ผลต่างระหว่างรุ่นของ "แปลก พิบูลสงคราม"
สร้างหน้าใหม่: '''ผู้เรียบเรียง''' ชนิดา จรรโลงศิริชัย '''ผู้ทรงคุณวุฒิประจ... |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 7: | บรรทัดที่ 7: | ||
[[ภาพ:แปลก_พิบูลสงคราม.JPG]] | [[ภาพ:แปลก_พิบูลสงคราม.JPG]] | ||
นายกรัฐมนตรีคนที่ | นายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ของประเทศไทยที่มีเวลาดำรงตำแหน่ง รวมกันมากที่สุดของประเทศไทย เป็นระยะเวลา 14 ปี 11 เดือน 18 วัน รวม 8 สมัย รวมทั้งมีนโยบายที่สำคัญคือ การมุ่งมั่นพัฒนาประเทศไทย ให้มีความเจริญรุ่งเรืองทัดเทียมนานาอารยะประเทศ มีการปลุกระดมให้คนไทยรู้สึกรักชาติ โดยออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วย "รัฐนิยม" หลายอย่าง ซึ่งบางอย่างได้ประกาศเป็นกฎหมายในภายหลัง หลายอย่างกลายเป็นวัฒนธรรมของชาติ เช่น การรำวง ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย รวมทั้งเป็นผู้เปลี่ยนชื่อจาก "ประเทศสยาม" เป็น "ประเทศไทย" และเป็นผู้เปลี่ยน "เพลงชาติไทย" มาเป็นเพลงที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ท่านผู้นั้นคือ '''จอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศ แปลก พิบูลสงคราม''' หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า '''"จอมพล ป."'''<ref>'''จอมพล ป. พิบูลสงคราม,''' (ข้อมูลออนไลน์) สืบค้นจาก http://th.wikipedia.org/wiki วันที่ 5 ตุลาคม 2552 เวลา 10.30 นาฬิกา | ||
</ref> | |||
==ประวัติ== | ==ประวัติ== | ||
จอมพล ป. พิบูลสงคราม เดิมชื่อ '''แปลก ขีตตะสังคะ''' เกิดเมื่อวันที่ | จอมพล ป. พิบูลสงคราม เดิมชื่อ '''แปลก ขีตตะสังคะ''' เกิดเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2440 ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2507 เป็นบุตรนายขีด และนางสำอางค์ ขีตตะสังคะ ภริยาคือ ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม (เดิมนามสกุล "พันธุ์กระวี") | ||
จอมพล แปลก พิบูลสงคราม เข้าศึกษาขั้นต้นที่โรงเรียนกลาโหมอุทิศ โรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม จังหวัดนนทบุรี จากนั้นได้เข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยทหารบก กระทั่งสำเร็จการศึกษา เมื่อ พ.ศ. | จอมพล แปลก พิบูลสงคราม เข้าศึกษาขั้นต้นที่โรงเรียนกลาโหมอุทิศ โรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม จังหวัดนนทบุรี จากนั้นได้เข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยทหารบก กระทั่งสำเร็จการศึกษา เมื่อ พ.ศ. 2459 ขณะอายุ 19 ปี โดยได้รับยศร้อยตรี และเข้าประจำการที่กองพลที่ 7 จังหวัดพิษณุโลก จากนั้นไม่นานได้สอบเข้าโรงเรียนเสนาธิการได้เป็นที่ 1 และเดินทางไปศึกษาต่อที่โรงเรียนเสนาธิการทหารบก ประเทศฝรั่งเศส จนสำเร็จการศึกษา และกลับมารับราชการต่อไป กระทั่งได้ยศพันตรี มีบรรดาศักดิ์และราชทินนาม ที่ '''"หลวงพิบูลสงคราม"''' | ||
เมื่อวันที่ | เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 พันตรี หลวงพิบูลสงครามได้เข้าร่วมกับคณะราษฎร ในเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยได้เป็นกำลังสำคัญในสายทหาร และเมื่อปี พ.ศ. 2477 ท่านได้เลื่อนยศเป็นพันเอก และดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารบก | ||
ครั้นเมื่อ วันที่ | ครั้นเมื่อ วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481 ท่านได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต่อจากพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา โดยการลงมติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และในช่วงที่ดำรงตำแหน่งก็ได้เลื่อนยศเป็นพลตรี และเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม 2484 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพลตรีหลวงพิบูลสงคราม เป็นจอมพล แปลก พิบูลสงคราม (โดยได้ยกเลิกราชทินนามแบบเก่า)<ref>'''ราชกิจจานุเบกษา,''' พระบรมราชโองการ ประกาศ พระราชทานยศจอมพล จอมพลเรือ และจอมพลอากาศ (นายพลตรี หลวงพิบูลสงคราม), เล่ม 58, ตอน 0ก, 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2484, หน้า 981</ref> | ||
==บทบาทในทางการเมือง( | ==บทบาทในทางการเมือง<ref>'''ชีวิตและบทบาททางการเมือง,''' (ข้อมูลออนไลน์) สืบค้นจาก http://th.wikipedia.org/wiki วันที่ 5 ตุลาคม 2552 เวลา 11.30 นาฬิกา</ref>== | ||
จอมพล ป. พิบูลสงคราม มีชื่อจริงว่า แปลก เนื่องจากเป็นบุคคลที่มีหูทั้งสองข้างอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าตา ผิดไปจากบุคคลธรรมดา จึงถูกตั้งชื่อว่า แปลก นับตั้งแต่เกิด เมื่อขึ้นดำรงตำแหน่งสำคัญ ไม่ต้องการให้บุคคลอื่นเรียกชื่อตัวเองเช่นนั้น จึงใช้เป็นตัวอักษรย่อเป็น ป. นับตั้งแต่นั้น | จอมพล ป. พิบูลสงคราม มีชื่อจริงว่า แปลก เนื่องจากเป็นบุคคลที่มีหูทั้งสองข้างอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าตา ผิดไปจากบุคคลธรรมดา จึงถูกตั้งชื่อว่า แปลก นับตั้งแต่เกิด เมื่อขึ้นดำรงตำแหน่งสำคัญ ไม่ต้องการให้บุคคลอื่นเรียกชื่อตัวเองเช่นนั้น จึงใช้เป็นตัวอักษรย่อเป็น ป. นับตั้งแต่นั้น | ||
บรรทัดที่ 25: | บรรทัดที่ 26: | ||
