ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การเลือกตั้ง"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Panu (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Panu (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัดที่ 13: บรรทัดที่ 13:
การเลือกตั้งครั้งแรกของประเทศไทย ประเทศไทยจัดให้มีการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๕ โดยมีการเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๗๖ วิธีการเลือกตั้งเป็นแบบทางอ้อม ซึ่งได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน ๗๘ คน เป็นสมาชิกประเภทที่ ๑ สมาชิกประเภทที่ ๑ หมายถึงผู้ที่ราษฎรเลือกตั้ง โดยราษฎรเลือกผู้แทนตำบลก่อน จากนั้นผู้แทนตำบลจึงไปเลือกตั้งผู้แทนราษฎรเป็นลำดับต่อไป สำหรับสถิติการเลือกตั้งที่น่าสนใจของการเลือกตั้งครั้งแรกของประเทศไทยคือ  มีประชาชนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งจำนวน ๔,๒๗๘,๒๓๑ คน และประชาชนมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งจำนวน ๑,๗๗๓,๕๓๒ คน จังหวัดที่มีผู้ใช้สิทธิ์มากที่สุดคือจังหวัดเพชรบุรี หลังจากนั้นประเทศไทยได้มีการเลือกตั้งจนถึงปัจจุบันรวมทั้งสิ้น ๒๒ ครั้ง  
การเลือกตั้งครั้งแรกของประเทศไทย ประเทศไทยจัดให้มีการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๕ โดยมีการเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๗๖ วิธีการเลือกตั้งเป็นแบบทางอ้อม ซึ่งได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน ๗๘ คน เป็นสมาชิกประเภทที่ ๑ สมาชิกประเภทที่ ๑ หมายถึงผู้ที่ราษฎรเลือกตั้ง โดยราษฎรเลือกผู้แทนตำบลก่อน จากนั้นผู้แทนตำบลจึงไปเลือกตั้งผู้แทนราษฎรเป็นลำดับต่อไป สำหรับสถิติการเลือกตั้งที่น่าสนใจของการเลือกตั้งครั้งแรกของประเทศไทยคือ  มีประชาชนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งจำนวน ๔,๒๗๘,๒๓๑ คน และประชาชนมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งจำนวน ๑,๗๗๓,๕๓๒ คน จังหวัดที่มีผู้ใช้สิทธิ์มากที่สุดคือจังหวัดเพชรบุรี หลังจากนั้นประเทศไทยได้มีการเลือกตั้งจนถึงปัจจุบันรวมทั้งสิ้น ๒๒ ครั้ง  
 
 
สถิติการเลือกตั้งทั่วไปของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร [๑]
สถิติการเลือกตั้งทั่วไปของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร<ref>'''ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยุคปฏิรูปการเมืองใหม่ ๖ มกราคม  ๒๕๔๔.''' กรุงเทพฯ : หอสมุดรัฐสภา  สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, ๒๕๔๔.</ref>




==การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญปัจจุบัน==
==การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญปัจจุบัน==


รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช  ๒๕๕๐  ได้กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน ๔๘๐ คน มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวน ๔๐๐ คน และจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วน (กลุ่มจังหวัด) จำนวน ๘๐ คน [๒] ดังนี้   
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช  ๒๕๕๐  ได้กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน ๔๘๐ คน มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวน ๔๐๐ คน และจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วน (กลุ่มจังหวัด) จำนวน ๘๐ คน<ref>'''ความรู้เกี่ยวความรู้เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปี ๒๕๕๐.''' http://www.tddf.or.th/tddf/constitution/readart.php?id=00468 สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม  ๒๕๕๐.</ref> ดังนี้   


'''๑. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง'''
'''๑. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง'''
บรรทัดที่ 46: บรรทัดที่ 46:
ประเทศไทยได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๕๐  เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ ผลปรากฎว่ามีผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีจำนวนทั้งสิ้น ๔๔,๐๐๒,๕๙๓  คน มีผู้มาใช้สิทธิ ๓๒,๗๕๙,๐๐๙ คน คิดเป็น ๗๔.๔๕ %  ถือเป็นการใช้สิทธิมากสุดเป็นประวัติการณ์  สถิติที่น่าสนใจของการเลือกตั้งครั้งปัจจุบันพบว่าจังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุดคือ จังหวัดลำพูน คิดเป็น ๘๘.๙๐ %  ส่วนจังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิน้อยที่สุดคือ จังหวัดสกลนคร คิดเป็น ๖๖.๗๓ %  
ประเทศไทยได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๕๐  เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ ผลปรากฎว่ามีผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีจำนวนทั้งสิ้น ๔๔,๐๐๒,๕๙๓  คน มีผู้มาใช้สิทธิ ๓๒,๗๕๙,๐๐๙ คน คิดเป็น ๗๔.๔๕ %  ถือเป็นการใช้สิทธิมากสุดเป็นประวัติการณ์  สถิติที่น่าสนใจของการเลือกตั้งครั้งปัจจุบันพบว่าจังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุดคือ จังหวัดลำพูน คิดเป็น ๘๘.๙๐ %  ส่วนจังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิน้อยที่สุดคือ จังหวัดสกลนคร คิดเป็น ๖๖.๗๓ %  


==คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร [๓]==
==คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร<ref>'''รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๕๐.''' กรุงเทพฯ: สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, ๒๕๕๐.</ref>==


ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องมีคุณสมบัติสรุปได้ดังนี้
ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องมีคุณสมบัติสรุปได้ดังนี้
บรรทัดที่ 82: บรรทัดที่ 82:
==การได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา==
==การได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา==


ตั้งแต่ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นพระประมุขของชาติ เมื่อพุทธศักราช 2475 เป็นต้นมา รูปแบบของรัฐสภาไทยมีทั้งแบบสภาเดี่ยวและสภาคู่ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ของบ้านเมืองในขณะนั้น  สมาชิกวุฒิสภามีหน้าที่สำคัญในการกลั่นกรองกฎหมาย จึงเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ที่มีความรู้ความชำนาญในวิชาการหรืออาชีพต่างๆ ซึ่งแต่เดิมใช้วิธีแต่งตั้งทั้งหมด โดยพระมหากษัตริย์ [๔]  แต่ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน สมาชิกวุฒิสภาจะมาจากการเลือกตั้งและการสรรหา สมาชิกวุฒิสมาชิกมีหน้าที่ทางดานนิติบัญญัติโดยสรุป คือ กลั่นกรองรางกฎหมายที่ผานความเห็นชอบจากสภาผูแทนราษฎรแลว  รวมถึงพิจารณาอนุมัติพระราชกําหนดต่างๆ และทำหน้าที่ในการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีในปัญหาสำคัญของประเทศ  ตามมาตรา ๑๖๑  แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐
ตั้งแต่ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นพระประมุขของชาติ เมื่อพุทธศักราช 2475 เป็นต้นมา รูปแบบของรัฐสภาไทยมีทั้งแบบสภาเดี่ยวและสภาคู่ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ของบ้านเมืองในขณะนั้น  สมาชิกวุฒิสภามีหน้าที่สำคัญในการกลั่นกรองกฎหมาย จึงเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ที่มีความรู้ความชำนาญในวิชาการหรืออาชีพต่างๆ ซึ่งแต่เดิมใช้วิธีแต่งตั้งทั้งหมด โดยพระมหากษัตริย์<ref>'''ประวัติวุฒิสภา.''' http://www.intarat.net/senate_1.php สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๒.</ref> แต่ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน สมาชิกวุฒิสภาจะมาจากการเลือกตั้งและการสรรหา สมาชิกวุฒิสมาชิกมีหน้าที่ทางดานนิติบัญญัติโดยสรุป คือ กลั่นกรองรางกฎหมายที่ผานความเห็นชอบจากสภาผูแทนราษฎรแลว  รวมถึงพิจารณาอนุมัติพระราชกําหนดต่างๆ และทำหน้าที่ในการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีในปัญหาสำคัญของประเทศ  ตามมาตรา ๑๖๑  แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐


วุฒิสภาประกอบดวยสมาชิกจํานวน ๑๕๐ คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง และมาจากการสรรหา ดังนั้น สรุปไดวาวุฒิสภาประกอบดวยสมาชิกที่มีที่มาจาก ๒ ทาง คือ  สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งในแตละจังหวัด จังหวัดละ ๑ คน  มีสมาชิกวุฒิสภาทั้งสิ้น ๗๖ คน และสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหา จํานวน ๗๔ คน  
วุฒิสภาประกอบดวยสมาชิกจํานวน ๑๕๐ คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง และมาจากการสรรหา ดังนั้น สรุปไดวาวุฒิสภาประกอบดวยสมาชิกที่มีที่มาจาก ๒ ทาง คือ  สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งในแตละจังหวัด จังหวัดละ ๑ คน  มีสมาชิกวุฒิสภาทั้งสิ้น ๗๖ คน และสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหา จํานวน ๗๔ คน  
บรรทัดที่ 111: บรรทัดที่ 111:
เพื่อทราบ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป  
เพื่อทราบ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป  
                  
