ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Trikao (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Trikao (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัดที่ 2: บรรทัดที่ 2:
'''ผู้เรียบเรียง :''' ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนารัตน์ มาศฉมาดล
'''ผู้เรียบเรียง :''' ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนารัตน์ มาศฉมาดล


'''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ''' : ศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ
'''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ''' ''':''' ศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ


 
 
บรรทัดที่ 136: บรรทัดที่ 136:
[[#_ftnref22|[22]]] มาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556
[[#_ftnref22|[22]]] มาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556
</div> </div>  
</div> </div>  
[[Category:กฎหมายเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชน]][[Category:กฏหมายเกี่ยวกับการมีส่วนร่วม]][[Category:การมีส่วนร่วมทางการเมือง]]
[[Category:กฎหมายเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชน]] [[Category:กฏหมายเกี่ยวกับการมีส่วนร่วม]] [[Category:การมีส่วนร่วมทางการเมือง]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 13:00, 15 มิถุนายน 2565

ผู้เรียบเรียง : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนารัตน์ มาศฉมาดล

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ

 

หลักการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย

          เมื่อประเทศไทยปกครองในระบอบเสรีนิยมประชาธิปไตยที่ให้ประชาชนเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยผ่านทางผู้แทนราษฎร การดำเนินงานของผู้แทนราษฎรในบางกรณีอาจมีข้อจำกัด หรือ อาจไม่ได้เสนอร่างกฎหมายตามความต้องการของประชาชน ประกอบกับในกรณีที่ประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยอันแท้จริงเมื่อประสบปัญหาในเรื่องใดเรื่องหนึ่งและยังไม่มีกฎหมายที่จะสามารถแก้ไขปัญหาในเรื่องที่ประชาชนต้องการให้มีกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหานั้น การที่กฎหมายเปิดโอกาสให้ประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยได้เสนอร่างกฎหมายเองได้ จึงเป็นการเปิดโอกาสและช่องทางที่เป็นการนำเสนอประเด็นความต้องการที่แท้จริงให้ฝ่ายบริหารได้รับทราบและทำให้สิทธิตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญสามารถใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ

          ปัจจุบันพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2564 กำหนดให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา[1]

 

พัฒนาการให้สิทธิแก่ประชาชนในการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย

          ประเทศไทยนำแนวความคิดในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายมาจากสมาพันธรัฐสวิสเป็นต้นแบบในการบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย_พุทธศักราช_2540 โดยให้สิทธิแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนสามารถเข้าชื่อเสนอกฎหมายพร้อมร่างกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ต่อรัฐสภาเพื่อให้พิจารณาได้[2] รวมถึง ให้สิทธิในการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นพร้อมร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นเพื่อพิจารณาออกข้อบัญญัติท้องถิ่น[3]

          ต่อมาเมื่อประกาศรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย_พุทธศักราช_2550 ได้แก้ไขเพื่อให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิในการเข้าชื่อได้ง่ายขึ้น โดยลดจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจากห้าหมื่นคนเหลือจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคน[4] และให้สิทธิในการลงชื่อเพื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด หรืออัยการออกจากตำแหน่งได้[5] รวมถึงลงชื่อเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น คณะผู้บริหารท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่นให้พ้นจากตำแหน่งได้[6] พร้อมทั้งให้สิทธิแก่ประชาชนจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนสามารถยื่นขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย[7] จึงทำให้มีการประกาศพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556 กฎหมายกำหนดให้สิทธิแก่ประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิริเริ่มเสนอร่างกฎหมายได้ 2 ประเภท คือ ร่างพระราชบัญญัติ[8] และร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม[9] หลักเกณฑ์และวิธีการตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ซึ่งในปัจจุบัน คือ พระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2564

 

หลักการของกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย 2556

          พระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556 มีทั้งสิ้น 15 มาตรา ให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้รักษาการ หลักการของกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย แบ่งเป็น 4 ส่วน ดังนี้

          1) ขั้นตอนการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย

               ขั้นตอนแรก : การเริ่มต้นเข้าชื่อเสนอกฎหมายต้องมี “ผู้ริเริ่ม” คือ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เริ่มดำเนินการจัดให้มีการเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติ หรือญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต่อประธานรัฐสภา จำนวนไม่น้อยกว่า 20 คน แจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบและให้ประธานรัฐสภาตรวจสอบหลักการ และเนื้อหาของร่างกฎหมายเพื่อแจ้งให้ผู้ริเริ่มทราบภายใน 15 วัน

               ขั้นตอนที่สอง : ผู้ริเริ่มดำเนินการชักชวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อเข้าชื่อ[10] ดังนี้

                    - การเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติต้องมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งรวมกันไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคน[11]

                    - การเข้าชื่อเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต้องมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งรวมกันไม่น้อยกว่า ห้าหมื่นคน[12]

               ขั้นตอนที่สาม : ผู้ริเริ่มยื่นคำร้องต่อประธานรัฐสภา พร้อมสำเนาร่างพระราชบัญญัติ เอกสารการลงลายมือชื่อพร้อมสำเนาบัตร และรายชื่อของผู้แทนของผู้ซึ่งเสนอร่างพระราชบัญญัติจำนวนไม่เกินหกสิบคนตามที่ผู้ริเริ่มกำหนด[13]

