ผลต่างระหว่างรุ่นของ "รัฐประหารในเมียนมาร์ 2564"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Trikao (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Trikao (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัดที่ 6: บรรทัดที่ 6:
 
 


 


=== '''บทนำ''' ===
=== '''บทนำ''' ===
บรรทัดที่ 15: บรรทัดที่ 16:
=== '''การปกครองโดยกองทัพในประเทศเมียนมาร์''' ===
=== '''การปกครองโดยกองทัพในประเทศเมียนมาร์''' ===


          นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 จนกระทั่งปัจจุบัน (2564) ประเทศเมียนมาร์ตกอยู่ภายใต้การปกครองของกองทัพเป็นส่วนใหญ่ คู่ขนานกันกับการที่นาง'''ออง ซาน ซูจี''' ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเรียกร้องประชาธิปไตยในเมียนมาร์ ใน พ.ศ. 2533 กองทัพได้ยอมให้มีการเลือกตั้งอย่างเสรีเป็นครั้งแรกและ'''พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National League for Democracy: NLD)''' ที่นำโดยนาง'''ออง ซาน ซูจี''' ซึ่งเป็นทายาทของอดีตนักเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชและบิดาของรัฐพม่าสมัยใหม่ ได้รับเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ทว่ารัฐบาลทหารได้กักบริเวณเธอไว้ในบ้านพักเป็นเวลากว่า 15 ปี โดยที่รัฐบาลทหารยังคงกุมอำนาจในการบริหารประเทศต่อไป[[#_ftn1|[1]]] อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2551 รัฐบาลทหารได้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับหนึ่งขึ้นเพื่อเปิดทางให้กับรัฐบาลพลเรือน แต่ยังคงสงวนตำแหน่งสำคัญไว้ให้คนของฝ่ายตนเอง อันได้แก่ 1 ใน 4 ของที่นั่งในสภา ตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมและรัฐมนตรีกระทรวงกิจการพรมแดน ที่สำคัญก็คือ กองทัพมีอำนาจในการคัดค้านการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่อาจถูกเสนอโดยสภาหรือรัฐบาล[[#_ftn2|[2]]] การจัดวางเงื่อนไขทางกฎหมายและการเมืองดังกล่าวส่งผลให้กองทัพยังคงมีอิทธิพลต่อการบริหารประเทศ ดังนั้น เพื่อที่จะคลายแรงกดดันจากนานาชาติ นาง'''ออง ซาน ซูจี''' จึงได้รับการปล่อยตัวในปี พ.ศ. 2553 และพรรค NLD ของเธอก็ชนะเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ. 2558 อย่างถล่มทลาย การเลือกตั้งครั้งนี้ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลชาติตะวันตกว่าเป็นหมุดหมายสำคัญของการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยของเมียนมาร์ในรอบ 50 ปี[[#_ftn3|[3]]] ชัยชนะของนาง'''ออง ซาน ซูจี''' และ'''พรรค NLD''' ในปี พ.ศ. 2558 ส่งผลให้เธอขึ้นสู่ตำแหน่งประธานที่ปรึกษาแห่งรัฐ อันเป็นตำแหน่งใหม่ที่ตั้งขึ้นเพื่อเลี่ยงจากลักษณะต้องห้ามที่ถูกระบุไว้ไม่ให้เธอได้เป็นประธานาธิบดีในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2551 ที่ร่างโดยกองทัพ
          นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 จนกระทั่งปัจจุบัน (2564) ประเทศเมียนมาร์ตกอยู่ภายใต้การปกครองของกองทัพเป็นส่วนใหญ่ คู่ขนานกันกับการที่นาง'''ออง ซาน ซูจี''' ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเรียกร้องประชาธิปไตยในเมียนมาร์ใน พ.ศ. 2533 กองทัพได้ยอมให้มีการเลือกตั้งอย่างเสรีเป็นครั้งแรกและ'''พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National League for Democracy: NLD)''' ที่นำโดย นาง'''ออง ซาน ซูจี''' ซึ่งเป็นทายาทของอดีตนักเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชและบิดาของรัฐพม่าสมัยใหม่ได้รับเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ทว่ารัฐบาลทหารได้กักบริเวณเธอไว้ในบ้านพักเป็นเวลากว่า 15 ปี โดยที่รัฐบาลทหารยังคงกุมอำนาจในการบริหารประเทศต่อไป[[#_ftn1|[1]]] อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2551 รัฐบาลทหารได้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับหนึ่งขึ้นเพื่อเปิดทางให้กับรัฐบาลพลเรือน แต่ยังคงสงวนตำแหน่งสำคัญไว้ให้คนของฝ่ายตนเอง อันได้แก่ 1 ใน 4 ของที่นั่งในสภา ตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมและรัฐมนตรีกระทรวงกิจการพรมแดนที่สำคัญก็คือ กองทัพมีอำนาจในการคัดค้านการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่อาจถูกเสนอโดยสภาหรือรัฐบาล[[#_ftn2|[2]]] การจัดวางเงื่อนไขทางกฎหมายและการเมืองดังกล่าวส่งผลให้กองทัพยังคงมีอิทธิพลต่อการบริหารประเทศ ดังนั้นเพื่อที่จะคลายแรงกดดันจากนานาชาติ นาง'''ออง ซาน ซูจี''' จึงได้รับการปล่อยตัวในปี พ.ศ. 2553 และพรรค NLD ของเธอก็ชนะเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ. 2558 อย่างถล่มทลาย การเลือกตั้งครั้งนี้ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลชาติตะวันตกว่าเป็นหมุดหมายสำคัญของการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยของเมียนมาร์ในรอบ 50 ปี[[#_ftn3|[3]]] ชัยชนะของ นาง'''ออง ซาน ซูจี''' และ'''พรรค NLD''' ในปี พ.ศ. 2558 ส่งผลให้เธอขึ้นสู่ตำแหน่งประธานที่ปรึกษาแห่งรัฐ อันเป็นตำแหน่งใหม่ที่ตั้งขึ้นเพื่อเลี่ยงจากลักษณะต้องห้ามที่ถูกระบุไว้ไม่ให้เธอได้เป็นประธานาธิบดีในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2551 ที่ร่างโดยกองทัพ


