ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556"
สร้างหน้าด้วย " '''ผู้เรียบเรียง :''' ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนารัตน์ มาศฉม..." |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 1: | บรรทัดที่ 1: | ||
'''ผู้เรียบเรียง :''' ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนารัตน์ มาศฉมาดล | '''ผู้เรียบเรียง :''' ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนารัตน์ มาศฉมาดล | ||
'''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ''' : ศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ | '''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ''' : ศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ | ||
| | ||
บรรทัดที่ 16: | บรรทัดที่ 16: | ||
<span style="font-size:x-large;">'''พัฒนาการให้สิทธิแก่ประชาชนในการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย'''</span> | <span style="font-size:x-large;">'''พัฒนาการให้สิทธิแก่ประชาชนในการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย'''</span> | ||
ประเทศไทยนำแนวความคิดในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายมาจากสมาพันธรัฐสวิสเป็นต้นแบบในการบัญญัติ[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย_พุทธศักราช_2540]] โดยให้สิทธิแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนสามารถเข้าชื่อเสนอกฎหมายพร้อมร่างกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และ[[แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ]] ต่อรัฐสภาเพื่อให้พิจารณาได้[[#_ftn2|[2]]] รวมถึง ให้สิทธิในการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นพร้อมร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นเพื่อพิจารณาออกข้อบัญญัติท้องถิ่น[[#_ftn3|[3]]] | ประเทศไทยนำแนวความคิดในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายมาจากสมาพันธรัฐสวิสเป็นต้นแบบในการบัญญัติ[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย_พุทธศักราช_2540|รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย_พุทธศักราช_2540]] โดยให้สิทธิแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนสามารถเข้าชื่อเสนอกฎหมายพร้อมร่างกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และ[[แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ|แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ]] ต่อรัฐสภาเพื่อให้พิจารณาได้[[#_ftn2|[2]]] รวมถึง ให้สิทธิในการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นพร้อมร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นเพื่อพิจารณาออกข้อบัญญัติท้องถิ่น[[#_ftn3|[3]]] | ||
ต่อมาเมื่อประกาศ[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย_พุทธศักราช_2550]] ได้แก้ไขเพื่อให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิในการเข้าชื่อได้ง่ายขึ้น โดยลดจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจากห้าหมื่นคนเหลือจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคน[[#_ftn4|[4]]] และให้สิทธิในการลงชื่อเพื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด หรืออัยการออกจากตำแหน่งได้[[#_ftn5|[5]]] รวมถึงลงชื่อเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น คณะผู้บริหารท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่นให้พ้นจากตำแหน่งได้[[#_ftn6|[6]]] พร้อมทั้งให้สิทธิแก่ประชาชนจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนสามารถยื่นขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย[[#_ftn7|[7]]] จึงทำให้มีการประกาศพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556 กฎหมายกำหนดให้สิทธิแก่ประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิริเริ่มเสนอร่างกฎหมายได้ 2 ประเภท คือ ร่างพระราชบัญญัติ[[#_ftn8|[8]]] และร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม[[#_ftn9|[9]]] หลักเกณฑ์และวิธีการตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ซึ่งในปัจจุบัน | ต่อมาเมื่อประกาศ[[รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย_พุทธศักราช_2550|รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย_พุทธศักราช_2550]] ได้แก้ไขเพื่อให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิในการเข้าชื่อได้ง่ายขึ้น โดยลดจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจากห้าหมื่นคนเหลือจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคน[[#_ftn4|[4]]] และให้สิทธิในการลงชื่อเพื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด หรืออัยการออกจากตำแหน่งได้[[#_ftn5|[5]]] รวมถึงลงชื่อเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น คณะผู้บริหารท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่นให้พ้นจากตำแหน่งได้[[#_ftn6|[6]]] พร้อมทั้งให้สิทธิแก่ประชาชนจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนสามารถยื่นขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย[[#_ftn7|[7]]] จึงทำให้มีการประกาศพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556 กฎหมายกำหนดให้สิทธิแก่ประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิริเริ่มเสนอร่างกฎหมายได้ 2 ประเภท คือ ร่างพระราชบัญญัติ[[#_ftn8|[8]]] และร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม[[#_ftn9|[9]]] หลักเกณฑ์และวิธีการตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ซึ่งในปัจจุบัน คือ พระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2564 | ||