               ขั้นตอนที่สี่ : ประธานรัฐสภาาตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนของเอกสารให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน หากปรากฏว่ามีลายมือชื่อของผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่ถึงหนึ่งหมื่นคนหรือมีเอกสารไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน ให้ประธานรัฐสภาแจ้งเป็นหนังสือไปยังผู้ริเริ่มเพื่อดำเนินการให้ถูกต้องครบถ้วนต่อไป

          เมื่อเห็นว่าถูกต้องครบถ้วนแล้วให้ ประธานรัฐสภาจัดให้มีการประกาศรายชื่อผู้เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติทางสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และจัดเอกสารไว้เพื่อให้ประชาชนได้ตรวจสอบ ณ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และให้มีหนังสือแจ้งไปยังผู้มีรายชื่อนั้นด้วย[14] และให้ประธานรัฐสภาดำเนินการให้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้นต่อไป ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย[15] 

          2) หลักการเข้าชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

          การเข้าชื่อเสนอร่าพระราชบัญญัติหรือขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต้องมีหลักการ ดังนี้

          1. กำหนดหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติที่กำหนดโดยชัดเจน และต้องแบ่งเป็นมาตรา ซึ่งแต่ละมาตรามีบทบัญญัติที่จะเข้าใจได้ว่ามีความประสงค์จะตรากฎหมายในเรื่องใด และต้องมีบันทึกประกอบดังต่อไปนี้[16]

               (1) บันทึกหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติ

               (2) บันทึกเหตุผลในการเสนอร่างพระราชบัญญัติ

               (3) บันทึกวิเคราะห์สรุปสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ

          2. ในกรณีที่ลายมือชื่อของผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติมีจำนวนไม่ถึงหนึ่งหมื่นคน ให้ประธานรัฐสภาแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ริเริ่มทราบเพื่อดำเนินการจัดให้มีการเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติเพิ่มเติมให้ถึงหนึ่งหมื่นคนภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภา ถ้าพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าวยังมิได้เสนอการเข้าชื่อเพิ่มเติมจนครบถ้วน ให้ประธานรัฐสภาสั่งจําหน่ายเรื่องและคืนเรื่องและเอกสารที่เกี่ยวข้องให้แก่ผู้ริเริ่ม[17]

          3. การเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐจะเสนอมิได้[18]

          3) การให้การสนับสนุนจากภาครัฐ

               1) การสนับสนุนค่าใช้จ่าย[19]

               ในการดำเนินการเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามพระราชบัญญัตินี้ อาจขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่าย จากกองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมืองตามกฎหมายว่าด้วยสภาพัฒนาการเมืองได้

               2) การสนับสนุนการยกร่างพระราชบัญญัติจากภาครัฐ[20]

               ในกรณีที่ผู้ริเริ่มประสงค์จะให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย หรือหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือในการจัดทำร่างกฎหมายแก่ประชาชน ยกร่างพระราชบัญญัติให้ได้ โดยหน่วยงานเหล่านี้ต้องดำเนินการโดยไม่ชักช้าหากได้รับการร้องขอ

          4) บทกำหนดโทษ

          กฎหมายในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้กำหนดโทษสำหรับผู้ที่ลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร หรือใช้ หรืออ้างลายมือชื่อปลอมเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นลายมือชื่อของผู้เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติหรือญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่แท้จริง จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ[21]

          หากมีการกระทำเพื่อหลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญหรือใช้อิทธิพลคุกคาม หรือกระทำการเพื่อให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเพื่อจูงใจให้มีการลงชื่อหรือถอนชื่อในการเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติหรือญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท[22]

 

บรรณานุกรม

ราชกิจจานุเบกษา/เล่ม 114/ตอนที่ 55 ก/11 ตุลาคม 2540. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540

ราชกิจจานุเบกษา/เล่ม 124/ตอนที่ 47 ก/ 24 สิงหาคม 2550. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550

ราชกิจจานุเบกษา/เล่ม 134/ตอนที่ 40 ก/ 6 เมษายน 2560. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

ราชกิจจานุเบกษา/เล่ม 130/ตอนที่ 119 ก/17 ธันวาคม 2556. พระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556

ราชกิจจานุเบกษา/เล่ม 138/ตอนที่ 35 ก/26 พฤษภาคม 2564. พระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2564

 

อ้างอิง

[1] มาตรา 2 แห่งพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2564

[2] มาตรา 170 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540

[3] มาตรา 287 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540

[4] มาตรา 163 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550

[5] มาตรา 164 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550

[6] มาตรา 285 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550

[7] มาตรา 291 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550

[8] มาตรา 144 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550

[9] มาตรา 256 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 

[10] มาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556 

[11] มาตรา 5 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556 

[12] มาตรา 5 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556 

[13] มาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556 

[14] มาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556 

[15] มาตรา 11 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556

[16] มาตรา 8 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556 

[17] มาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556 

[18] มาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556 

[19] มาตรา 6 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556 

[20] มาตรา 6 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556 

[21] มาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556 

[22] มาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556