 
 
บรรทัดที่ 21: บรรทัดที่ 22:
=== '''สาเหตุการรัฐประหารเดือนกุมภาพันธ์ 2564''' ===
=== '''สาเหตุการรัฐประหารเดือนกุมภาพันธ์ 2564''' ===


          ในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2563 '''พรรค NLD''' ภายใต้การนำของนาง'''ออง ซาน ซูจี''' ชนะการเลือกตั้งอีกครั้งอย่างถล่มทลายไปด้วยคะแนนสูงสุดถึง 396 จาก 498 ที่นั่งที่ต้องมาจากการเลือกตั้ง ขณะที่ฝ่ายค้านอย่าง'''พรรคพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (Union Solidarity and Development Party: USDP)''' ซึ่งมีกองทัพหนุนหลังได้ที่นั่งไปเพียง 33 ที่นั่งในสภา[[#_ftn4|[4]]] ภายหลังจากการเลือกตั้งไม่นานพรรคฝ่ายค้านได้ออกมาแถลงไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งครั้งนี้ และเรียกร้องให้มีการจัดเลือกตั้งขึ้นใหม่ทั้งหมด เนื่องจากมองว่าเป็นการเลือกตั้งที่ขาดความโปร่งใสและไม่เป็นธรรมในการรณรงค์หาเสียง ขณะเดียวกันกองทัพก็แสดงความคิดเห็นไปในทิศทางคล้ายคลึงกันว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีความผิดปกติหลายประการ เช่น การกล่าวหาว่ามีบัตรผี มีการละเมิดกฎหมายและระเบียบปฏิบัติในการเลือกตั้งกว่า 10.5 ล้านกรณี จึงเรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (the Union Election Commission) ดำเนินการตรวจสอบ[[#_ftn5|[5]]] ทว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกมายืนยันว่าไม่มีหลักฐานการทุจริตเลือกตั้งใดๆ ปรากฏให้เห็นเพราะการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2563 นั้น ดำเนินการด้วยความเป็นธรรมและโปร่งใส ผลการเลือกตั้งถือเป็นที่สุดและจะไม่มีการเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง[[#_ftn6|[6]]]
          ในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2563 '''พรรค NLD''' ภายใต้การนำของ นาง'''ออง ซาน ซูจี''' ชนะการเลือกตั้งอีกครั้งอย่างถล่มทลายไปด้วยคะแนนสูงสุดถึง 396 จาก 498 ที่นั่งที่ต้องมาจากการเลือกตั้ง ขณะที่ฝ่ายค้านอย่าง'''พรรคพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (Union Solidarity and Development Party: USDP)''' ซึ่งมีกองทัพหนุนหลังได้ที่นั่งไปเพียง 33 ที่นั่งในสภา[[#_ftn4|[4]]] ภายหลังจากการเลือกตั้งไม่นานพรรคฝ่ายค้านได้ออกมาแถลงไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งครั้งนี้ และเรียกร้องให้มีการจัดเลือกตั้งขึ้นใหม่ทั้งหมด เนื่องจากมองว่าเป็นการเลือกตั้งที่ขาดความโปร่งใสและไม่เป็นธรรมในการรณรงค์หาเสียง ขณะเดียวกันกองทัพก็แสดงความคิดเห็นไปในทิศทางคล้ายคลึงกันว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีความผิดปกติหลายประการ เช่น การกล่าวหาว่ามีบัตรผี มีการละเมิดกฎหมายและระเบียบปฏิบัติในการเลือกตั้งกว่า 10.5 ล้านกรณี จึงเรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (the Union Election Commission) ดำเนินการตรวจสอบ[[#_ftn5|[5]]] ทว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกมายืนยันว่าไม่มีหลักฐานการทุจริตเลือกตั้งใด ๆ ปรากฏให้เห็นเพราะการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2563 นั้น ดำเนินการด้วยความเป็นธรรมและโปร่งใส ผลการเลือกตั้งถือเป็นที่สุดและจะไม่มีการเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง[[#_ftn6|[6]]]