จอมพล ป. เป็นหนึ่งในคณะนายทหารผู้ร่วมก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ โดยเป็นนายทหารรุ่นน้อง พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ๒ ปี ที่โรงเรียนนายร้อยทหารบก มีบทบาทสำคัญเริ่มจากเป็นแกนนำในการรัฐประหาร ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๖ และในการปราบกบฏบวรเดชเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๖ จนได้รับความไว้วางใจ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อมา | จอมพล ป. เป็นหนึ่งในคณะนายทหารผู้ร่วมก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ โดยเป็นนายทหารรุ่นน้อง พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ๒ ปี ที่โรงเรียนนายร้อยทหารบก มีบทบาทสำคัญเริ่มจากเป็นแกนนำในการรัฐประหาร ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๖ และในการปราบกบฏบวรเดชเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๖ จนได้รับความไว้วางใจ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อมา | ||
นับแต่จอมพล ป. ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในพ.ศ. ๒๔๘๑ ได้มีนโยบายในการสร้างชาติ ซึ่งมีแนวโน้มเป็นลัทธิชาตินิยม เช่น ออกกฎหมายคุ้มครอง อุตสาหกรรมภายในประเทศ มีการสงวนอาชีพบางอย่างไว้เฉพาะคนไทย และปลูกฝังให้ประชาชนนิยมใช้สินค้าไทย ด้วยคำขวัญว่า "ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ" รัฐบาลจอมพล ป. ได้เปลี่ยนแปลงประเพณีและวัฒนธรรมบางอย่าง เพื่อให้สอดคล้องกับการการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และให้เกิดความทันสมัย เช่น ประกาศให้ข้าราชการเลิกนุ่งผ้าม่วง เลิกสวมเสื้อราชปะแตน และให้นุ่งกางเกงขายาวแทน มีการยกเลิกบรรดาศักดิ์ และยศข้าราชการพลเรือน มีการเปลี่ยนชื่อประเทศจาก "สยาม" เป็น "ไทย" ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ และเปลี่ยนวันขึ้น ปีใหม่จากวันที่ ๑ เมษายน เป็นวันที่ ๑ มกราคมของทุกปี เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสากล โดยเริ่มเปลี่ยนในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ทำให้ ปี พ.ศ. ๒๔๘๓ มีเพียง ๙ เดือน มีการสร้างชาติด้วยวัฒนธรรมใหม่ โดยจัดตั้งสภาวัฒนธรรมแห่งชาติขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ เพื่อจัดระเบียบการดำเนินชีวิตของคนไทยให้เป็นแบบอารยะประเทศ โดยประกาศ รัฐนิยมจำนวน ๑๒ ฉบับ( | นับแต่จอมพล ป. ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในพ.ศ. ๒๔๘๑ ได้มีนโยบายในการสร้างชาติ ซึ่งมีแนวโน้มเป็นลัทธิชาตินิยม เช่น ออกกฎหมายคุ้มครอง อุตสาหกรรมภายในประเทศ มีการสงวนอาชีพบางอย่างไว้เฉพาะคนไทย และปลูกฝังให้ประชาชนนิยมใช้สินค้าไทย ด้วยคำขวัญว่า "ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ" รัฐบาลจอมพล ป. ได้เปลี่ยนแปลงประเพณีและวัฒนธรรมบางอย่าง เพื่อให้สอดคล้องกับการการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และให้เกิดความทันสมัย เช่น ประกาศให้ข้าราชการเลิกนุ่งผ้าม่วง เลิกสวมเสื้อราชปะแตน และให้นุ่งกางเกงขายาวแทน มีการยกเลิกบรรดาศักดิ์ และยศข้าราชการพลเรือน มีการเปลี่ยนชื่อประเทศจาก "สยาม" เป็น "ไทย" ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ และเปลี่ยนวันขึ้น ปีใหม่จากวันที่ ๑ เมษายน เป็นวันที่ ๑ มกราคมของทุกปี เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสากล โดยเริ่มเปลี่ยนในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ทำให้ ปี พ.ศ. ๒๔๘๓ มีเพียง ๙ เดือน มีการสร้างชาติด้วยวัฒนธรรมใหม่ โดยจัดตั้งสภาวัฒนธรรมแห่งชาติขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ เพื่อจัดระเบียบการดำเนินชีวิตของคนไทยให้เป็นแบบอารยะประเทศ โดยประกาศ รัฐนิยมจำนวน ๑๒ ฉบับ<ref>รัฐนิยม, (ข้อมูลออนไลน์) สืบค้นจาก http://th.wikipedia.org/wiki/ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2552 เวลา 14.00 นาฬิกา</ref> และสั่งห้ามประชาชนกินหมากโดยเด็ดขาด ให้ผู้หญิงเลิกนุ่งโจงกระเบน เปลี่ยนมานุ่งผ้าถุงแทน ให้สวมหมวก สวมรองเท้า โดยมีคำขวัญในสมัยนั้นว่า "มาลานำไทยสู่มหาอำนาจ" หากผู้หญิงคนใดไม่ใส่หมวกจะถูกตำรวจจับและปรับ และยังวางระเบียบการใช้คำแทนชื่อเป็นมาตรฐาน เช่น ฉัน ท่าน เรา มีคำสั่งให้ข้าราชการกล่าวคำว่า "สวัสดี" ในโอกาสแรกที่พบกัน และมีการตัดตัวอักษรที่ออกเสียงซ้ำกันจึงมีการเปลี่ยนแปลงการสะกดคำมากมาย เช่น กระทรวงศึกษาธิการ เขียนเป็น กระซวงสึกสาธิการ เป็นต้น | ||
เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒มีการก่อสร้างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในยุค จอมพล ป.พิบูลสงคราม ออกแบบโดยหม่อมหลวงปุ่ม มาลากุล ควบคุมการก่อสร้างจนแล้วเสร็จโดยศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ศิลปินผู้ปั้นอนุสาวรีย์คือ นายสิทธิเดช แสงหิรัญ ด้วยเหตุผลที่ว่า อนุสาวรีย์นี้เป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญทั้งมวล เป็นต้นว่า ถนนสายต่างๆที่จะออกจากกรุงเทพฯ ไปยังหัวเมือง ก็นับต้นทางจากอนุสาวรีย์นี้และเป็นการสนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงตั้งพระราชหฤทัยจะทำให้ถนนราชดำเนินกลางเป็นที่เชิดชูยิ่ง มีพิธีเปิดเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ โดยจอมพล ป.พิบูลสงครามกล่าวในพิธีเปิดอนุสาวรีย์ว่า "อนุสาวรีย์นี้จะเป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญก้าวหน้าทั้งมวล เป็นต้นว่า ถนนสายต่างๆ ที่จะออกจากกรุงเทพฯ ไปยังหัวเมืองก็จะนับต้นทางจากอนุสาวรีย์นี้ ถนนราชดำเนินซึ่งเป็นแนวของอนุสาวรีย์ ก็กำลังสร้างอาคารให้สง่างามเป็นที่เชิดชูเกียรติของประเทศ และเป็นการสนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช ที่ทรงตั้งพระราชหฤทัย จะทำให้ถนนนี้เป็นที่ เชิดชูยิ่ง"<ref>'''อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย,''' (ข้อมูลออนไลน์) สืบค้นจาก http://elecpit.rmutl.ac.th/index.php?topic=852.0 วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ เวลา ๑๔.๑๐ นาฬิกา</ref> | |||
