ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การปกครองท้องถิ่น ร.ศ. 116"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Apirom (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัดที่ 92: บรรทัดที่ 92:
ต่อมา ในปี พ.ศ. 2496 ได้มีการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับเทศบาล โดยยกเลิกกฎหมายฉบับเก่าและตราพระราชบัญญัติเทศบาลขึ้นมาใหม่ และในปี พ.ศ. 2498 มีการตราพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ. 2498 ทำให้การปกครองท้องถิ่นในประเทศไทยนั้น มีทั้งในพื้นที่เขตเมือง (เทศบาล) และพื้นที่กึ่งเมืองกึ่งชนบท (สุขาภิบาล) และพื้นที่ชนบท คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่มีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบเป็นของตนเอง และมีอำนาจความรับผิดชอบในพื้นที่นอกเขตเทศบาลและเขตสุขาภิบาลเท่านั้น
ต่อมา ในปี พ.ศ. 2496 ได้มีการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับเทศบาล โดยยกเลิกกฎหมายฉบับเก่าและตราพระราชบัญญัติเทศบาลขึ้นมาใหม่ และในปี พ.ศ. 2498 มีการตราพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ. 2498 ทำให้การปกครองท้องถิ่นในประเทศไทยนั้น มีทั้งในพื้นที่เขตเมือง (เทศบาล) และพื้นที่กึ่งเมืองกึ่งชนบท (สุขาภิบาล) และพื้นที่ชนบท คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่มีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบเป็นของตนเอง และมีอำนาจความรับผิดชอบในพื้นที่นอกเขตเทศบาลและเขตสุขาภิบาลเท่านั้น


'''3. สุขาภิบาลหลังปี พ.ศ. 2535''' กล่าวได้ว่า “เหตุกการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535” ถือเป็นจุดปะทุที่สำคัญที่ทำให้ข้อเรียกร้องเรื่องการปฏิรูปการเมืองในด้านต่างๆ ปรากฏออกมาเป็นรูปธรรมซึ่งข้อเรียกร้องหนึ่งในนั้น คือ การกระจายอำนาจ (Decentralization) ที่สอดรับกับระเบียบโลกที่เปลี่ยนแปลงไปหลังยุคสมัยสงครามเย็นเช่นกัน โดยมีจุดเน้นที่การกระจายอำนาจทางการเมือง (Political Decentralization) และการกระจายอำนาจทางการบริหาร (Administrative Decentralization) โดยเกิดข้อเรียกร้องทั้งจากภาคส่วนของนักวิชาการและนักการเมืองในกลุ่มก้อนต่างๆ ที่ต้องการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอิสระในการกำหนดนโยบายเพื่อท้องถิ่นให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสนอให้ปฏิรูปบทบาทของสุขาภิบาล สภาตำบล และองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่มีบทบาทของข้าราชการส่วนภูมิภาคเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่[[#_ftn16|[16]]] ซึ่งข้อเรียกร้องดังกล่าวนี้ค่อยๆ บรรลุผลสำเร็จเรื่อยมา จนกระทั่งหลังจากที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ที่ได้มีการวางหลักการที่สำคัญในการกระจายอำนาจ โดยเน้นการกระจายทั้ง 3 มิติ นั่นคือ การกระจายอำนาจทางการเมือง (Political Decentralization) การกระจายอำนาจทางการบริหาร (Administrative Decentralization) และการกระจายอำนาจทางการคลัง (Fiscal Decentralization) ทำให้หลังจากนั้นมีการปรับปรุงโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกันเป็นขนานใหญ่[[#_ftn17|[17]]] โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการลดบทบาทของระบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงมีการประกาศ “''พระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงฐานะของสุขาภิบาลเป็นเทศบาล พ.ศ. ''''2542'''''<b>” ที่เป็นการยกฐานะของสุขาภิบาลทั่วประเทศขึ้นเป็นเทศบาล ส่งผลให้บทบาท ของนายอำเภอที่เป็นประธานคณะกรรมการสุขาภิบาลโดยตำแหน่งต้องสิ้นสุดลง พร้อมๆ กับการปิดฉากสุขาภิบาลในประเทศไทยลงอย่างสิ้นเชิง[[#_ftn18|[18]]] จึงกล่าวได้ว่าการสิ้นสุดลงของการปกครองท้องถิ่นในรูปแบบ “สุขาภิบาล” ที่มีมาตั้งแต่ ร.ศ. 116 หรือพ.ศ. 2440 และถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้การปกครองท้องถิ่นไทยมีมิติของการกระจายอำนาจ (Decentralization) ที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น</b>
'''3. สุขาภิบาลหลังปี พ.ศ. 2535''' กล่าวได้ว่า “เหตุกการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535” ถือเป็นจุดปะทุที่สำคัญที่ทำให้ข้อเรียกร้องเรื่องการปฏิรูปการเมืองในด้านต่างๆ ปรากฏออกมาเป็นรูปธรรมซึ่งข้อเรียกร้องหนึ่งในนั้น คือ การกระจายอำนาจ (Decentralization) ที่สอดรับกับระเบียบโลกที่เปลี่ยนแปลงไปหลังยุคสมัยสงครามเย็นเช่นกัน โดยมีจุดเน้นที่การกระจายอำนาจทางการเมือง (Political Decentralization) และการกระจายอำนาจทางการบริหาร (Administrative Decentralization) โดยเกิดข้อเรียกร้องทั้งจากภาคส่วนของนักวิชาการและนักการเมืองในกลุ่มก้อนต่างๆ ที่ต้องการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอิสระในการกำหนดนโยบายเพื่อท้องถิ่นให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสนอให้ปฏิรูปบทบาทของสุขาภิบาล สภาตำบล และองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่มีบทบาทของข้าราชการส่วนภูมิภาคเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่[[#_ftn16|[16]]] ซึ่งข้อเรียกร้องดังกล่าวนี้ค่อยๆ บรรลุผลสำเร็จเรื่อยมา
 