          เช้าวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เพียงวันเดียวก่อนที่สมาชิกสภาชุดใหม่ที่ได้รับเลือกตั้งจะเข้าพิธีปฏิญาณตน กองทัพได้เข้าควบคุมตัวนาง'''ออง ซาน ซูจี''' ประธานาธิบดี '''วี่น-มหยิ่น''' และผู้นำระดับสูงของพรรคNLD (ภายหลังได้ตั้งข้อกล่าวหา นางออง ซาน ซูจี (อาทิ การรับสินบน การนำเข้าอุปกรณ์สื่อสารพกพา (walkie-talkies) และการยุยงปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบในประเทศ)[[#_ftn7|[7]]] คณะรัฐประหารได้ประกาศผ่านโทรทัศน์ว่าบุคคลข้างต้นได้ถูกคุมตัวไว้ในสถานที่ปลอดภัยและประกาศให้ประเทศอยู่ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเวลาหนึ่งปี โดยนาย'''มหยิ่นซเว (Myint Swe)''' ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีรักษาการ และให้ถ่ายโอนอำนาจทั้งหมดไปที่พลเอกอาวุโส'''มิน อ่อง หล่าย''' ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งจะทำหน้าที่สืบสวนเหตุทุจริตเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ด้วย กองทัพยังอ้างว่าอำนาจดังกล่าวมีความชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2551 ที่ระบุว่าภายใต้สภาวะฉุกเฉินนั้น ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมีสิทธิอันชอบธรรมในการรวบ และใช้อำนาจอธิปไตยของรัฐ นอกจากนั้นแล้วยังมีการประกาศว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายหลังจากการปรับโครงสร้างคณะกรรมการการเลือกตั้ง และมีการตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งแล้วเสร็จ แต่ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าจะให้มีการเลือกตั้งเมื่อใด[[#_ftn8|[8]]]
          เช้าวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เพียงวันเดียวก่อนที่สมาชิกสภาชุดใหม่ที่ได้รับเลือกตั้งจะเข้าพิธีปฏิญาณตน กองทัพได้เข้าควบคุมตัว นาง'''ออง ซาน ซูจี''' ประธานาธิบดี '''วี่น-มหยิ่น''' และผู้นำระดับสูงของพรรคNLD (ภายหลังได้ตั้งข้อกล่าวหา นางออง ซาน ซูจี (อาทิ การรับสินบน การนำเข้าอุปกรณ์สื่อสารพกพา (walkie-talkies) และการยุยงปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบในประเทศ)[[#_ftn7|[7]]] คณะรัฐประหารได้ประกาศผ่านโทรทัศน์ว่าบุคคลข้างต้นได้ถูกคุมตัวไว้ในสถานที่ปลอดภัยและประกาศให้ประเทศอยู่ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเวลาหนึ่งปี โดยนาย'''มหยิ่นซเว (Myint Swe)''' ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีรักษาการ และให้ถ่ายโอนอำนาจทั้งหมดไปที่พลเอกอาวุโส '''มิน อ่อง หล่าย''' ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งจะทำหน้าที่สืบสวนเหตุทุจริตเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ด้วย กองทัพยังอ้างว่าอำนาจดังกล่าวมีความชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2551 ที่ระบุว่าภายใต้สภาวะฉุกเฉินนั้น ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมีสิทธิอันชอบธรรมในการรวบ และใช้อำนาจอธิปไตยของรัฐ นอกจากนั้นแล้วยังมีการประกาศว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายหลังจากการปรับโครงสร้างคณะกรรมการการเลือกตั้ง และมีการตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งแล้วเสร็จ แต่ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าจะให้มีการเลือกตั้งเมื่อใด[[#_ftn8|[8]]]


 
 
บรรทัดที่ 29: บรรทัดที่ 30:
=== '''ปฏิกิริยาต่อต้านจากประชาชนและนานาชาติ''' ===
=== '''ปฏิกิริยาต่อต้านจากประชาชนและนานาชาติ''' ===


          ภายหลังการรัฐประหารไม่นานประชาชนชาวเมียนมาร์นับหมื่นได้ออกมาชุมนุมประท้วงต่อต้านการรัฐประหาร ซึ่งต่อมาได้มีกลุ่มวิชาชีพได้ออกมารวมตัวกันจัดตั้งภายใต้ชื่อ '''"ขบวนการเคลื่อนไหวอารยะขัดขืน" (Civil Disobedience Movement: CDM)''' อันประกอบด้วยบุคคลจากหลายอาชีพไม่ว่าจะเป็นแพทย์ ครู นักกฎหมาย และทนายความ ซึ่งมีกลยุทธ์หลักคือการใช้วิธีการหยุดงานอันส่งผลให้ระบบราชการภายใต้รัฐบาลทหารต้องหยุดชะงัก และเกิดกระแสเคลื่อนไหวประท้วงรัฐบาลทหารไปทั่วประเทศจนได้รับการขนานนามการเคลื่อนไหวครั้งนี้ว่า '''“การปฏิวัติฤดูใบไม้ผลิ” (Spring Revolution)''' นักวิเคราะห์ชาวเมียนมาร์รายหนึ่งรายงานว่า '''“การปฏิวัติฤดูใบไม้ผลิเป็นกระบวนการเคลื่อนไหวมวลชนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เมียนมาร์ยุคปัจจุบัน จนกระทั่งถึงตอนนี้ ระบบราชการของรัฐบาลทหารเป็นอัมพาตเพราะการเคลื่อนไหวของกลุ่ม CDM”'''[[#_ftn9|[9]]]
          ภายหลังการรัฐประหารไม่นานประชาชนชาวเมียนมาร์นับหมื่นได้ออกมาชุมนุมประท้วงต่อต้านการรัฐประหาร ซึ่งต่อมาได้มีกลุ่มวิชาชีพได้ออกมารวมตัวกันจัดตั้งภายใต้ชื่อ '''"ขบวนการเคลื่อนไหวอารยะขัดขืน" (Civil Disobedience Movement: CDM)''' อันประกอบด้วยบุคคลจากหลายอาชีพไม่ว่าจะเป็นแพทย์ ครู นักกฎหมาย และทนายความ ซึ่งมีกลยุทธ์หลักคือการใช้วิธีการหยุดงานอันส่งผลให้ระบบราชการภายใต้รัฐบาลทหารต้องหยุดชะงัก และเกิดกระแสเคลื่อนไหวประท้วงรัฐบาลทหารไปทั่วประเทศจนได้รับการขนานนามการเคลื่อนไหวครั้งนี้ว่า '''“การปฏิวัติฤดูใบไม้ผลิ” (Spring Revolution)''' นักวิเคราะห์ชาวเมียนมาร์รายหนึ่งรายงานว่า “การปฏิวัติฤดูใบไม้ผลิเป็นกระบวนการเคลื่อนไหวมวลชนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เมียนมาร์ยุคปัจจุบัน จนกระทั่งถึงตอนนี้ ระบบราชการของรัฐบาลทหารเป็นอัมพาตเพราะการเคลื่อนไหวของกลุ่ม CDM”[[#_ftn9|[9]]]