                  
==คุณสมบัติของสมาชิกวุฒิสภา [๕]==
==คุณสมบัติของสมาชิกวุฒิสภา<ref>'''รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๕๐.''' กรุงเทพฯ : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, ๒๕๕๐.</ref>==


คุณสมบัติและลักษณะตองหามของสมาชิกวุฒิสภา  สรุปได้ดังนี้ ผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือไดรับการเสนอชื่อเปนสมาชิกวุฒิสภาตองมีอายุไมต่ำากวา ๔๐ ปบริบูรณ และตองจบการศึกษาไมต่ำกวาปริญญาตรีหรือเทียบเทา  ผูสมัครรับเลือกตั้งหรือไดรับการเสนอชื่อเปนสมาชิกวุฒิสภา  ตองไมเปนบุพการี คูสมรส หรือบุตรของผูดํารงตําแหนงสมาชิกสภาผูแทนราษฎรหรือผูดํารงตําแหนงทางการเมือง  ตองไมเปนสมาชิกหรือผูดํารงตําแหนงใดในพรรคการเมืองหรือเคยเปนสมาชิก              หรือเคยดํารงตําแหนงและพนจากการเปนสมาชิกหรือการดํารงตําแหนงใด ๆ ในพรรคการเมืองมาแลวยังไมเกิน ๕ ป  ตองไมเปนสมาชิกสภาผูแทนราษฎรหรือเคยเปนสมาชิกสภาผูแทนราษฎรและพนจากตําแหนงมาแลวไมเกิน ๕ ป                ตองไมเปนรัฐมนตรีหรือผูดํารงตําแหนงทางการเมืองอื่นซึ่งมิใชสมาชิกสภาทองถิ่นหรือผูบริหารทองถิ่น หรือเคยเปนแตพนจาก ตําแหนงดังกลาวมาแลวยังไมเกิน ๕ ป        และสมาชิกวุฒิสภาจะเปนรัฐมนตรีผูดํารงตําแหนงทางการเมืองอื่น หรือผูดํารงตําแหนงในองคกรอิสระตามรัฐธรรมนูญมิได อีกทั้ง บุคคลผูเคยดํารงตําแหนงสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกภาพสิ้นสุดลงมาแลวยังไมเกิน ๒ ป จะเปนรัฐมนตรีหรือผูดํารงตําแหนงทางการเมืองมิได       
คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของสมาชิกวุฒิสภา สรุปได้ดังนี้ ผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเปนสมาชิกวุฒิสภาต้องมีอายุไม่ต่ำากวา ๔๐ ปบริบูรณ และตองจบการศึกษาไมต่ำกวาปริญญาตรีหรือเทียบเทา  ผูสมัครรับเลือกตั้งหรือไดรับการเสนอชื่อเปนสมาชิกวุฒิสภา  ตองไมเปนบุพการี คูสมรส หรือบุตรของผูดํารงตําแหนงสมาชิกสภาผูแทนราษฎรหรือผูดํารงตําแหนงทางการเมือง  ตองไมเปนสมาชิกหรือผูดํารงตําแหนงใดในพรรคการเมืองหรือเคยเปนสมาชิก              หรือเคยดํารงตําแหนงและพนจากการเปนสมาชิกหรือการดํารงตําแหนงใด ๆ ในพรรคการเมืองมาแลวยังไมเกิน ๕ ป  ตองไมเปนสมาชิกสภาผูแทนราษฎรหรือเคยเปนสมาชิกสภาผูแทนราษฎรและพนจากตําแหนงมาแลวไมเกิน ๕ ปี ต้องไมเปนรัฐมนตรีหรือผูดํารงตําแหนงทางการเมืองอื่นซึ่งมิใชสมาชิกสภาทองถิ่นหรือผูบริหารทองถิ่น หรือเคยเปนแตพนจาก ตําแหนงดังกลาวมาแลวยังไมเกิน ๕ ป        และสมาชิกวุฒิสภาจะเปนรัฐมนตรีผูดํารงตําแหนงทางการเมืองอื่น หรือผูดํารงตําแหนงในองคกรอิสระตามรัฐธรรมนูญมิได อีกทั้ง บุคคลผูเคยดํารงตําแหนงสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกภาพสิ้นสุดลงมาแลวยังไมเกิน ๒ ป จะเปนรัฐมนตรีหรือผูดํารงตําแหนงทางการเมืองมิได       