จนกระทั่งหลังจากที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ที่ได้มีการวางหลักการที่สำคัญในการกระจายอำนาจ โดยเน้นการกระจายทั้ง 3 มิติ นั่นคือ การกระจายอำนาจทางการเมือง (Political Decentralization) การกระจายอำนาจทางการบริหาร (Administrative Decentralization) และการกระจายอำนาจทางการคลัง (Fiscal Decentralization) ทำให้หลังจากนั้นมีการปรับปรุงโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกันเป็นขนานใหญ่[[#_ftn17|[17]]] โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการลดบทบาทของระบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงมีการประกาศ “พระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงฐานะของสุขาภิบาลเป็นเทศบาล พ.ศ. 2542” ที่เป็นการยกฐานะของสุขาภิบาลทั่วประเทศขึ้นเป็นเทศบาล ส่งผลให้บทบาท ของนายอำเภอที่เป็นประธานคณะกรรมการสุขาภิบาลโดยตำแหน่งต้องสิ้นสุดลง พร้อมๆ กับการปิดฉากสุขาภิบาลในประเทศไทยลงอย่างสิ้นเชิง[[#_ftn18|[18]]] จึงกล่าวได้ว่าการสิ้นสุดลงของการปกครองท้องถิ่นในรูปแบบ “สุขาภิบาล” ที่มีมาตั้งแต่ ร.ศ. 116 หรือพ.ศ. 2440 และถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้การปกครองท้องถิ่นไทยมีมิติของการกระจายอำนาจ (Decentralization) ที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น


'''บทสรุป'''
'''บทสรุป'''
บรรทัดที่ 126: บรรทัดที่ 128:
<u>ราชกิจจานุเบกษา</u>
<u>ราชกิจจานุเบกษา</u>


'''พระราชกำหนดศุขาภิบาลกรุงเทพฯ ร.ศ. ''''''116''', ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 14, 21 พฤศจิกายน 2440.
พระราชกำหนดศุขาภิบาลกรุงเทพฯ ร.ศ''. '''''116''', ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 14, 21 พฤศจิกายน 2440.


'''พระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ. 127''', ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 25 ตอนที่ 24, 13 กันยายน 2451.
'''พระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ. 127''', ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 25 ตอนที่ 24, 13 กันยายน 2451.


'''พระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงฐานะของสุขาภิบาลเป็นเทศบาล พ.ศ. ''''''2542''', ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนที่ 9 ก, 24 กุมภาพันธ์ 2542.
พระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงฐานะของสุขาภิบาลเป็นเทศบาล พ.ศ. '''2542''', ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนที่ 9 ก, 24 กุมภาพันธ์ 2542.