          ในทางกลับกัน รัฐบาลทหารได้เข้าปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วงอย่างหนักด้วยกองกำลังติดอาวุธส่งผลให้นับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ จนกระทั่งถึง 18 สิงหาคม พ.ศ. 2564 มีพลเรือนเสียชีวิตไปแล้วกว่า 1,000 คน[[#_ftn10|[10]]] ทั้งนี้ เป้าหมายปัจจุบันของกลุ่มต่อต้านนั้นไปไกลกว่าในช่วงแรก ๆ ที่ต้องการเพียงให้มีการปล่อยตัวนาง'''ออง ซาน ซูจี''' ประธานาธิบดี '''วี่น-มหยิ่น''' และคืนอำนาจไปสู่ก่อนการรัฐประหาร ทว่าเมื่อทหารเริ่มใช้ความรุนแรงจนกระทั่งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ปัจจุบันกลุ่มต่อต้านต้องการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบประชาธิปไตยเต็มใบที่มีรัฐบาลพลเรือนและเรียกร้องให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2551 ที่น่ากังวลก็คือ ความรุนแรงถูกใช้เป็นยุทธศาสตร์ของผู้ชุมนุมที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการตอบโต้เจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้นแต่ยังขยายไปสู่พื้นที่ชนบทและในชุมชนต่อผู้ที่ไม่เข้าร่วมขบวนการต่อต้านด้วย[[#_ftn11|[11]]] นอกจากนั้นแล้วความรุนแรงและความตึงเครียดทางการเมืองยังยกระดับไปอีกขั้นหนึ่งเมื่อกลุ่มชาติติพันธุ์ติดอาวุธ 10 กลุ่ม ประกาศรวมตัวกันยืนเคียงข้างประชาชนและจัดตั้ง '''“กองกำลังสหพันธรัฐ”''' ต่อต้านรัฐบาลทหาร เพื่อตอบโต้การที่รัฐบาลทหารใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุม[[#_ftn12|[12]]]
          ในทางกลับกันรัฐบาลทหารได้เข้าปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วงอย่างหนักด้วยกองกำลังติดอาวุธส่งผลให้นับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ จนกระทั่งถึง 18 สิงหาคม พ.ศ. 2564 มีพลเรือนเสียชีวิตไปแล้วกว่า 1,000 คน[[#_ftn10|[10]]] ทั้งนี้ เป้าหมายปัจจุบันของกลุ่มต่อต้านนั้นไปไกลกว่าในช่วงแรก ๆ ที่ต้องการเพียงให้มีการปล่อยตัว นาง'''ออง ซาน ซูจี''' ประธานาธิบดี '''วี่น-มหยิ่น''' และคืนอำนาจไปสู่ก่อนการรัฐประหาร ทว่าเมื่อทหารเริ่มใช้ความรุนแรงจนกระทั่งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ปัจจุบันกลุ่มต่อต้านต้องการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบประชาธิปไตยเต็มใบที่มีรัฐบาลพลเรือนและเรียกร้องให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2551 ที่น่ากังวลก็คือ ความรุนแรงถูกใช้เป็นยุทธศาสตร์ของผู้ชุมนุมที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการตอบโต้เจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้นแต่ยังขยายไปสู่พื้นที่ชนบทและในชุมชนต่อผู้ที่ไม่เข้าร่วมขบวนการต่อต้านด้วย[[#_ftn11|[11]]] นอกจากนั้นแล้วความรุนแรงและความตึงเครียดทางการเมืองยังยกระดับไปอีกขั้นหนึ่งเมื่อกลุ่มชาติติพันธุ์ติดอาวุธ 10 กลุ่ม ประกาศรวมตัวกันยืนเคียงข้างประชาชนและจัดตั้ง '''“กองกำลังสหพันธรัฐ”''' ต่อต้านรัฐบาลทหาร เพื่อตอบโต้การที่รัฐบาลทหารใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุม[[#_ftn12|[12]]]