| | ||
บรรทัดที่ 28: | บรรทัดที่ 28: | ||
'''1) ขั้นตอนการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย''' | '''1) ขั้นตอนการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย''' | ||
<u>ขั้นตอนแรก</u> : การเริ่มต้นเข้าชื่อเสนอกฎหมายต้องมี '''“ผู้ริเริ่ม”''' คือ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เริ่มดำเนินการจัดให้มีการเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติ หรือญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต่อประธานรัฐสภา จำนวนไม่น้อยกว่า 20 คน แจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบและให้ประธานรัฐสภาตรวจสอบหลักการ และเนื้อหาของร่างกฎหมายเพื่อแจ้งให้ผู้ริเริ่มทราบภายใน 15 วัน | <u>ขั้นตอนแรก</u> : การเริ่มต้นเข้าชื่อเสนอกฎหมายต้องมี '''“ผู้ริเริ่ม”''' คือ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เริ่มดำเนินการจัดให้มีการเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติ หรือญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต่อประธานรัฐสภา จำนวนไม่น้อยกว่า 20 คน แจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบและให้ประธานรัฐสภาตรวจสอบหลักการ และเนื้อหาของร่างกฎหมายเพื่อแจ้งให้ผู้ริเริ่มทราบภายใน 15 วัน | ||
<u>ขั้นตอนที่สอง</u> : ผู้ริเริ่มดำเนินการชักชวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อเข้าชื่อ[[#_ftn10|[10]]] ดังนี้ | <u>ขั้นตอนที่สอง</u> : ผู้ริเริ่มดำเนินการชักชวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อเข้าชื่อ[[#_ftn10|[10]]] ดังนี้ | ||
- การเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติต้องมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งรวมกันไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคน[[#_ftn11|[11]]] | - การเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติต้องมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งรวมกันไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคน[[#_ftn11|[11]]] | ||
บรรทัดที่ 36: | บรรทัดที่ 36: | ||
- การเข้าชื่อเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต้องมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งรวมกันไม่น้อยกว่า ห้าหมื่นคน[[#_ftn12|[12]]] | - การเข้าชื่อเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต้องมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งรวมกันไม่น้อยกว่า ห้าหมื่นคน[[#_ftn12|[12]]] | ||
<u>ขั้นตอนที่สาม</u> : ผู้ริเริ่มยื่นคำร้องต่อประธานรัฐสภา พร้อมสำเนาร่างพระราชบัญญัติ เอกสารการลงลายมือชื่อพร้อมสำเนาบัตร และรายชื่อของผู้แทนของผู้ซึ่งเสนอร่างพระราชบัญญัติจำนวนไม่เกินหกสิบคนตามที่ผู้ริเริ่มกำหนด[[#_ftn13|[13]]] | <u>ขั้นตอนที่สาม</u> : ผู้ริเริ่มยื่นคำร้องต่อประธานรัฐสภา พร้อมสำเนาร่างพระราชบัญญัติ เอกสารการลงลายมือชื่อพร้อมสำเนาบัตร และรายชื่อของผู้แทนของผู้ซึ่งเสนอร่างพระราชบัญญัติจำนวนไม่เกินหกสิบคนตามที่ผู้ริเริ่มกำหนด[[#_ftn13|[13]]] | ||
<u>ขั้นตอนที่สี่</u> : ประธานรัฐสภาาตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนของเอกสารให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน หากปรากฏว่ามีลายมือชื่อของผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่ถึงหนึ่งหมื่นคนหรือมีเอกสารไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน ให้ประธานรัฐสภาแจ้งเป็นหนังสือไปยังผู้ริเริ่มเพื่อดำเนินการให้ถูกต้องครบถ้วนต่อไป | <u>ขั้นตอนที่สี่</u> : ประธานรัฐสภาาตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนของเอกสารให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน หากปรากฏว่ามีลายมือชื่อของผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่ถึงหนึ่งหมื่นคนหรือมีเอกสารไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน ให้ประธานรัฐสภาแจ้งเป็นหนังสือไปยังผู้ริเริ่มเพื่อดำเนินการให้ถูกต้องครบถ้วนต่อไป | ||