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ เกิดสงครามอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส จากปัญหาเรื่องการใช้แม่น้ำโขงเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ระหว่างไทยกับอินโดจีน ซึ่งอยู่ในครอบครองฝรั่งเศสมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ โดยฝรั่งเศสไม่ยอมตกลงเรื่องการใช้ร่องน้ำลึกเป็นเส้นเขตแดน ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๓ ฝรั่งเศสส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดเมืองนครพนม การรบระหว่างฝรั่งเศสกับไทยจึงเริ่มขึ้น ฝรั่งเศสโจมตีไทยทางอรัญประเทศ รัฐบาล จอมพล ป. ส่งทหารไทยเข้าไปในอินโดจีนทางด้านเขมร แต่ในที่สุดญี่ปุ่นเสนอตัวเข้าไกล่เกลี่ย จนมีการส่งผู้แทนไปลงนามอนุสัญญาสันติภาพที่กรุงโตเกียว (Tokyo Convention) เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ในครั้งนั้นไทยได้ดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงคืน รวมทั้งทางใต้ตรงข้ามปากเซ คือ แขวงจัมปาศักดิ์ และดินแดนในเขมรที่เสียให้ฝรั่งเศสไปเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๐ กลับคืนมาด้วย และในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๔ พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้เป็นผู้วางศิลาฤกษ์ก่อสร้าง อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานระลึกถึงชัยชนะของไทยต่อฝรั่งเศส และ ๑ ปีต่อมา จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นผู้กระทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๕ | ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ เกิดสงครามอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส จากปัญหาเรื่องการใช้แม่น้ำโขงเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ระหว่างไทยกับอินโดจีน ซึ่งอยู่ในครอบครองฝรั่งเศสมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ โดยฝรั่งเศสไม่ยอมตกลงเรื่องการใช้ร่องน้ำลึกเป็นเส้นเขตแดน ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๓ ฝรั่งเศสส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดเมืองนครพนม การรบระหว่างฝรั่งเศสกับไทยจึงเริ่มขึ้น ฝรั่งเศสโจมตีไทยทางอรัญประเทศ รัฐบาล จอมพล ป. ส่งทหารไทยเข้าไปในอินโดจีนทางด้านเขมร แต่ในที่สุดญี่ปุ่นเสนอตัวเข้าไกล่เกลี่ย จนมีการส่งผู้แทนไปลงนามอนุสัญญาสันติภาพที่กรุงโตเกียว (Tokyo Convention) เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ในครั้งนั้นไทยได้ดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงคืน รวมทั้งทางใต้ตรงข้ามปากเซ คือ แขวงจัมปาศักดิ์ และดินแดนในเขมรที่เสียให้ฝรั่งเศสไปเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๐ กลับคืนมาด้วย และในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๔ พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้เป็นผู้วางศิลาฤกษ์ก่อสร้าง อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานระลึกถึงชัยชนะของไทยต่อฝรั่งเศส และ ๑ ปีต่อมา จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นผู้กระทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๕ | ||
บรรทัดที่ 36: | บรรทัดที่ 38: | ||
จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้รับอีกฉายาว่า "จอมพลกระดูกเหล็ก" เพราะมีชีวิตทางการเมืองอย่างเหลือเชื่อ เคยถูกลอบสังหารมาแล้วถึง ๓ ครั้ง แต่ก็รอดชีวิตมาได้ทุกครั้ง แม้กระทั่งในเหตุการณ์กบฏแมนฮัตตัน ที่ท่านถูกจี้ลงเรือศรีอยุธยา ถูกทิ้งระเบิดผ่านเตียงที่ท่านเคยนอนอยู่อย่างเฉียดฉิว ทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์ครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากนับร้อย จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายในการดำรงตำแหน่งทางการเมืองของท่าน คือ ในเย็นวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๐ เมื่อถูกพลเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายทหารรุ่นน้องอีกคนหนึ่งที่ท่านไว้ใจและมอบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกให้ กระทำการรัฐประหาร ซึ่งท่านได้หลบหนีไปด้วยรถยนต์ส่วนตัวกับผู้ติดตามเพียง ๒ คน โดยผ่านไปทางประเทศกัมพูชา ก่อนจะลี้ภัยทางการเมืองที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง ณ ที่นั่น ท่านและครอบครัวได้รับการต้อนรับอย่างดี ทั้งนี้เพราะทางญี่ปุ่นถือว่าเป็นท่านเป็นผู้ที่บุญคุณต่อญีปุ่น เพราะเป็นผู้ยินยอมให้ทหารญี่ปุ่นผ่านเข้าประเทศไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองด้วยดี ไม่ต้องมีการสู้รบยืดเยื้ออันรังแต่จะทำให้มีแต่ความสูญเสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย ซึ่งท่านก็ได้พำนักอยู่ที่นั่นจนตราบถึงแก่อนิจกรรม | จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้รับอีกฉายาว่า "จอมพลกระดูกเหล็ก" เพราะมีชีวิตทางการเมืองอย่างเหลือเชื่อ เคยถูกลอบสังหารมาแล้วถึง ๓ ครั้ง แต่ก็รอดชีวิตมาได้ทุกครั้ง แม้กระทั่งในเหตุการณ์กบฏแมนฮัตตัน ที่ท่านถูกจี้ลงเรือศรีอยุธยา ถูกทิ้งระเบิดผ่านเตียงที่ท่านเคยนอนอยู่อย่างเฉียดฉิว ทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์ครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากนับร้อย จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายในการดำรงตำแหน่งทางการเมืองของท่าน คือ ในเย็นวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๐ เมื่อถูกพลเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายทหารรุ่นน้องอีกคนหนึ่งที่ท่านไว้ใจและมอบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกให้ กระทำการรัฐประหาร ซึ่งท่านได้หลบหนีไปด้วยรถยนต์ส่วนตัวกับผู้ติดตามเพียง ๒ คน โดยผ่านไปทางประเทศกัมพูชา ก่อนจะลี้ภัยทางการเมืองที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง ณ ที่นั่น ท่านและครอบครัวได้รับการต้อนรับอย่างดี ทั้งนี้เพราะทางญี่ปุ่นถือว่าเป็นท่านเป็นผู้ที่บุญคุณต่อญีปุ่น เพราะเป็นผู้ยินยอมให้ทหารญี่ปุ่นผ่านเข้าประเทศไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองด้วยดี ไม่ต้องมีการสู้รบยืดเยื้ออันรังแต่จะทำให้มีแต่ความสูญเสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย ซึ่งท่านก็ได้พำนักอยู่ที่นั่นจนตราบถึงแก่อนิจกรรม | ||
==ตำแหน่งทางราชการที่สำคัญ ฯพณฯ เคยดำรงตำแหน่ง( | ==ตำแหน่งทางราชการที่สำคัญ ฯพณฯ เคยดำรงตำแหน่ง<ref>'''ตำแหน่งราชการที่สำคัญ,''' (ข้อมูลออนไลน์) สืบค้นจาก http://www.rta.mi.th/๒๒๑๔๐u/know/genplake.htm วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๕.๐๐ นาฬิกา</ref>== | ||
• ๒๕ กันยายน ๒๔๗๗ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม | • ๒๕ กันยายน ๒๔๗๗ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม | ||
บรรทัดที่ 92: | บรรทัดที่ 94: | ||
• ๑๒ กันยายน ๒๕๐๐ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | • ๑๒ กันยายน ๒๕๐๐ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | ||
==ระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี( | ==ระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี<ref>'''ระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง,''' (ข้อมูลออนไลน์) สืบค้นจาก http://www.cabinet.thaigov.go.th/pm_๐๓.htm วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๔.๒๐ นาฬิกา</ref>== | ||
สมัยที่ ๑ : คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๙ : ๑๖ ธันวาคม ๒๔๘๑ - ๖ มีนาคม ๒๔๘๕ | สมัยที่ ๑ : คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๙ : ๑๖ ธันวาคม ๒๔๘๑ - ๖ มีนาคม ๒๔๘๕ | ||
บรรทัดที่ 112: | บรรทัดที่ 114: | ||
==ผลงานทางด้านการเมือง== | ==ผลงานทางด้านการเมือง== | ||
จอมพลป. พิบูลสงครามเป็นหนึ่งในคณะราษฎร์ที่ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๔ และเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ คือ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสหกรณ์ และดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีรวม ๘ สมัย นับว่า ฯพณฯ เป็นนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งได้ยาวนานที่สุด และเป็นผู้ที่ได้ทำคุณประโยชน์ไว้ให้ประเทศชาติอย่างมาก<ref>'''ผลงานด้านการเมือง,''' (ข้อมูลออนไลน์) สืบค้นจาก http://www.pbps.ac.th/tem/jompol๓๓.htmlวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๔.๓๐ นาฬิกา</ref> อาทิ | |||
• เปลี่ยนชื่อ จากประเทศสยาม มาเป็น ประเทศไทย | • เปลี่ยนชื่อ จากประเทศสยาม มาเป็น ประเทศไทย | ||
• จัดตั้งหน่วยยุวชนทหาร และให้มีทหารหญิง | • จัดตั้งหน่วยยุวชนทหาร และให้มีทหารหญิง | ||
บรรทัดที่ 121: | บรรทัดที่ 124: | ||
• สร้างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ | • สร้างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ | ||
• การเรียกร้องดินแดนทางด้านอินโดจีนคืนจากฝรั่งเศส( | • การเรียกร้องดินแดนทางด้านอินโดจีนคืนจากฝรั่งเศส<ref>'''ผลงานด้านการเมือง,''' (ข้อมูลออนไลน์) สืบค้นจาก http://www.tsu.ac.th/coop/files/ptpopibul170607.doc วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๕.๓๐ นาฬิกา</ref> | ||
• การปลูกฝังความนิยมไทย และการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมไทยบางอย่าง เช่น การให้สตรีเลิกนุ่งโจงกระเบนแล้วหันมาสวมกระโปรงแทน สวมหมวกและรองเท้าก่อนออกจากบ้าน | • การปลูกฝังความนิยมไทย และการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมไทยบางอย่าง เช่น การให้สตรีเลิกนุ่งโจงกระเบนแล้วหันมาสวมกระโปรงแทน สวมหมวกและรองเท้าก่อนออกจากบ้าน | ||
บรรทัดที่ 137: | บรรทัดที่ 140: | ||
==หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ== | ==หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ== | ||