          ทันทีที่ข่าวการรัฐประหารในเมียนมาร์กระจายไปทั่วโลกก็เกิดปฏิกิริยาจากชาติมหาอำนาจ และนานาชาติต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ประธานาธิบดี'''โจ ไบเดน (Joe Biden)''' ของสหรัฐอเมริกา แสดงท่าทีประณามคณะรัฐประหารและเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวเจ้าหน้าที่และนักกิจกรรมชาวเมียนมาร์ที่ถูกควบคุมตัวในทันที พร้อมทั้งประกาศจะทบทวนนโยบายต่างประเทศที่มีต่อประเทศเมียนมาร์ เช่นเดียวกับผู้นำจากชาติอื่นๆ เช่น แคนาดา อินเดีย ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ที่แสดงออกถึงท่าทีที่คล้ายคลึงกัน[[#_ftn13|[13]]] ขณะที่ประเทศที่แสดงความห่วงกังวลต่อสถานการณ์และสนับสนุนให้มีการเจรจาเพื่อหาทางออกให้แก่ทุกฝ่าย ได้แก่ จีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเกาหลีใต้ ส่วนประเทศไทย เวียดนาม และกัมพูชา วางท่าทีเป็นกลางด้วยการให้เหตุผลว่าการรัฐประหารในเมียนมาร์เป็นกิจการภายในประเทศซึ่งจะไม่เข้าไปแทรกแซง[[#_ftn14|[14]]]
          ทันทีที่ข่าวการรัฐประหารในเมียนมาร์กระจายไปทั่วโลกก็เกิดปฏิกิริยาจากชาติมหาอำนาจ และนานาชาติต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ประธานาธิบดี '''โจ ไบเดน (Joe Biden)''' ของสหรัฐอเมริกา แสดงท่าทีประณามคณะรัฐประหารและเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวเจ้าหน้าที่และนักกิจกรรมชาวเมียนมาร์ที่ถูกควบคุมตัวในทันที พร้อมทั้งประกาศจะทบทวนนโยบายต่างประเทศที่มีต่อประเทศเมียนมาร์ เช่นเดียวกับผู้นำจากชาติอื่น ๆ เช่น แคนาดา อินเดีย ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ที่แสดงออกถึงท่าทีที่คล้ายคลึงกัน[[#_ftn13|[13]]] ขณะที่ประเทศที่แสดงความห่วงกังวลต่อสถานการณ์และสนับสนุนให้มีการเจรจาเพื่อหาทางออกให้แก่ทุกฝ่าย ได้แก่ จีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเกาหลีใต้ ส่วนประเทศไทย เวียดนาม และกัมพูชา วางท่าทีเป็นกลางด้วยการให้เหตุผลว่าการรัฐประหารในเมียนมาร์เป็นกิจการภายในประเทศซึ่งจะไม่เข้าไปแทรกแซง[[#_ftn14|[14]]]


 
 

รุ่นแก้ไขเมื่อ 14:16, 18 กุมภาพันธ์ 2565

ผู้เรียบเรียง รองศาสตราจารย์ ดร.อรรถสิทธิ์ พานแก้ว

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.ไชยวัฒน์ ค้ำชู

 

 

บทนำ

          รัฐประหารในเมียนมาร์ เป็นเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 โดยกองทัพเมียนมาร์ (Tatmadaw) ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศเป็นเวลาหนึ่งปีและถ่ายโอนอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนมาสู่พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย (Min Aung Hlaing) ผู้บัญชาการทหารสูงสุด และได้ประกาศให้การเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2563 เป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบธรรมและให้สัญญาว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปใหม่ขึ้นภายหลังสิ้นสุดสถานการณ์ฉุกเฉิน เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพียงหนึ่งวันก่อนพิธีปฏิญาณตนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ มีการจับกุมตัวนางออง ซาน ซูจี (Aung San Suu Kyi) ประธานที่ปรึกษาแห่งรัฐและผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National League for Democracy: NLD) ประธานาธิบดี วี่น-มหยิ่น (Win Myint) และผู้นำคนสำคัญของพรรค NLD สำหรับสาเหตุของการรัฐประหารในครั้งนี้มาจากผลการเลือกตั้งทั่วไปที่พรรค NLD ได้ที่นั่งสูงถึง 396 ที่นั่งจากทั้งหมด 498 ที่นั่งที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งถูกกล่าวหาจากฝ่ายกองทัพว่าเต็มไปด้วยการทุจริตเลือกตั้ง ทั้งนี้ภายหลังเหตุการณ์รัฐประหาร นานาชาติต่างออกมาแสดงท่าทีต่อการกระทำดังกล่าว มีทั้งการประณาม การแสดงความกังวล และการวางตัวเป็นกลาง ขณะที่ประชาชนจากหลายเมืองทั่วประเทศได้ออกมาชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาล แม้รัฐบาลทหารจะจัดการกับผู้ชุมนุมด้วยความรุนแรง ซึ่งส่งผลให้ประชาชนบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก ไม่นับรวมผู้ที่ถูกจับกลุ่มคุมขังดำเนินคดี แต่ประชาชนก็ยังออกมาชุมนุมประท้วงและมีแนวโน้มที่จะเกิดความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนั้นแล้วกองทัพชาติพันธุ์ในเมียนมาร์ยังได้ออกมาประกาศที่จะยืนเคียงข้างประชาชนและจัดตั้งกองกำลังต่อต้านรัฐบาลทหาร ส่งผลให้ปัญหาความขัดแย้งในเมียนมาร์ซับซ้อนและแหลมคมยิ่งขึ้นทุกขณะ

 