==หน้าที่ของสมาชิกวุฒิสภา [๖]==
==หน้าที่ของสมาชิกวุฒิสภา<ref>'''วุฒิสภา.'''  http://www.senate.go.th/main/senate/unit.php  สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๐.</ref>==


อำนาจหน้าที่ของวุฒิสภาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ สรุปได้ดังนี้
อำนาจหน้าที่ของวุฒิสภาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ สรุปได้ดังนี้

รุ่นแก้ไขเมื่อ 16:07, 28 ตุลาคม 2552

ผู้เรียบเรียง มาลินี คงรื่น

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จเร พันธุ์เปรื่อง


การปกครองระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบการปกครองที่เหมาะสมที่สุดในปัจจุบัน เพราะเป็นระบอบการปกครองที่ยอมรับสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของประชาชน เปิดโอกาสให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการใช้อำนาจปกครองประเทศอย่างทั่วถึง และมีกลไกที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการผูกขาดอำนาจทางการเมืองของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย คือ ประชาชนมีอำนาจในการปกครองตนเอง แต่ในทางปฏิบัติประชาชนทุกคนไม่สามารถเข้าไปร่วมปกครองประเทศได้ทั้งหมด จึงต้องใช้วิธีเลือกตัวแทนเข้าไปดำเนินการแทน สำหรับประเทศไทยการเลือกตั้งผู้แทนประชาชนในระดับชาติ ได้แก่ การเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการเลือกสมาชิกวุฒิสภาเพื่อทำหน้าที่ด้านนิติบัญญัตินั้นคือการออกกฎหมายต่าง ๆ ในการปกครองประเทศ และเลือกสรรบุคคลจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีทำหน้าที่เป็นผู้นำคณะรัฐมนตรีบริหารราชการแผ่นดิน การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาจึงเป็นวิธีการที่ทำให้ประชาชนทุกคนมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศอย่างเสมอภาค

ด้วยเหตุนี้เมื่อรัฐสภาผ่านกฎหมายใด ๆ และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ประชาชนจะปฏิเสธว่าตนไม่เห็นชอบด้วยไม่ได้ เพราะผู้ออกกฎหมาย ก็คือตัวแทนของประชาชนนั่นเอง นอกจากนี้การเลือกตั้งยังทำให้คณะผู้บริหารหรือคณะรัฐมนตรีเข้ามาบริหารประเทศด้วยความชอบธรรมเพราะเป็นตัวแทนของประชาชนที่ประชาชนเลือกเข้ามาทำหน้าที่ในรัฐสภา การเลือกตั้งจึงเป็นกระบวนการทางประชาธิปไตยที่มีความสำคัญยิ่งเพราะเป็นการแสดงเจตนารมณ์ ของประชาชนเจ้าของประเทศที่มอบความไว้วางใจให้ตัวแทนของประชาชนไปทำหน้าที่ปกครองประเทศ รวมทั้งแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เป็นความเดือดร้อนของประชาชน

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในอดีต

การเลือกตั้งครั้งแรกของประเทศไทย ประเทศไทยจัดให้มีการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๕ โดยมีการเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๗๖ วิธีการเลือกตั้งเป็นแบบทางอ้อม ซึ่งได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน ๗๘ คน เป็นสมาชิกประเภทที่ ๑ สมาชิกประเภทที่ ๑ หมายถึงผู้ที่ราษฎรเลือกตั้ง โดยราษฎรเลือกผู้แทนตำบลก่อน จากนั้นผู้แทนตำบลจึงไปเลือกตั้งผู้แทนราษฎรเป็นลำดับต่อไป สำหรับสถิติการเลือกตั้งที่น่าสนใจของการเลือกตั้งครั้งแรกของประเทศไทยคือ มีประชาชนที่มีสิทธิ์เลือกตั้งจำนวน ๔,๒๗๘,๒๓๑ คน และประชาชนมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งจำนวน ๑,๗๗๓,๕๓๒ คน จังหวัดที่มีผู้ใช้สิทธิ์มากที่สุดคือจังหวัดเพชรบุรี หลังจากนั้นประเทศไทยได้มีการเลือกตั้งจนถึงปัจจุบันรวมทั้งสิ้น ๒๒ ครั้ง

สถิติการเลือกตั้งทั่วไปของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร[1]


การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญปัจจุบัน

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๕๐ ได้กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน ๔๘๐ คน มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง จำนวน ๔๐๐ คน และจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วน (กลุ่มจังหวัด) จำนวน ๘๐ คน[2] ดังนี้