อดุลย์ กอวัฒนา, การลาออกของรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม เมื่อ ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๕๗. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๑๘, ๑๘๖ หน้า. | อดุลย์ กอวัฒนา, '''การลาออกของรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม เมื่อ ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๕๗.''' กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๑๘, ๑๘๖ หน้า. | ||
ถนอมจิต มีชื่น, จอมพล ป. พิบูลสงครามกับงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ (พ.ศ.๒๔๙๕ -๒๕๐๐) กรุงเทพฯ : คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๓๑, ๑๖๖ หน้า. | ถนอมจิต มีชื่น, '''จอมพล ป. พิบูลสงครามกับงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ (พ.ศ.๒๔๙๕ -๒๕๐๐)''' กรุงเทพฯ : คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๓๑, ๑๖๖ หน้า. | ||
==บรรณานุกรม== | ==บรรณานุกรม== | ||
อดุลย์ กอวัฒนา, การลาออกของรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม เมื่อ ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๕๗. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๑๘, ๑๘๖ หน้า. | อดุลย์ กอวัฒนา, '''การลาออกของรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม เมื่อ ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๕๗.''' กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๑๘, ๑๘๖ หน้า. | ||
ถนอมจิต มีชื่น, จอมพล ป. พิบูลสงครามกับงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ (พ.ศ.๒๔๙๕ -๒๕๐๐) กรุงเทพฯ : คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๓๑, ๑๖๖ หน้า. | ถนอมจิต มีชื่น, '''จอมพล ป. พิบูลสงครามกับงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ (พ.ศ.๒๔๙๕ -๒๕๐๐)''' กรุงเทพฯ : คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๓๑, ๑๖๖ หน้า. | ||
[[category:นายกรัฐมนตรี]] | [[category:นายกรัฐมนตรี]] |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 09:46, 16 พฤศจิกายน 2552
ผู้เรียบเรียง ชนิดา จรรโลงศิริชัย
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จเร พันธุ์เปรื่อง
นายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ของประเทศไทยที่มีเวลาดำรงตำแหน่ง รวมกันมากที่สุดของประเทศไทย เป็นระยะเวลา 14 ปี 11 เดือน 18 วัน รวม 8 สมัย รวมทั้งมีนโยบายที่สำคัญคือ การมุ่งมั่นพัฒนาประเทศไทย ให้มีความเจริญรุ่งเรืองทัดเทียมนานาอารยะประเทศ มีการปลุกระดมให้คนไทยรู้สึกรักชาติ โดยออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วย "รัฐนิยม" หลายอย่าง ซึ่งบางอย่างได้ประกาศเป็นกฎหมายในภายหลัง หลายอย่างกลายเป็นวัฒนธรรมของชาติ เช่น การรำวง ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย รวมทั้งเป็นผู้เปลี่ยนชื่อจาก "ประเทศสยาม" เป็น "ประเทศไทย" และเป็นผู้เปลี่ยน "เพลงชาติไทย" มาเป็นเพลงที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ท่านผู้นั้นคือ จอมพล จอมพลเรือ จอมพลอากาศ แปลก พิบูลสงคราม หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า "จอมพล ป."[1]
ประวัติ
จอมพล ป. พิบูลสงคราม เดิมชื่อ แปลก ขีตตะสังคะ เกิดเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2440 ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2507 เป็นบุตรนายขีด และนางสำอางค์ ขีตตะสังคะ ภริยาคือ ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม (เดิมนามสกุล "พันธุ์กระวี")
จอมพล แปลก พิบูลสงคราม เข้าศึกษาขั้นต้นที่โรงเรียนกลาโหมอุทิศ โรงเรียนวัดเขมาภิรตาราม จังหวัดนนทบุรี จากนั้นได้เข้าเรียนในโรงเรียนนายร้อยทหารบก กระทั่งสำเร็จการศึกษา เมื่อ พ.ศ. 2459 ขณะอายุ 19 ปี โดยได้รับยศร้อยตรี และเข้าประจำการที่กองพลที่ 7 จังหวัดพิษณุโลก จากนั้นไม่นานได้สอบเข้าโรงเรียนเสนาธิการได้เป็นที่ 1 และเดินทางไปศึกษาต่อที่โรงเรียนเสนาธิการทหารบก ประเทศฝรั่งเศส จนสำเร็จการศึกษา และกลับมารับราชการต่อไป กระทั่งได้ยศพันตรี มีบรรดาศักดิ์และราชทินนาม ที่ "หลวงพิบูลสงคราม"
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 พันตรี หลวงพิบูลสงครามได้เข้าร่วมกับคณะราษฎร ในเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยได้เป็นกำลังสำคัญในสายทหาร และเมื่อปี พ.ศ. 2477 ท่านได้เลื่อนยศเป็นพันเอก และดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารบก
ครั้นเมื่อ วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2481 ท่านได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ต่อจากพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา โดยการลงมติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และในช่วงที่ดำรงตำแหน่งก็ได้เลื่อนยศเป็นพลตรี และเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม 2484 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพลตรีหลวงพิบูลสงคราม เป็นจอมพล แปลก พิบูลสงคราม (โดยได้ยกเลิกราชทินนามแบบเก่า)[2]
บทบาทในทางการเมือง[3]
จอมพล ป. พิบูลสงคราม มีชื่อจริงว่า แปลก เนื่องจากเป็นบุคคลที่มีหูทั้งสองข้างอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำกว่าตา ผิดไปจากบุคคลธรรมดา จึงถูกตั้งชื่อว่า แปลก นับตั้งแต่เกิด เมื่อขึ้นดำรงตำแหน่งสำคัญ ไม่ต้องการให้บุคคลอื่นเรียกชื่อตัวเองเช่นนั้น จึงใช้เป็นตัวอักษรย่อเป็น ป. นับตั้งแต่นั้น