การปกครองโดยกองทัพในประเทศเมียนมาร์

          นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 จนกระทั่งปัจจุบัน (2564) ประเทศเมียนมาร์ตกอยู่ภายใต้การปกครองของกองทัพเป็นส่วนใหญ่ คู่ขนานกันกับการที่นางออง ซาน ซูจี ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของการเรียกร้องประชาธิปไตยในเมียนมาร์ใน พ.ศ. 2533 กองทัพได้ยอมให้มีการเลือกตั้งอย่างเสรีเป็นครั้งแรกและพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National League for Democracy: NLD) ที่นำโดย นางออง ซาน ซูจี ซึ่งเป็นทายาทของอดีตนักเคลื่อนไหวเพื่อเอกราชและบิดาของรัฐพม่าสมัยใหม่ได้รับเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ทว่ารัฐบาลทหารได้กักบริเวณเธอไว้ในบ้านพักเป็นเวลากว่า 15 ปี โดยที่รัฐบาลทหารยังคงกุมอำนาจในการบริหารประเทศต่อไป[1] อย่างไรก็ตาม ในปี พ.ศ. 2551 รัฐบาลทหารได้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับหนึ่งขึ้นเพื่อเปิดทางให้กับรัฐบาลพลเรือน แต่ยังคงสงวนตำแหน่งสำคัญไว้ให้คนของฝ่ายตนเอง อันได้แก่ 1 ใน 4 ของที่นั่งในสภา ตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมและรัฐมนตรีกระทรวงกิจการพรมแดนที่สำคัญก็คือ กองทัพมีอำนาจในการคัดค้านการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่อาจถูกเสนอโดยสภาหรือรัฐบาล[2] การจัดวางเงื่อนไขทางกฎหมายและการเมืองดังกล่าวส่งผลให้กองทัพยังคงมีอิทธิพลต่อการบริหารประเทศ ดังนั้นเพื่อที่จะคลายแรงกดดันจากนานาชาติ นางออง ซาน ซูจี จึงได้รับการปล่อยตัวในปี พ.ศ. 2553 และพรรค NLD ของเธอก็ชนะเลือกตั้งทั่วไปในปี พ.ศ. 2558 อย่างถล่มทลาย การเลือกตั้งครั้งนี้ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลชาติตะวันตกว่าเป็นหมุดหมายสำคัญของการเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตยของเมียนมาร์ในรอบ 50 ปี[3] ชัยชนะของ นางออง ซาน ซูจี และพรรค NLD ในปี พ.ศ. 2558 ส่งผลให้เธอขึ้นสู่ตำแหน่งประธานที่ปรึกษาแห่งรัฐ อันเป็นตำแหน่งใหม่ที่ตั้งขึ้นเพื่อเลี่ยงจากลักษณะต้องห้ามที่ถูกระบุไว้ไม่ให้เธอได้เป็นประธานาธิบดีในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2551 ที่ร่างโดยกองทัพ

 

สาเหตุการรัฐประหารเดือนกุมภาพันธ์ 2564

          ในการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2563 พรรค NLD ภายใต้การนำของ นางออง ซาน ซูจี ชนะการเลือกตั้งอีกครั้งอย่างถล่มทลายไปด้วยคะแนนสูงสุดถึง 396 จาก 498 ที่นั่งที่ต้องมาจากการเลือกตั้ง ขณะที่ฝ่ายค้านอย่างพรรคพรรคสหสามัคคีและการพัฒนา (Union Solidarity and Development Party: USDP) ซึ่งมีกองทัพหนุนหลังได้ที่นั่งไปเพียง 33 ที่นั่งในสภา[4] ภายหลังจากการเลือกตั้งไม่นานพรรคฝ่ายค้านได้ออกมาแถลงไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งครั้งนี้ และเรียกร้องให้มีการจัดเลือกตั้งขึ้นใหม่ทั้งหมด เนื่องจากมองว่าเป็นการเลือกตั้งที่ขาดความโปร่งใสและไม่เป็นธรรมในการรณรงค์หาเสียง ขณะเดียวกันกองทัพก็แสดงความคิดเห็นไปในทิศทางคล้ายคลึงกันว่าการเลือกตั้งครั้งนี้มีความผิดปกติหลายประการ เช่น การกล่าวหาว่ามีบัตรผี มีการละเมิดกฎหมายและระเบียบปฏิบัติในการเลือกตั้งกว่า 10.5 ล้านกรณี จึงเรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (the Union Election Commission) ดำเนินการตรวจสอบ[5] ทว่าคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ออกมายืนยันว่าไม่มีหลักฐานการทุจริตเลือกตั้งใด ๆ ปรากฏให้เห็นเพราะการเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2563 นั้น ดำเนินการด้วยความเป็นธรรมและโปร่งใส ผลการเลือกตั้งถือเป็นที่สุดและจะไม่มีการเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง[6]

          เช้าวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เพียงวันเดียวก่อนที่สมาชิกสภาชุดใหม่ที่ได้รับเลือกตั้งจะเข้าพิธีปฏิญาณตน กองทัพได้เข้าควบคุมตัว นางออง ซาน ซูจี ประธานาธิบดี วี่น-มหยิ่น และผู้นำระดับสูงของพรรคNLD (ภายหลังได้ตั้งข้อกล่าวหา นางออง ซาน ซูจี (อาทิ การรับสินบน การนำเข้าอุปกรณ์สื่อสารพกพา (walkie-talkies) และการยุยงปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบในประเทศ)[7] คณะรัฐประหารได้ประกาศผ่านโทรทัศน์ว่าบุคคลข้างต้นได้ถูกคุมตัวไว้ในสถานที่ปลอดภัยและประกาศให้ประเทศอยู่ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเวลาหนึ่งปี โดยนายมหยิ่นซเว (Myint Swe) ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีรักษาการ และให้ถ่ายโอนอำนาจทั้งหมดไปที่พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งจะทำหน้าที่สืบสวนเหตุทุจริตเลือกตั้งเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ด้วย กองทัพยังอ้างว่าอำนาจดังกล่าวมีความชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2551 ที่ระบุว่าภายใต้สภาวะฉุกเฉินนั้น ผู้บัญชาการทหารสูงสุดมีสิทธิอันชอบธรรมในการรวบ และใช้อำนาจอธิปไตยของรัฐ นอกจากนั้นแล้วยังมีการประกาศว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายหลังจากการปรับโครงสร้างคณะกรรมการการเลือกตั้ง และมีการตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งแล้วเสร็จ แต่ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าจะให้มีการเลือกตั้งเมื่อใด[8]

 