เมื่อเห็นว่าถูกต้องครบถ้วนแล้วให้ ประธานรัฐสภาจัดให้มีการประกาศรายชื่อผู้เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติทางสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และจัดเอกสารไว้เพื่อให้ประชาชนได้ตรวจสอบ ณ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และให้มีหนังสือแจ้งไปยังผู้มีรายชื่อนั้นด้วย[[#_ftn14|[14]]] และให้ประธานรัฐสภาดำเนินการให้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้นต่อไป ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย[[#_ftn15|[15]]]''' ''' | เมื่อเห็นว่าถูกต้องครบถ้วนแล้วให้ ประธานรัฐสภาจัดให้มีการประกาศรายชื่อผู้เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติทางสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และจัดเอกสารไว้เพื่อให้ประชาชนได้ตรวจสอบ ณ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และให้มีหนังสือแจ้งไปยังผู้มีรายชื่อนั้นด้วย[[#_ftn14|[14]]] และให้ประธานรัฐสภาดำเนินการให้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้นต่อไป ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย[[#_ftn15|[15]]]''' ''' | ||
บรรทัดที่ 56: | บรรทัดที่ 56: | ||
2. ในกรณีที่ลายมือชื่อของผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติมีจำนวนไม่ถึงหนึ่งหมื่นคน ให้ประธานรัฐสภาแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ริเริ่มทราบเพื่อดำเนินการจัดให้มีการเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติเพิ่มเติมให้ถึงหนึ่งหมื่นคนภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภา ถ้าพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าวยังมิได้เสนอการเข้าชื่อเพิ่มเติมจนครบถ้วน ให้ประธานรัฐสภาสั่งจําหน่ายเรื่องและคืนเรื่องและเอกสารที่เกี่ยวข้องให้แก่ผู้ริเริ่ม[[#_ftn17|[17]]] | 2. ในกรณีที่ลายมือชื่อของผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติมีจำนวนไม่ถึงหนึ่งหมื่นคน ให้ประธานรัฐสภาแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ริเริ่มทราบเพื่อดำเนินการจัดให้มีการเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติเพิ่มเติมให้ถึงหนึ่งหมื่นคนภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภา ถ้าพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าวยังมิได้เสนอการเข้าชื่อเพิ่มเติมจนครบถ้วน ให้ประธานรัฐสภาสั่งจําหน่ายเรื่องและคืนเรื่องและเอกสารที่เกี่ยวข้องให้แก่ผู้ริเริ่ม[[#_ftn17|[17]]] | ||
3. การเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครอง | 3. การเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐจะเสนอมิได้[[#_ftn18|[18]]] | ||
'''3) การให้การสนับสนุนจากภาครัฐ''' | '''3) การให้การสนับสนุนจากภาครัฐ''' | ||
1) การสนับสนุนค่าใช้จ่าย[[#_ftn19| | 1) การสนับสนุนค่าใช้จ่าย[[#_ftn19|[19]]] | ||
ในการดำเนินการเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามพระราชบัญญัตินี้ อาจขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่าย จากกองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมืองตามกฎหมายว่าด้วยสภาพัฒนาการเมืองได้ | ในการดำเนินการเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามพระราชบัญญัตินี้ อาจขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่าย จากกองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมืองตามกฎหมายว่าด้วยสภาพัฒนาการเมืองได้ | ||
''' '''2) การสนับสนุนการยกร่างพระราชบัญญัติจากภาครัฐ[[#_ftn20| | ''' '''2) การสนับสนุนการยกร่างพระราชบัญญัติจากภาครัฐ[[#_ftn20|[20]]] | ||
ในกรณีที่ผู้ริเริ่มประสงค์จะให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย หรือหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือในการจัดทำร่างกฎหมายแก่ประชาชน ยกร่างพระราชบัญญัติให้ได้ โดยหน่วยงานเหล่านี้ต้องดำเนินการโดยไม่ชักช้าหากได้รับการร้องขอ | ในกรณีที่ผู้ริเริ่มประสงค์จะให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย หรือหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือในการจัดทำร่างกฎหมายแก่ประชาชน ยกร่างพระราชบัญญัติให้ได้ โดยหน่วยงานเหล่านี้ต้องดำเนินการโดยไม่ชักช้าหากได้รับการร้องขอ |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 16:09, 5 เมษายน 2565
ผู้เรียบเรียง : ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พนารัตน์ มาศฉมาดล
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : ศาสตราจารย์ ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ
หลักการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
เมื่อประเทศไทยปกครองในระบอบเสรีนิยมประชาธิปไตยที่ให้ประชาชนเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยผ่านทางผู้แทนราษฎร การดำเนินงานของผู้แทนราษฎรในบางกรณีอาจมีข้อจำกัด หรือ อาจไม่ได้เสนอร่างกฎหมายตามความต้องการของประชาชน ประกอบกับในกรณีที่ประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยอันแท้จริงเมื่อประสบปัญหาในเรื่องใดเรื่องหนึ่งและยังไม่มีกฎหมายที่จะสามารถแก้ไขปัญหาในเรื่องที่ประชาชนต้องการให้มีกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหานั้น การที่กฎหมายเปิดโอกาสให้ประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยได้เสนอร่างกฎหมายเองได้ จึงเป็นการเปิดโอกาสและช่องทางที่เป็นการนำเสนอประเด็นความต้องการที่แท้จริงให้ฝ่ายบริหารได้รับทราบและทำให้สิทธิตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญสามารถใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ
ปัจจุบันพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2564 กำหนดให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา[1]