จอมพล ป. เป็นหนึ่งในคณะนายทหารผู้ร่วมก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ โดยเป็นนายทหารรุ่นน้อง พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ๒ ปี ที่โรงเรียนนายร้อยทหารบก มีบทบาทสำคัญเริ่มจากเป็นแกนนำในการรัฐประหาร ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๖ และในการปราบกบฏบวรเดชเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๖ จนได้รับความไว้วางใจ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อมา
นับแต่จอมพล ป. ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในพ.ศ. ๒๔๘๑ ได้มีนโยบายในการสร้างชาติ ซึ่งมีแนวโน้มเป็นลัทธิชาตินิยม เช่น ออกกฎหมายคุ้มครอง อุตสาหกรรมภายในประเทศ มีการสงวนอาชีพบางอย่างไว้เฉพาะคนไทย และปลูกฝังให้ประชาชนนิยมใช้สินค้าไทย ด้วยคำขวัญว่า "ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ" รัฐบาลจอมพล ป. ได้เปลี่ยนแปลงประเพณีและวัฒนธรรมบางอย่าง เพื่อให้สอดคล้องกับการการเปลี่ยนแปลงการปกครอง และให้เกิดความทันสมัย เช่น ประกาศให้ข้าราชการเลิกนุ่งผ้าม่วง เลิกสวมเสื้อราชปะแตน และให้นุ่งกางเกงขายาวแทน มีการยกเลิกบรรดาศักดิ์ และยศข้าราชการพลเรือน มีการเปลี่ยนชื่อประเทศจาก "สยาม" เป็น "ไทย" ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒ และเปลี่ยนวันขึ้น ปีใหม่จากวันที่ ๑ เมษายน เป็นวันที่ ๑ มกราคมของทุกปี เพื่อให้สอดคล้องกับหลักสากล โดยเริ่มเปลี่ยนในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ทำให้ ปี พ.ศ. ๒๔๘๓ มีเพียง ๙ เดือน มีการสร้างชาติด้วยวัฒนธรรมใหม่ โดยจัดตั้งสภาวัฒนธรรมแห่งชาติขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ เพื่อจัดระเบียบการดำเนินชีวิตของคนไทยให้เป็นแบบอารยะประเทศ โดยประกาศ รัฐนิยมจำนวน ๑๒ ฉบับ[4] และสั่งห้ามประชาชนกินหมากโดยเด็ดขาด ให้ผู้หญิงเลิกนุ่งโจงกระเบน เปลี่ยนมานุ่งผ้าถุงแทน ให้สวมหมวก สวมรองเท้า โดยมีคำขวัญในสมัยนั้นว่า "มาลานำไทยสู่มหาอำนาจ" หากผู้หญิงคนใดไม่ใส่หมวกจะถูกตำรวจจับและปรับ และยังวางระเบียบการใช้คำแทนชื่อเป็นมาตรฐาน เช่น ฉัน ท่าน เรา มีคำสั่งให้ข้าราชการกล่าวคำว่า "สวัสดี" ในโอกาสแรกที่พบกัน และมีการตัดตัวอักษรที่ออกเสียงซ้ำกันจึงมีการเปลี่ยนแปลงการสะกดคำมากมาย เช่น กระทรวงศึกษาธิการ เขียนเป็น กระซวงสึกสาธิการ เป็นต้น
เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๒มีการก่อสร้างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยในยุค จอมพล ป.พิบูลสงคราม ออกแบบโดยหม่อมหลวงปุ่ม มาลากุล ควบคุมการก่อสร้างจนแล้วเสร็จโดยศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ศิลปินผู้ปั้นอนุสาวรีย์คือ นายสิทธิเดช แสงหิรัญ ด้วยเหตุผลที่ว่า อนุสาวรีย์นี้เป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญทั้งมวล เป็นต้นว่า ถนนสายต่างๆที่จะออกจากกรุงเทพฯ ไปยังหัวเมือง ก็นับต้นทางจากอนุสาวรีย์นี้และเป็นการสนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงตั้งพระราชหฤทัยจะทำให้ถนนราชดำเนินกลางเป็นที่เชิดชูยิ่ง มีพิธีเปิดเมื่อวันที่ ๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๓ โดยจอมพล ป.พิบูลสงครามกล่าวในพิธีเปิดอนุสาวรีย์ว่า "อนุสาวรีย์นี้จะเป็นศูนย์กลางแห่งความเจริญก้าวหน้าทั้งมวล เป็นต้นว่า ถนนสายต่างๆ ที่จะออกจากกรุงเทพฯ ไปยังหัวเมืองก็จะนับต้นทางจากอนุสาวรีย์นี้ ถนนราชดำเนินซึ่งเป็นแนวของอนุสาวรีย์ ก็กำลังสร้างอาคารให้สง่างามเป็นที่เชิดชูเกียรติของประเทศ และเป็นการสนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระปิยมหาราช ที่ทรงตั้งพระราชหฤทัย จะทำให้ถนนนี้เป็นที่ เชิดชูยิ่ง"[5]
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ เกิดสงครามอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส จากปัญหาเรื่องการใช้แม่น้ำโขงเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ระหว่างไทยกับอินโดจีน ซึ่งอยู่ในครอบครองฝรั่งเศสมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ โดยฝรั่งเศสไม่ยอมตกลงเรื่องการใช้ร่องน้ำลึกเป็นเส้นเขตแดน ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๘๓ ฝรั่งเศสส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดเมืองนครพนม การรบระหว่างฝรั่งเศสกับไทยจึงเริ่มขึ้น ฝรั่งเศสโจมตีไทยทางอรัญประเทศ รัฐบาล จอมพล ป. ส่งทหารไทยเข้าไปในอินโดจีนทางด้านเขมร แต่ในที่สุดญี่ปุ่นเสนอตัวเข้าไกล่เกลี่ย จนมีการส่งผู้แทนไปลงนามอนุสัญญาสันติภาพที่กรุงโตเกียว (Tokyo Convention) เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ในครั้งนั้นไทยได้ดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงคืน รวมทั้งทางใต้ตรงข้ามปากเซ คือ แขวงจัมปาศักดิ์ และดินแดนในเขมรที่เสียให้ฝรั่งเศสไปเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๐ กลับคืนมาด้วย และในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๔ พลเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้เป็นผู้วางศิลาฤกษ์ก่อสร้าง อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานระลึกถึงชัยชนะของไทยต่อฝรั่งเศส และ ๑ ปีต่อมา จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นผู้กระทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๕