ปฏิกิริยาต่อต้านจากประชาชนและนานาชาติ

          ภายหลังการรัฐประหารไม่นานประชาชนชาวเมียนมาร์นับหมื่นได้ออกมาชุมนุมประท้วงต่อต้านการรัฐประหาร ซึ่งต่อมาได้มีกลุ่มวิชาชีพได้ออกมารวมตัวกันจัดตั้งภายใต้ชื่อ "ขบวนการเคลื่อนไหวอารยะขัดขืน" (Civil Disobedience Movement: CDM) อันประกอบด้วยบุคคลจากหลายอาชีพไม่ว่าจะเป็นแพทย์ ครู นักกฎหมาย และทนายความ ซึ่งมีกลยุทธ์หลักคือการใช้วิธีการหยุดงานอันส่งผลให้ระบบราชการภายใต้รัฐบาลทหารต้องหยุดชะงัก และเกิดกระแสเคลื่อนไหวประท้วงรัฐบาลทหารไปทั่วประเทศจนได้รับการขนานนามการเคลื่อนไหวครั้งนี้ว่า “การปฏิวัติฤดูใบไม้ผลิ” (Spring Revolution) นักวิเคราะห์ชาวเมียนมาร์รายหนึ่งรายงานว่า “การปฏิวัติฤดูใบไม้ผลิเป็นกระบวนการเคลื่อนไหวมวลชนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เมียนมาร์ยุคปัจจุบัน จนกระทั่งถึงตอนนี้ ระบบราชการของรัฐบาลทหารเป็นอัมพาตเพราะการเคลื่อนไหวของกลุ่ม CDM”[9]

          ในทางกลับกันรัฐบาลทหารได้เข้าปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วงอย่างหนักด้วยกองกำลังติดอาวุธส่งผลให้นับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ จนกระทั่งถึง 18 สิงหาคม พ.ศ. 2564 มีพลเรือนเสียชีวิตไปแล้วกว่า 1,000 คน[10] ทั้งนี้ เป้าหมายปัจจุบันของกลุ่มต่อต้านนั้นไปไกลกว่าในช่วงแรก ๆ ที่ต้องการเพียงให้มีการปล่อยตัว นางออง ซาน ซูจี ประธานาธิบดี วี่น-มหยิ่น และคืนอำนาจไปสู่ก่อนการรัฐประหาร ทว่าเมื่อทหารเริ่มใช้ความรุนแรงจนกระทั่งมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ปัจจุบันกลุ่มต่อต้านต้องการเปลี่ยนแปลงไปสู่ระบอบประชาธิปไตยเต็มใบที่มีรัฐบาลพลเรือนและเรียกร้องให้ยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2551 ที่น่ากังวลก็คือ ความรุนแรงถูกใช้เป็นยุทธศาสตร์ของผู้ชุมนุมที่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการตอบโต้เจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้นแต่ยังขยายไปสู่พื้นที่ชนบทและในชุมชนต่อผู้ที่ไม่เข้าร่วมขบวนการต่อต้านด้วย[11] นอกจากนั้นแล้วความรุนแรงและความตึงเครียดทางการเมืองยังยกระดับไปอีกขั้นหนึ่งเมื่อกลุ่มชาติติพันธุ์ติดอาวุธ 10 กลุ่ม ประกาศรวมตัวกันยืนเคียงข้างประชาชนและจัดตั้ง “กองกำลังสหพันธรัฐ” ต่อต้านรัฐบาลทหาร เพื่อตอบโต้การที่รัฐบาลทหารใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุม[12]

          ทันทีที่ข่าวการรัฐประหารในเมียนมาร์กระจายไปทั่วโลกก็เกิดปฏิกิริยาจากชาติมหาอำนาจ และนานาชาติต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ประธานาธิบดี โจ ไบเดน (Joe Biden) ของสหรัฐอเมริกา แสดงท่าทีประณามคณะรัฐประหารและเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวเจ้าหน้าที่และนักกิจกรรมชาวเมียนมาร์ที่ถูกควบคุมตัวในทันที พร้อมทั้งประกาศจะทบทวนนโยบายต่างประเทศที่มีต่อประเทศเมียนมาร์ เช่นเดียวกับผู้นำจากชาติอื่น ๆ เช่น แคนาดา อินเดีย ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ที่แสดงออกถึงท่าทีที่คล้ายคลึงกัน[13] ขณะที่ประเทศที่แสดงความห่วงกังวลต่อสถานการณ์และสนับสนุนให้มีการเจรจาเพื่อหาทางออกให้แก่ทุกฝ่าย ได้แก่ จีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเกาหลีใต้ ส่วนประเทศไทย เวียดนาม และกัมพูชา วางท่าทีเป็นกลางด้วยการให้เหตุผลว่าการรัฐประหารในเมียนมาร์เป็นกิจการภายในประเทศซึ่งจะไม่เข้าไปแทรกแซง[14]

 

บรรณานุกรม

“Aung San Suu Kyi, NLD Win Second Landslide Election in Myanmar." VOA (November 15, 2020). Available <https://www.voanews.com/a/east-asia-pacific_aung-san-suu-kyi-nld-win-second-landslide-election-myanmar/6198393.html>. Accessed September 4, 2021.

Yeung, Jessie. "Myanmar's military has detained leader Aung San Suu Kyi in a coup. Here's what you need to know." CNN (March 10, 2021). Available <https://edition.cnn.com/2021/02/01/asia/myanmar-military-coup-explainer-intl-hnk-scli/index.html>. Accessed September 4, 2021.

“More than 1,000 killed in Myanmar since February 1 coup." Aljazeera (August 8, 202). Available <https://www.aljazeera.com/news/2021/8/18/myanmar-coup-aapp-1000-killed-military>. Accessed September 3, 2021.