๑. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิลงคะแนนเลือกผู้สมัครได้เท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะพึงมีได้ในแต่ละเขตเลือกตั้ง โดยการแบ่งเขตเลือกตั้งนั้น มีวิธีการคือนำจำนวน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ๔๐๐ คน ไปหารจำนวนประชากรตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนปีที่มีการเลือกตั้งเพื่อให้ได้ค่าเฉลี่ยประชากรต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ๑ คน แล้วนำไปคำนวณจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละจังหวัดจะพึงมี โดยจังหวัดที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกิน ๓ คน ให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้งและจังหวัดที่มี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้มากกว่า ๓ คน ให้แบ่งเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้งโดยแต่ละเขตจะมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกิน ๓ คน ในกรณีที่แบ่งเขตเลือกตั้งในจังหวัดหนึ่งให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครบ ๓ คนทุกเขตไม่ได้ ให้แบ่งเขตเลือกตั้งออกเป็นเขตเลือกตั้งที่มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตละ ๓ คนเสียก่อน และเขตเลือกตั้งที่เหลือต้องมี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่า ๒ คน

๒. การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน

ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถลงคะแนนเลือกบัญชีรายชื่อผู้สมัครที่พรรคการเมืองจัดทำได้เพียงหนึ่งบัญชีรายชื่อเท่านั้น และการกำหนดเขตเลือกตั้งแบบสัดส่วน จะแบ่งพื้นที่ประเทศไทยเป็น ๘ กลุ่มจังหวัด โดยในแต่ละกลุ่มจังหวัดถือเป็นหนึ่งเขตเลือกตั้งโดยจะมี ส.ส. แบบสัดส่วนได้กลุ่มจังหวัดละ ๑๐ คน โดย ผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้

(๑) มีสัญชาติไทย กรณีบุคคลแปลงสัญชาติจะต้องได้สัญชาติไทยมาแล้ว ไม่น้อยกว่า ๕ ปี

(๒) มีอายุไม่ต่ำกว่า ๑๘ ปีบริบูรณ์ ในวันที่ ๑ มกราคมของปีที่มีการเลือกตั้ง และ

(๓) มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๙๐ วันนับถึงวันเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งซึ่งอยู่นอกเขตเลือกตั้งที่ตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งเป็นเวลาน้อยกว่า ๙๐ วันนับถึงวันเลือกตั้งหรือมีถิ่นที่อยู่นอกราชอาณาจักรย่อมมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ใน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งวุฒิสภา

ส่วนบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๕๐ บัญญัติเกี่ยวกับการไปใช้สิทธิเลือกตั้งของบุคคลไว้ด้วยว่า บุคคลดังต่อไปนี้ต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง

(๑) ภิกษุ สามเณร นักพรต หรือนักบวช

(๒) อยู่ในระหว่างเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง

(๓) ต้องคุมขังอยู่โดยหมายของศาลหรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย

(๔) วิกลจริต หรือจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ

ประเทศไทยได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๕๐ เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๐ ผลปรากฎว่ามีผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีจำนวนทั้งสิ้น ๔๔,๐๐๒,๕๙๓ คน มีผู้มาใช้สิทธิ ๓๒,๗๕๙,๐๐๙ คน คิดเป็น ๗๔.๔๕ % ถือเป็นการใช้สิทธิมากสุดเป็นประวัติการณ์ สถิติที่น่าสนใจของการเลือกตั้งครั้งปัจจุบันพบว่าจังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งมากที่สุดคือ จังหวัดลำพูน คิดเป็น ๘๘.๙๐ % ส่วนจังหวัดที่มีผู้มาใช้สิทธิน้อยที่สุดคือ จังหวัดสกลนคร คิดเป็น ๖๖.๗๓ %

คุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร[3]

ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องมีคุณสมบัติสรุปได้ดังนี้

๑. มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด

๒. มีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าปีบริบรูณ์ในวันเลือกตั้ง

๓. เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคเดียวเป็นเวลาไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันนับถึงวันเลือกตั้ง

๔. ผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ต้องมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้

(ก) มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้งมาแล้วติดต่อกันเป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปีนับถึงวันเลือกตั้ง

(ข) เป็นบุคคลที่เกิดในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้ง

(ค ) เคยศึกษาในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปีการศึกษา

(ง ) เคยรับราชการหรือเคยมีชื่ออยู่ในทะเบียบบ้านในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้ง เป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปี

หน้าที่ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีหน้าที่สรุปได้ดังนี้

๑. ออกกฎหมายหรือแก้ไขกฎหมายเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน

๒. เป็นผู้เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี

๓. ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน เช่น การตั้งกระทู้ถาม

๔. จัดสรรงบประมาณแผ่นดินเพื่อพัฒนาประเทศ

๕. แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนโดยนำเสนอปัญหาต่อรัฐบาลเพื่อหาทางแก้ไข เช่น การเสนอญัตติตั้งคณะกรรมาธิการพิจารณาศึกษาปัญหาต่างๆ

การได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา

ตั้งแต่ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นพระประมุขของชาติ เมื่อพุทธศักราช 2475 เป็นต้นมา รูปแบบของรัฐสภาไทยมีทั้งแบบสภาเดี่ยวและสภาคู่ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ของบ้านเมืองในขณะนั้น สมาชิกวุฒิสภามีหน้าที่สำคัญในการกลั่นกรองกฎหมาย จึงเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ที่มีความรู้ความชำนาญในวิชาการหรืออาชีพต่างๆ ซึ่งแต่เดิมใช้วิธีแต่งตั้งทั้งหมด โดยพระมหากษัตริย์[4] แต่ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน สมาชิกวุฒิสภาจะมาจากการเลือกตั้งและการสรรหา สมาชิกวุฒิสมาชิกมีหน้าที่ทางดานนิติบัญญัติโดยสรุป คือ กลั่นกรองรางกฎหมายที่ผานความเห็นชอบจากสภาผูแทนราษฎรแลว รวมถึงพิจารณาอนุมัติพระราชกําหนดต่างๆ และทำหน้าที่ในการตรวจสอบการบริหารราชการแผ่นดินของคณะรัฐมนตรีในปัญหาสำคัญของประเทศ ตามมาตรา ๑๖๑ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐

วุฒิสภาประกอบดวยสมาชิกจํานวน ๑๕๐ คน ซึ่งมาจากการเลือกตั้ง และมาจากการสรรหา ดังนั้น สรุปไดวาวุฒิสภาประกอบดวยสมาชิกที่มีที่มาจาก ๒ ทาง คือ สมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งในแตละจังหวัด จังหวัดละ ๑ คน มีสมาชิกวุฒิสภาทั้งสิ้น ๗๖ คน และสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหา จํานวน ๗๔ คน

๑. การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาในแต่ละจังหวัด

เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาใหมีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาเปนการเลือกตั้งทั่วไป ใหคณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกําหนดเขตเลือกตั้งและดําเนินการจัดการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ทั้งนี้ กฎหมายและระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งกําหนดใหนําบทบัญญัติในสวนของ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผูแทนราษฎรมาบังคับใชโดยอนุโลม ตั้งแตบททั่วไป เขตเลือกตั้ง หนวยเลือกตั้งและที่เลือกตั้ง เจาพนักงานผูดําเนินการเลือกตั้ง ผูมีสิทธิเลือกตั้งและบัญชีรายชื่อผูมีสิทธิเลือกตั้ง การสมัครรับเลือกตั้ง คาใชจายในการเลือกตั้งและวิธีการหาเสียงเลือกตั้ง การลงคะแนนเลือกตั้ง การนับคะแนนและการประกาศผลการเลือกตั้ง การลงคะแนนเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้ง การดําเนินการกรณีการเลือกตั้งมิไดเปนไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม รวมทั้งการคัดค้านการเลือกตั้ง

๒. การสรรหาสมาชิกวุฒิสภา

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๕๐ และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ รวมทั้งระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งวาดวยหลักเกณฑและวิธีการลงทะเบียนขององคกรที่มีสิทธิเสนอชื่อบุคคลเขารับการสรรหาเปนสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.๒๕๕๐ กําหนดหลักเกณฑและกระบวนการสรรหาและแตงตั้งสมาชิกวุฒิสภาไว โดยสรุปดังนี้

(๑) เมื่อมีเหตุตองสรรหาสมาชิกวุฒิสภา ใหคณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศใน ราชกิจจานุเบกษากําหนดวันสรรหาภายใน ๓ วันนับแตวันที่มีเหตุใหตองมีการสรรหา และใหประกาศในราชกิจจานุเบกษากําหนดใหองคกรภาควิชาการ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาชีพ และภาคอื่นมาลงทะเบียนพรอมทั้งเสนอชื่อผูที่สมควรไดรับการสรรหาเปนสมาชิกวุฒิสภา ตอคณะกรรมการการเลือกตั้งใหแลวเสร็จภายใน ๑๕ วันนับแตวันสรรหา ทั้งนี้ แตละองคกรเสนอชื่อได ๑ คน