จอมพล ป. ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ริเริ่มองค์กรและหน่วยงานสำคัญ ๆ ของประเทศหลายองค์กร ที่พัฒนาและเจริญรุ่งเรืองมาจนปัจจุบัน ซึ่งล้วนแต่เป็นหน่วยงานที่มีความเฉพาะของแต่ละวิชาชีพ เช่น รัฐวิสาหกิจ, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์, มหาวิทยาลัยศิลปากร รวมทั้งเป็นผู้ที่ใช้อำนาจยึดสถานที่ต่าง ๆ ที่เคยเป็นที่ประทับของเชื้อพระวงศ์ และที่อยู่ของบุคคลสำคัญก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาใช้เป็นสถานที่ราชการ เช่น วังบางขุนพรหม, บ้านมนังคศิลา, บ้านพิษณุโลก, บ้านนรสิงห์ เป็นต้น
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง จอมพล ป. ในฐานะนายกรัฐมนตรีของไทย ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการประคับประคองประเทศชาติ ให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้หลายประการ โดยเป็นจอมพลคนแรกของประเทศไทยอีกด้วย เมื่อขอพระราชทานยศให้กับตนเอง ทั้งนี้มีการบอกเล่ากันว่า เพราะท่านต้องการทำสงครามจิตวิทยากับทางกองทัพญี่ปุ่น และเมื่อหลังสงครามโลกแล้ว ท่านต้องติดคุกในฐานะอาชญากรสงคราม และยุติบทบาททางการเมืองทั้งหมด โดยกลับไปอยู่บ้านที่ อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี โดยทำไร่ถั่วฝักยาว แต่แล้วด้วยความผกผันทางการเมือง ในปี พ.ศ. ๒๔๙๑ ท่านก็ได้หวนกลับมาคืนสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้งจากการทำรัฐประหารของกลุ่มนายทหารที่นับถือท่านอยู่ ซึ่งคราวนี้ดำรงตำแหน่งยาวนานถึง ๙ ปี ผ่านวิกฤตและเหตุการณ์กบฏจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดหลายครั้ง เช่น กบฏเสนาธิการ, กบฏวังหลวง, กบฏแมนฮัตตัน รวมทั้งยังเคยยึดอำนาจตัวเองด้วย จึงได้รับฉายาว่า "นายกฯตลอดกาล"
จอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้รับอีกฉายาว่า "จอมพลกระดูกเหล็ก" เพราะมีชีวิตทางการเมืองอย่างเหลือเชื่อ เคยถูกลอบสังหารมาแล้วถึง ๓ ครั้ง แต่ก็รอดชีวิตมาได้ทุกครั้ง แม้กระทั่งในเหตุการณ์กบฏแมนฮัตตัน ที่ท่านถูกจี้ลงเรือศรีอยุธยา ถูกทิ้งระเบิดผ่านเตียงที่ท่านเคยนอนอยู่อย่างเฉียดฉิว ทั้ง ๆ ที่เหตุการณ์ครั้งนั้นมีผู้เสียชีวิตจำนวนมากนับร้อย จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายในการดำรงตำแหน่งทางการเมืองของท่าน คือ ในเย็นวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๐ เมื่อถูกพลเอกสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายทหารรุ่นน้องอีกคนหนึ่งที่ท่านไว้ใจและมอบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกให้ กระทำการรัฐประหาร ซึ่งท่านได้หลบหนีไปด้วยรถยนต์ส่วนตัวกับผู้ติดตามเพียง ๒ คน โดยผ่านไปทางประเทศกัมพูชา ก่อนจะลี้ภัยทางการเมืองที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง ณ ที่นั่น ท่านและครอบครัวได้รับการต้อนรับอย่างดี ทั้งนี้เพราะทางญี่ปุ่นถือว่าเป็นท่านเป็นผู้ที่บุญคุณต่อญีปุ่น เพราะเป็นผู้ยินยอมให้ทหารญี่ปุ่นผ่านเข้าประเทศไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองด้วยดี ไม่ต้องมีการสู้รบยืดเยื้ออันรังแต่จะทำให้มีแต่ความสูญเสียด้วยกันทั้งสองฝ่าย ซึ่งท่านก็ได้พำนักอยู่ที่นั่นจนตราบถึงแก่อนิจกรรม
ตำแหน่งทางราชการที่สำคัญ ฯพณฯ เคยดำรงตำแหน่ง[6]
• ๒๕ กันยายน ๒๔๗๗ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
• ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๔๗๗ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรองผู้บัญชาการทหารบก
• ๔ มกราคม ๒๔๘๑ เป็นผู้บัญชาการทหารบก
• ๑๖ ธันวาคม ๒๔๘๑ เป็นนายกรัฐมนตรี
• ๒๐ ธันวาคม ๒๔๘๑ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
• ๑๔ กรกฎาคม ๒๔๘๒ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ
• ๑๓ พฤศจิกายน ๒๔๘๓ เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารบก
• ๒๗ สิงหาคม ๒๔๘๔ เป็นผู้บัญชาการทหารเรือพิเศษ และผู้บัญชาการทหารอากาศพิเศษ
• ๑๘ พฤศจิกายน ๒๔๘๔ เป็นผู้บัญชาการทหารบก
• ๑๕ ธันวาคม ๒๔๘๔ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
• ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๕ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ
• ๗ มีนาคม ๒๔๘๕ เป็นนายกรัฐมนตรี
• ๑๐ มีนาคม ๒๔๘๕ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
• ๒๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ เป็นผู้บัญชาการทหารบก
• ๘ เมษายน ๒๔๙๑ เป็นนายกรัฐมนตรี
• ๑๕ เมษายน ๒๔๙๑ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
• ๒๕ มิถุนายน ๒๔๙๒ เป็นนายกรัฐมนตรี
• ๒๘ มิถุนายน ๒๔๙๒ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
• ๑๓ ตุลาคม ๒๔๙๒ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
• ๒๙ พฤศจิกายน ๒๔๙๔ เป็นนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชั่วคราว
• ๖ ธันวาคม ๒๔๙๔ เป็นนายกรัฐมนตรี
• ๙ ธันวาคม ๒๔๙๔ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
• ๒๔ มีนาคม ๒๔๙๕ เป็นนายกรัฐมนตรี
• ๒๘ มีนาคม ๒๔๙๕ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
• ๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๗ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐการ
• ๒๐ มีนาคม ๒๕๐๐ เป็นนายกรัฐมนตรี
• ๑๒ กันยายน ๒๕๐๐ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี[7]
สมัยที่ ๑ : คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๙ : ๑๖ ธันวาคม ๒๔๘๑ - ๖ มีนาคม ๒๔๘๕
สมัยที่ ๒ : คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑๐ : ๗ มีนาคม ๒๔๘๕ - ๑ สิงหาคม ๒๔๘๗
สมัยที่ ๓ : คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒๑ : ๘ เมษายน ๒๔๙๑ - ๒๔ มิถุนายน ๒๔๙๒
สมัยที่ ๔ : คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒๒ : ๒๕ มิถุนายน ๒๔๙๒ - ๒๙ พฤศจิกายน ๒๔๙๔
สมัยที่ ๕ : คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒๓ : ๒๙ พฤศจิกายน ๒๔๙๔ - ๖ ธันวาคม ๒๔๙๔
สมัยที่ ๖ : คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒๔ : ๖ ธันวาคม ๒๔๙๔ - ๒๓ มีนาคม ๒๔๙๕
สมัยที่ ๗ : คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒๕ : ๒๔ มีนาคม ๒๔๙๕ - ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๐
สมัยที่ ๘ : คณะรัฐมนตรี คณะที่ ๒๖ : ๒๑ มีนาคม ๒๕๐๐ - ๑๖ กันยายน ๒๕๐๐
ผลงานทางด้านการเมือง
จอมพลป. พิบูลสงครามเป็นหนึ่งในคณะราษฎร์ที่ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๔ และเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ คือ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสหกรณ์ และดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีรวม ๘ สมัย นับว่า ฯพณฯ เป็นนายกรัฐมนตรีที่ดำรงตำแหน่งได้ยาวนานที่สุด และเป็นผู้ที่ได้ทำคุณประโยชน์ไว้ให้ประเทศชาติอย่างมาก[8] อาทิ
• เปลี่ยนชื่อ จากประเทศสยาม มาเป็น ประเทศไทย
• จัดตั้งหน่วยยุวชนทหาร และให้มีทหารหญิง
• ส่งเสริมให้คนไทยแต่งตัวแบบสากลนิยม
• สร้างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
• การเรียกร้องดินแดนทางด้านอินโดจีนคืนจากฝรั่งเศส[9]
• การปลูกฝังความนิยมไทย และการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมไทยบางอย่าง เช่น การให้สตรีเลิกนุ่งโจงกระเบนแล้วหันมาสวมกระโปรงแทน สวมหมวกและรองเท้าก่อนออกจากบ้าน
• การตั้งชื่อผู้ชายให้มีลักษณะเข้มแข็ง ผู้หญิงให้แสดงถึงความอ่อนหวาน
• การเชิญชวนให้ประชาชนเลิกกินหมากพลู โดยออกประกาศเมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๒ มีการชี้โทษของการกินหมาก เช่นบอกว่าฟันดำเป็นสิ่งไม่เจริญตา ไม่ได้เพิ่มความงามให้แก่ใบหน้า และกลับทำให้ดูแก่เกินอายุอีกด้วย
• การมีละครและเพลงปลุกใจทั้งหลาย เช่นเพลงตื่นเถิดชาวไทย หรือต้นตระกูลไทย ที่หลวงวิจิตรวาทการเป็นผู้แต่ง
อ้างอิง
- ↑ จอมพล ป. พิบูลสงคราม, (ข้อมูลออนไลน์) สืบค้นจาก http://th.wikipedia.org/wiki วันที่ 5 ตุลาคม 2552 เวลา 10.30 นาฬิกา
- ↑ ราชกิจจานุเบกษา, พระบรมราชโองการ ประกาศ พระราชทานยศจอมพล จอมพลเรือ และจอมพลอากาศ (นายพลตรี หลวงพิบูลสงคราม), เล่ม 58, ตอน 0ก, 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2484, หน้า 981
- ↑ ชีวิตและบทบาททางการเมือง, (ข้อมูลออนไลน์) สืบค้นจาก http://th.wikipedia.org/wiki วันที่ 5 ตุลาคม 2552 เวลา 11.30 นาฬิกา
- ↑ รัฐนิยม, (ข้อมูลออนไลน์) สืบค้นจาก http://th.wikipedia.org/wiki/ วันที่ 4 พฤศจิกายน 2552 เวลา 14.00 นาฬิกา
- ↑ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย, (ข้อมูลออนไลน์) สืบค้นจาก http://elecpit.rmutl.ac.th/index.php?topic=852.0 วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ เวลา ๑๔.๑๐ นาฬิกา
- ↑ ตำแหน่งราชการที่สำคัญ, (ข้อมูลออนไลน์) สืบค้นจาก http://www.rta.mi.th/๒๒๑๔๐u/know/genplake.htm วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๕.๐๐ นาฬิกา
- ↑ ระยะเวลาการดำรงตำแหน่ง, (ข้อมูลออนไลน์) สืบค้นจาก http://www.cabinet.thaigov.go.th/pm_๐๓.htm วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๔.๒๐ นาฬิกา
- ↑ ผลงานด้านการเมือง, (ข้อมูลออนไลน์) สืบค้นจาก http://www.pbps.ac.th/tem/jompol๓๓.htmlวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๔.๓๐ นาฬิกา
- ↑ ผลงานด้านการเมือง, (ข้อมูลออนไลน์) สืบค้นจาก http://www.tsu.ac.th/coop/files/ptpopibul170607.doc วันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๒ เวลา ๑๕.๓๐ นาฬิกา
หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ
อดุลย์ กอวัฒนา, การลาออกของรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม เมื่อ ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๕๗. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๑๘, ๑๘๖ หน้า.
ถนอมจิต มีชื่น, จอมพล ป. พิบูลสงครามกับงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ (พ.ศ.๒๔๙๕ -๒๕๐๐) กรุงเทพฯ : คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๓๑, ๑๖๖ หน้า.
บรรณานุกรม
อดุลย์ กอวัฒนา, การลาออกของรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม เมื่อ ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๕๗. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๑๘, ๑๘๖ หน้า.
ถนอมจิต มีชื่น, จอมพล ป. พิบูลสงครามกับงานฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ (พ.ศ.๒๔๙๕ -๒๕๐๐) กรุงเทพฯ : คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๓๑, ๑๖๖ หน้า.