวิเคราะห์ในที่นี้ทั้งหมดอ้างอิงใน จุฬาพร เอื้อรักสกุล, กรณีมายาเกวซ : ศึกษาการตัดสินนโยบายในภาวะวิกฤตการณ์, วิทยานิพนธ์ภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2529
- ↑ Walter LaFeber, America, Russia, and the Cold War, 1945-1990, (McGraw - Hill, Inc., 1991), pp. 281 – 282.
- ↑ พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ให้สัมภาษณ์ในเวลาต่อมา “...ผมได้รับคำบอกจากเจ้าหน้าที่ชั้นสูงสหรัฐฯ ว่านาวิกโยธินอเมริกันจะมาขึ้นบกในเวลา 8.00 น. ที่อู่ตะเภา โปรดได้อนุญาต ขณะนั้นเป็นเวลา 22.00 น. ซึ่งผมไม่อาจจัดประชุมคณะรัฐมนตรีได้ ผมจึงบอกให้เขาทำไป ถ้าผมขอรัฐบาลแล้วรัฐบาลปฏิเสธ อะไรจะเกิดขึ้น?....”, Asiaweek, 22 November, 1985, p. 32.
- ↑ สัมภาษณ์ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมท, 24 กรกฎาคม 2528 และพลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ, 19 มิถุนายน 2528 โปรดดูรายละเอียดในจุฬาพร เอื้อรักสกุล, อ้างแล้ว.