พัฒนาการให้สิทธิแก่ประชาชนในการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
ประเทศไทยนำแนวความคิดในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายมาจากสมาพันธรัฐสวิสเป็นต้นแบบในการบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย_พุทธศักราช_2540 โดยให้สิทธิแก่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนสามารถเข้าชื่อเสนอกฎหมายพร้อมร่างกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ต่อรัฐสภาเพื่อให้พิจารณาได้[2] รวมถึง ให้สิทธิในการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นพร้อมร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นเพื่อพิจารณาออกข้อบัญญัติท้องถิ่น[3]
ต่อมาเมื่อประกาศรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย_พุทธศักราช_2550 ได้แก้ไขเพื่อให้ประชาชนสามารถใช้สิทธิในการเข้าชื่อได้ง่ายขึ้น โดยลดจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจากห้าหมื่นคนเหลือจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคน[4] และให้สิทธิในการลงชื่อเพื่อถอดถอนนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด หรืออัยการออกจากตำแหน่งได้[5] รวมถึงลงชื่อเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น คณะผู้บริหารท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่นให้พ้นจากตำแหน่งได้[6] พร้อมทั้งให้สิทธิแก่ประชาชนจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนสามารถยื่นขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย[7] จึงทำให้มีการประกาศพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556 กฎหมายกำหนดให้สิทธิแก่ประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิริเริ่มเสนอร่างกฎหมายได้ 2 ประเภท คือ ร่างพระราชบัญญัติ[8] และร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม[9] หลักเกณฑ์และวิธีการตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ซึ่งในปัจจุบัน คือ พระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2564
หลักการของกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย 2556
พระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556 มีทั้งสิ้น 15 มาตรา ให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้รักษาการ หลักการของกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย แบ่งเป็น 4 ส่วน ดังนี้
1) ขั้นตอนการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย
ขั้นตอนแรก : การเริ่มต้นเข้าชื่อเสนอกฎหมายต้องมี “ผู้ริเริ่ม” คือ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เริ่มดำเนินการจัดให้มีการเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติ หรือญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต่อประธานรัฐสภา จำนวนไม่น้อยกว่า 20 คน แจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบและให้ประธานรัฐสภาตรวจสอบหลักการ และเนื้อหาของร่างกฎหมายเพื่อแจ้งให้ผู้ริเริ่มทราบภายใน 15 วัน
ขั้นตอนที่สอง : ผู้ริเริ่มดำเนินการชักชวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเพื่อเข้าชื่อ[10] ดังนี้
- การเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติต้องมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งรวมกันไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นคน[11]
- การเข้าชื่อเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต้องมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งรวมกันไม่น้อยกว่า ห้าหมื่นคน[12]
ขั้นตอนที่สาม : ผู้ริเริ่มยื่นคำร้องต่อประธานรัฐสภา พร้อมสำเนาร่างพระราชบัญญัติ เอกสารการลงลายมือชื่อพร้อมสำเนาบัตร และรายชื่อของผู้แทนของผู้ซึ่งเสนอร่างพระราชบัญญัติจำนวนไม่เกินหกสิบคนตามที่ผู้ริเริ่มกำหนด[13]
ขั้นตอนที่สี่ : ประธานรัฐสภาาตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนของเอกสารให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน หากปรากฏว่ามีลายมือชื่อของผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่ถึงหนึ่งหมื่นคนหรือมีเอกสารไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน ให้ประธานรัฐสภาแจ้งเป็นหนังสือไปยังผู้ริเริ่มเพื่อดำเนินการให้ถูกต้องครบถ้วนต่อไป
เมื่อเห็นว่าถูกต้องครบถ้วนแล้วให้ ประธานรัฐสภาจัดให้มีการประกาศรายชื่อผู้เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติทางสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และจัดเอกสารไว้เพื่อให้ประชาชนได้ตรวจสอบ ณ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และให้มีหนังสือแจ้งไปยังผู้มีรายชื่อนั้นด้วย[14] และให้ประธานรัฐสภาดำเนินการให้สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้นต่อไป ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย[15]
2) หลักการเข้าชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
การเข้าชื่อเสนอร่าพระราชบัญญัติหรือขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต้องมีหลักการ ดังนี้
1. กำหนดหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติที่กำหนดโดยชัดเจน และต้องแบ่งเป็นมาตรา ซึ่งแต่ละมาตรามีบทบัญญัติที่จะเข้าใจได้ว่ามีความประสงค์จะตรากฎหมายในเรื่องใด และต้องมีบันทึกประกอบดังต่อไปนี้[16]
(1) บันทึกหลักการแห่งร่างพระราชบัญญัติ
(2) บันทึกเหตุผลในการเสนอร่างพระราชบัญญัติ
(3) บันทึกวิเคราะห์สรุปสาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ
2. ในกรณีที่ลายมือชื่อของผู้มีสิทธิเลือกตั้งเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติมีจำนวนไม่ถึงหนึ่งหมื่นคน ให้ประธานรัฐสภาแจ้งเป็นหนังสือให้ผู้ริเริ่มทราบเพื่อดำเนินการจัดให้มีการเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติเพิ่มเติมให้ถึงหนึ่งหมื่นคนภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากประธานรัฐสภา ถ้าพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าวยังมิได้เสนอการเข้าชื่อเพิ่มเติมจนครบถ้วน ให้ประธานรัฐสภาสั่งจําหน่ายเรื่องและคืนเรื่องและเอกสารที่เกี่ยวข้องให้แก่ผู้ริเริ่ม[17]
3. การเสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐจะเสนอมิได้[18]
3) การให้การสนับสนุนจากภาครัฐ
1) การสนับสนุนค่าใช้จ่าย[19]
ในการดำเนินการเข้าชื่อเสนอกฎหมายตามพระราชบัญญัตินี้ อาจขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่าย จากกองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมืองตามกฎหมายว่าด้วยสภาพัฒนาการเมืองได้
2) การสนับสนุนการยกร่างพระราชบัญญัติจากภาครัฐ[20]
ในกรณีที่ผู้ริเริ่มประสงค์จะให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย หรือหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการช่วยเหลือในการจัดทำร่างกฎหมายแก่ประชาชน ยกร่างพระราชบัญญัติให้ได้ โดยหน่วยงานเหล่านี้ต้องดำเนินการโดยไม่ชักช้าหากได้รับการร้องขอ
4) บทกำหนดโทษ
กฎหมายในการเข้าชื่อเสนอกฎหมายได้กำหนดโทษสำหรับผู้ที่ลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร หรือใช้ หรืออ้างลายมือชื่อปลอมเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นลายมือชื่อของผู้เข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติหรือญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่แท้จริง จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ[21]
หากมีการกระทำเพื่อหลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญหรือใช้อิทธิพลคุกคาม หรือกระทำการเพื่อให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเพื่อจูงใจให้มีการลงชื่อหรือถอนชื่อในการเข้าชื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติหรือญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปีหรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท[22]
บรรณานุกรม
ราชกิจจานุเบกษา/เล่ม 114/ตอนที่ 55 ก/11 ตุลาคม 2540. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
ราชกิจจานุเบกษา/เล่ม 124/ตอนที่ 47 ก/ 24 สิงหาคม 2550. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
ราชกิจจานุเบกษา/เล่ม 134/ตอนที่ 40 ก/ 6 เมษายน 2560. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
ราชกิจจานุเบกษา/เล่ม 130/ตอนที่ 119 ก/17 ธันวาคม 2556. พระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556
ราชกิจจานุเบกษา/เล่ม 138/ตอนที่ 35 ก/26 พฤษภาคม 2564. พระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2564
อ้างอิง
[1] มาตรา 2 แห่งพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2564
[2] มาตรา 170 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
[3] มาตรา 287 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540
[4] มาตรา 163 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
[5] มาตรา 164 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
[6] มาตรา 285 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
[7] มาตรา 291 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
[8] มาตรา 144 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550
[9] มาตรา 256 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560
[10] มาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556
[11] มาตรา 5 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556
[12] มาตรา 5 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556
[13] มาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556
[14] มาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556
[15] มาตรา 11 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556
[16] มาตรา 8 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556
[17] มาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556
[18] มาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556
[19] มาตรา 6 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556
[20] มาตรา 6 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556
[21] มาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556
[22] มาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. 2556