องคกรตางๆ ที่มีสิทธิเสนอชื่อบุคคลเขารับการสรรหาเปนสมาชิกวุฒิสภาตองเปนนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นโดยกฎหมาย หรือเปนนิติบุคคลที่ไดรับการรับรอง โดยกฎหมายใหจัดตั้งขึ้นในราชอาณาจักรมาแลวไมนอยกวา ๓ ป และตองมิใชองคกรที่แสวงหาผลกําไรหรือดําเนินกิจกรรมทางการเมือง

บุคคลที่จะไดรับการเสนอชื่อจากองคกรภาคตางๆ ตองเปนบุคคลที่เปนหรือเคยเปนสมาชิกขององคกร หรือปฏิบัติหนาที่หรือเคยปฏิบัติหนาที่ในองคกร ซึ่งมีคุณสมบัติและไมมีลักษณะตองหามตามที่รัฐธรรมนูญกําหนด โดยใหผูที่ไดรับการเสนอชื่อชําระคาธรรมเนียมคนละ ๕,๐๐๐ บาท โดยใหคาธรรมเนียมตกเปนรายไดของรัฐ และบุคคลดังกลาวจะขอถอนชื่อออกจากการเสนอชื่อเขารับการสรรหามิได

(๒) คณะกรรมการการเลือกตั้งรวบรวมรายชื่อบุคคลซึ่งไดรับการเสนอชื่อเสนอตอคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา ภายใน ๕ วันนับแตวันสิ้นสุดระยะเวลาการเสนอชื่อ

ทั้งนี้ คณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาประกอบดวยกรรมการ ไดแก ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง ประธานผูตรวจการแผนดิน ประธานกรรมการปองกันและปราบปรามการทุจริตแหงชาติ ประธานกรรมการตรวจเงินแผนดิน ผูพิพากษาในศาลฎีกาซึ่งดํารงตําแหนงไมต่ำกวาผูพิพากษาศาลฎีกาที่ที่ประชุมใหญศาลฎีกา มอบหมายจํานวน ๑ คน และตุลาการในศาลปกครองสูงสุดที่ที่ประชุมใหญตุลาการในศาลปกครองสูงสุดมอบหมายจํานวน ๑ คน

(๓) คณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาพิจารณาสรรหาและคัดเลือกบุคคลที่มีความเหมาะสมที่จะดํารงตําแหนงสมาชิกวุฒิสภาจากบัญชีรายชื่อที่คณะกรรมการการเลือกตั้งรวบรวมมาจากการเสนอชื่อขององคกรตางๆ จํานวนทั้งสิ้น ๗๔ คน และแจงผลการพิจารณาตอคณะกรรมการการเลือกตั้งภายใน ๓๐ วันนับแตวันที่ไดรับบัญชีรายชื่อ ทั้งนี้ ใหผลการพิจารณาของคณะกรรมการสรรหาเปนที่สุด

ในการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาของคณะกรรมการสรรหานั้น ใหคํานึงถึง ความรู ความเชี่ยวชาญ หรือประสบการณที่จะเปนประโยชนในการปฏิบัติงานของวุฒิสภาเปนสําคัญ และใหคํานึงถึงองคประกอบจากบุคคลที่มีความรู ความสามารถในดานตางๆที่แตกตางกัน โอกาสและความเทาเทียมกันทางเพศ สัดสวนของบุคคลในแตละภาค รวมทั้งการใหโอกาสกับผูดอยโอกาสทางสังคมดวย

(๔) คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผลการสรรหาและแจงผลการสรรหาไปยังประธานรัฐสภา เพื่อทราบ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป

คุณสมบัติของสมาชิกวุฒิสภา[5]

คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของสมาชิกวุฒิสภา สรุปได้ดังนี้ ผู้สมัครรับเลือกตั้งหรือได้รับการเสนอชื่อเปนสมาชิกวุฒิสภาต้องมีอายุไม่ต่ำากวา ๔๐ ปบริบูรณ และตองจบการศึกษาไมต่ำกวาปริญญาตรีหรือเทียบเทา ผูสมัครรับเลือกตั้งหรือไดรับการเสนอชื่อเปนสมาชิกวุฒิสภา ตองไมเปนบุพการี คูสมรส หรือบุตรของผูดํารงตําแหนงสมาชิกสภาผูแทนราษฎรหรือผูดํารงตําแหนงทางการเมือง ตองไมเปนสมาชิกหรือผูดํารงตําแหนงใดในพรรคการเมืองหรือเคยเปนสมาชิก หรือเคยดํารงตําแหนงและพนจากการเปนสมาชิกหรือการดํารงตําแหนงใด ๆ ในพรรคการเมืองมาแลวยังไมเกิน ๕ ป ตองไมเปนสมาชิกสภาผูแทนราษฎรหรือเคยเปนสมาชิกสภาผูแทนราษฎรและพนจากตําแหนงมาแลวไมเกิน ๕ ปี ต้องไมเปนรัฐมนตรีหรือผูดํารงตําแหนงทางการเมืองอื่นซึ่งมิใชสมาชิกสภาทองถิ่นหรือผูบริหารทองถิ่น หรือเคยเปนแตพนจาก ตําแหนงดังกลาวมาแลวยังไมเกิน ๕ ป และสมาชิกวุฒิสภาจะเปนรัฐมนตรีผูดํารงตําแหนงทางการเมืองอื่น หรือผูดํารงตําแหนงในองคกรอิสระตามรัฐธรรมนูญมิได อีกทั้ง บุคคลผูเคยดํารงตําแหนงสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกภาพสิ้นสุดลงมาแลวยังไมเกิน ๒ ป จะเปนรัฐมนตรีหรือผูดํารงตําแหนงทางการเมืองมิได

หน้าที่ของสมาชิกวุฒิสภา[6]

อำนาจหน้าที่ของวุฒิสภาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ สรุปได้ดังนี้

๑. กลั่นกรองกฎหมาย

๒. ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน

๓. ให้ความเห็นชอบในเรื่องสำคัญต่าง ๆ

๔. พิจารณาให้บุคคลดำรงตำแหน่ง

๕. ถอดถอนบุคคลออกจากตำแหน่ง

การไปใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นหน้าที่สำคัญของปวงชนชาวไทยทุกคน พี่น้องประชาชนควรร่วมมือ ร่วมแรง ร่วมใจกันออกมาแสดงตนเพื่อใช้สิทธิเพราะนอกจากจะได้สมาชิกรัฐสภาที่มีความรู้ความสามารถ และเป็นคนดีตามความตั้งใจแล้วยังเป็นการป้องกันการทุจริตในการซื้อสิทธิ ขายเสียง ได้อีกทางหนึ่งด้วย

อ้างอิง

  1. ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยุคปฏิรูปการเมืองใหม่ ๖ มกราคม ๒๕๔๔. กรุงเทพฯ : หอสมุดรัฐสภา สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, ๒๕๔๔.
  2. ความรู้เกี่ยวความรู้เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปี ๒๕๕๐. http://www.tddf.or.th/tddf/constitution/readart.php?id=00468 สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๐.
  3. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๕๐. กรุงเทพฯ: สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, ๒๕๕๐.
  4. ประวัติวุฒิสภา. http://www.intarat.net/senate_1.php สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๒.
  5. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๕๐. กรุงเทพฯ : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, ๒๕๕๐.
  6. วุฒิสภา. http://www.senate.go.th/main/senate/unit.php สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๐.

หนังสือแนะนำให้อ่านต่อ

สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง. ๑๐ ปี กกต. ก้าวต่อไปเพื่อประชาธิปไตยที่ยั่งยืน. กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง, ๒๕๕๑.

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. ๗๕ ปี รัฐสภาไทย. กรุงเทพฯ: สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, ๒๕๕๐.

บรรณานุกรม

ความรู้เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ปี ๒๕๕๐. http://www.tddf.or.th/tddf/constitution/readart.php?id=00468 สืบค้นเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๒.

ปทมา สูบกําปง. วุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ .ในสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย www.sumc.in.th สืบค้นเมื่อ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๒.

ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยุคปฏิรูปการเมืองใหม่ ๖ มกราคม ๒๕๔๔. กรุงเทพฯ : หอสมุดรัฐสภา สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, ๒๕๔๔.

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๕๐. กรุงเทพฯ: สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, ๒๕๕๐.

สรรสาระรัฐธรรมนูญไทย. กรุงเทพฯ : คณะอนุกรรมการจัดทำหนังสือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, ม.ป.ป.

อำนาจหน้าที่รัฐสภา ใน หนังสือที่ระลึกในการที่สภาผู้แทนราษฎรได้รับพระราชทานผ้าพระกฐินไปถวายพระภิกษุที่จำพรรษา ณ วัดวัดศรีสุดารามวรวิหาร กรุงเทพมหานคร วันศุกร์ที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๑. กรุงเทพฯ : สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร, ๒๕๕๑.

ดูเพิ่มเติม

  • พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวาดวยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผูแทนราษฎรและการไดมาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐
  • พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญวาดวยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ.๒๕๕๐
  • ระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้งวาดวยการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