“Myanmar coup: What is happening and why?." BBC (April 1, 2021). Available <https://www.bbc.com/news/world-asia-55902070>. Accessed September 4, 2021.

“Myanmar: Aung San Suu Kyi faces most serious corruption charge yet." BBC (June 10, 2021). Available <https://www.bbc.com/news/world-asia-57424594>. Accessed September 4, 2021.

“Myanmar: Aung San Suu Kyi's party wins majority in election." BBC (November 13, 2020). Available <https://www.bbc.com/news/world-asia-54899170>. Accessed September 4, 2021.

Strangio, Sebastian. "Richard Horsey on Myanmar 7 Months After the Coup." The Diplomat (September 1, 2021). Available <https://thediplomat.com/2021/08/richard-horsey-on-myanmar-7-months-after-the-coup/>. Accessed September 3, 2021.

“‘Serious blow to democracy’: World condemns Myanmar military coup." Aljazeera (February 1, 2021). Available <https://www.aljazeera.com/news/2021/2/1/world-reacts-to-military-coup-in-myanmar>. Accessed September 4, 2021.

“The Battle for Myanmar Six Months After the Coup." VOA (August 6, 2021). Available <https://www.voanews.com/a/east-asia-pacific_battle-myanmar-six-months-after-coup/6209265.html>. Accessed September 4, 2021.

“West condemns Myanmar coup but Thailand, Cambodia shrug." Bangkok Post (February 1, 2021). Available <https://www.bangkokpost.com/world/2060651/west-condemns-myanmar-coup-but-thailand-cambodia-shrug>. Accessed September 4, 2021.

“ยกระดับสงครามระหว่าง กลุ่มชาติพันธุ์กับกองทัพพม่า." ไทยโพสต์ (9 เมษายน 2564). เข้าถึงจาก <https://www.thaipost.net/main/detail/98828>. เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2564.

 

อ้างอิง

[1] "Myanmar coup: What is happening and why?," BBC (April 1, 2021). Available <https://www.bbc.com/news/world-asia-55902070>. Accessed September 4, 2021.

[2] Jessie Yeung, "Myanmar's military has detained leader Aung San Suu Kyi in a coup. Here's what you need to know," CNN (March 10, 2021). Available <https://edition.cnn.com/2021/02/01/asia/myanmar-military-coup-explainer-intl-hnk-scli/index.html>. Accessed September 4, 2021.

[3] Jessie Yeung, "Myanmar's military has detained leader Aung San Suu Kyi in a coup. Here's what you need to know," CNN (March 10, 2021). Available <https://edition.cnn.com/2021/02/01/asia/myanmar-military-coup-explainer-intl-hnk-scli/index.html>. Accessed September 4, 2021.

[4] "Aung San Suu Kyi, NLD Win Second Landslide Election in Myanmar," VOA (November 15, 2020). Available <https://www.voanews.com/a/east-asia-pacific_aung-san-suu-kyi-nld-win-second-landslide-election-myanmar/6198393.html>. Accessed September 4, 2021.

[5] Jessie Yeung, "Myanmar's military has detained leader Aung San Suu Kyi in a coup. Here's what you need to know," CNN (March 10, 2021). Available <https://edition.cnn.com/2021/02/01/asia/myanmar-military-coup-explainer-intl-hnk-scli/index.html>. Accessed September 4, 2021.

[6] "Myanmar: Aung San Suu Kyi's party wins majority in election," BBC (November 13, 2020). Available <https://www.bbc.com/news/world-asia-54899170>. Accessed September 4, 2021.

[7] "Myanmar: Aung San Suu Kyi faces most serious corruption charge yet," BBC (June 10, 2021). Available <https://www.bbc.com/news/world-asia-57424594>. Accessed September 4, 2021.

[8] Jessie Yeung, "Myanmar's military has detained leader Aung San Suu Kyi in a coup. Here's what you need to know," CNN (March 10, 2021). Available <https://edition.cnn.com/2021/02/01/asia/myanmar-military-coup-explainer-intl-hnk-scli/index.html>. Accessed September 4, 2021.

[9] "The Battle for Myanmar Six Months After the Coup," VOA (August 06, 2021). Available <https://www.voanews.com/a/east-asia-pacific_battle-myanmar-six-months-after-coup/6209265.html>. Accessed September 4, 2021.

[10] "More than 1,000 killed in Myanmar since February 1 coup," Aljazeera (August 8, 202). Available <https://www.aljazeera.com/news/2021/8/18/myanmar-coup-aapp-1000-killed-military>. Accessed September 3, 2021.

[11] Sebastian Strangio, "Richard Horsey on Myanmar 7 Months After the Coup," The Diplomat (September 1, 2021). Available <https://thediplomat.com/2021/08/richard-horsey-on-myanmar-7-months-after-the-coup/>. Accessed September 3, 2021.

[12] "ยกระดับสงครามระหว่าง กลุ่มชาติพันธุ์กับกองทัพพม่า," ไทยโพสต์ (9 เมษายน 2564). เข้าถึงจาก <https://www.thaipost.net/main/detail/98828>. เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2564.

[13] "‘Serious blow to democracy’: World condemns Myanmar military coup," Aljazeera (February 1, 2021). Available <https://www.aljazeera.com/news/2021/2/1/world-reacts-to-military-coup-in-myanmar>. Accessed September 4, 2021.

[14] "West condemns Myanmar coup but Thailand, Cambodia shrug," Bangkok Post (February 1, 2021). Available <https://www.bangkokpost.com/world/2060651/west-condemns-myanmar-coup-but-thailand-cambodia-shrug>. Accessed September 4, 2021.