&nbsp;
&nbsp;

รุ่นแก้ไขเมื่อ 11:58, 22 พฤศจิกายน 2564

การปกครองท้องถิ่น ร.ศ.116

ผู้เรียบเรียง รองศาสตราจารย์ ดร.อรรถสิทธิ์  พานแก้ว

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต

ความหมาย

“การปกครองท้องถิ่น ร.ศ. 116” เป็นปีที่มีการประกาศพระราชกำหนดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ร.ศ. 116 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 สืบเนื่องมาจากการที่รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสต่างประเทศ และได้ทอดพระเนตรเห็นรูปแบบการปกครองเมืองที่มีความทันสมัย จึงนำมาสู่การตั้งสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความสะอาดของชุมชน การรักษาความสะอาดของถนนและคูคลอง รวมทั้งการติดตั้งแสงไฟที่สว่างตามถนนต่างๆ ทั้งนี้ พื้นที่รับผิดชอบของสุขาภิบาลกรุงเทพฯ นั้น ครอบคลุมพื้นที่บริเวณปากคลองบางลำพูไปจนถึงปากคลองโอ่งอ่าง โดยมีนายแพทย์และนายช่างใหญ่ เป็นเจ้าพนักงานสุขาภิบาล และสุขาภิบาลแห่งนี้อยู่ภายใต้การดูแลของเสนาบดีกระทรวงนครบาล

จากการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน สู่การจัดตั้ง “สุขาภิบาลกรุงเทพฯ”

จุดเริ่มต้นสำคัญของการปกครองท้องถิ่นของไทย เริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2440 หรือ ร.ศ. 116 ซึ่งเป็นใช้การประกาศพระราชกำหนดพระราชกำหนดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ร.ศ. 116 เป็นหมุดหมายสำคัญในการถือเอาเป็นการเริ่มต้นของการปกครองท้องถิ่นในรูปแบบของ “สุขาภิบาล” โดยตั้งขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นช่วงหลังจากที่มีการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินขนานใหญ่ในรัชสมัยดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปี พ.ศ. 2435 เป็นต้นมา จะเห็นได้ว่ามีพัฒนาการของการปรับปรุงระบบการบริหารราชการแผ่นดินที่สำคัญ ได้แก่

(1) การใช้ระบบบริหารราชการในรูปแบบกระทรวง

(2) การจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลในส่วนภูมิภาค และ

(3) การจัดตั้งสุขาภิบาล

การใช้ระบบบริหารราชการในรูปแบบกระทรวง ซึ่งในรัชสมัยของรัชกาลที่ 5 นี้เอง ที่ได้ยกเลิกระบบจตุสดมภ์ และมีการใช้ระบบบริหารราชการในรูปแบบกระทรวง ที่มีการใช้กันโดยทั่วไปในกลุ่มประเทศยุโรป โดยในช่วงแรกมีการจัดตั้งกระทรวงขึ้นมา 12 กระทรวง แบ่งเป็นกระทรวงที่มาจากกรมที่มีอยู่ในอดีต 6 กรม ได้แก่

(1) กระทรวงกลาโหม ยกฐานะมาจากกรมพระกลาโหม

(2) กระทรวงมหาดไทย ยกฐานะมาจากกรมมหาดไทย

(3) กระทรวงการต่างประเทศ ยกฐานะมาจากกรมท่า

(4) กระทรวงวัง ยกฐานะมาจากกรมวัง

(5) กระทรวงนครบาล ยกฐานะมาจากกรมเมือง และ

(6) กระทรวงเกษตรพานิชการ ยกฐานะมาจากกรมนา

และยังมีกระทรวงที่ตั้งขึ้นใหม่อีก 6 กระทรวง ได้แก่

(1) กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ

(2) กระทรวงยุติธรรม

(3) กระทรวงยุทธนาธิการ

(4) กระทรวงธรรมการ

(5) กระทรวงโยธาธิการ และ

(6) กระทรวงมุรธาธร[1]
ซึ่งแต่ละกระทรวงจะมีเสนาบดีทำหน้าที่ในการบริหารราชการในแต่ละกระทรวง โดยเสนาบดีทั้งหมดอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของพระมหากษัตริย์ ซึ่งรูปแบบการบริหารราชการแผ่นดินเช่นนี้ส่งผลให้คณะเสนาบดี มีลักษณะใกล้เคียงกับคณะรัฐมนตรี (Cabinet) ต่อมาในปี พ.ศ. 2537 มีการปรับปรุงการบริหารงานของแต่ละกระทรวงให้มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น โดยโอนอำนาจการบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้ของกระทรวงกลาโหม ไปให้กระทรวงมหาดไทย และยุบกระทรวงยุทธนาธิการรวมกับกระทรวงกลาโหม รวมทั้งมีการยุบกระทรวงมุรธาธรไปรวมกับกระทรวงวัง ส่งผลให้มีกระทรวงที่ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินทั้งสิ้น 10 กระทรวง[2]

การจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลในส่วนภูมิภาค เกิดขึ้นหลังจากที่มีการใช้ระบบบริหารราชการ ในรูปแบบกระทรวงเรียบร้อยแล้ว โดยมีการตั้งให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดระเบียบ การปกครองส่วนภูมิภาค ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนจากระบบกินเมือง ที่ประกอบด้วย หัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอก และเมืองประเทศราช ให้มาเป็น “ระบบเทศาภิบาล” โดยมีระดับการปกครองแบ่งเป็นมณฑล จังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน มีข้าราชการที่แต่งตั้งโดยราชการส่วนกลางให้ไปประจำยังท้องที่ต่างๆ ยกเว้นระดับตำบลและหมู่บ้านที่กำหนดให้ประชาชนในพื้นที่เลือกตัวแทนขึ้นมาทำหน้าที่ โดยอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของอำเภอ ดังนั้น ในช่วงเวลาดังกล่าวจึงถือว่ามีการแบ่งระบบบริหารราชการออกเป็นส่วนกลางและส่วนภูมิภาคอย่างชัดเจน โดยในส่วนกลางมี “กระทรวง” เป็นกลไกในการขับเคลื่อนการบริหารงาน ขณะที่ในส่วนภูมิภาคมี “มณฑล” เป็นกลไกที่ใหญ่ที่สุดของส่วนภูมิภาค โดยมีตำแหน่งข้าหลวงเทศาภิบาล ซึ่งเป็นข้าราชการที่มีการโยกย้ายจากส่วนกลางลงไปเพื่อทำหน้าที่บริหารราชการในท้องที่ต่างๆ แทนเจ้าเมือง ที่สืบสายตระกูลกันมา ส่งผลให้เกิดความไม่พอใจในบรรดากลุ่มเจ้าเมืองเดิม และก่อให้เกิดกบฏตามหัวเมืองต่างๆ ขึ้นในช่วงแรกของการใช้ระบบเทศาภิบาลนี้[3]

การจัดตั้งสุขาภิบาลเกิดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2440 หรือ ร.ศ. 116 เมื่อรัชกาลที่ 5 ได้ออก พระราชกำหนดสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ร.ศ. 116 โดยมีหลักการว่าสุขาภิบาลที่ตั้งขึ้นนี้มีหน้าที่ในการรักษาความสะอาดของท้องถิ่น ปรับปรุงความสะอาดของเส้นทางถนนและลำคลอง จัดไฟส่องสว่างตามจุด ต่างๆ ของเส้นทาง ทั้งนี้ พื้นที่ที่จะตั้งเป็นสุขาภิบาลได้นั้น จะต้องมีความเจริญในระดับหนึ่ง อาทิ มีร้านค้าตลาดต่าง ๆ จึงทำให้สุขาภิบาลแห่งแรก คือ สุขาภิบาลกรุงเทพฯ เนื่องจากกรุงเทพเป็นเมืองหลวงที่เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ มีแหล่งตลาดและชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมาก มีพื้นที่ครอบคลุมพื้นที่บริเวณปากคลองบางลำพูไปจนถึงปากคลองโอ่งอ่าง ดังนั้น เพื่อให้กรุงเทพเป็นเมืองที่มีความสะอาดเรียบร้อย จึงต้องมีหน่วยงานในลักษณะหนึ่งที่ดูแลกรุงเทพเป็นการเฉพาะ จึงเกิดเป็นหน่วยงานตั้งขึ้นใหม่ในชื่อว่า “สุขาภิบาล” กระนั้นก็ตาม หากพิจารณากรุงเทพในทัศนะของการกระจายอำนาจ (Decentralization) อาจกล่าวได้ว่า สุขาภิบาลกรุงเทพฯ ยังไม่มีลักษณะของการระจายอำนาจ ที่จะต้องมีการถ่ายโอนบางสิ่งบางอย่างไปให้ท้องถิ่น เพื่อให้ท้องถิ่นมีอิสระในการตัดสินใจด้วยตนเอง แต่ในสุขาภิบาลกรุงเทพฯ นี้ มีเจ้าพนักงานสุขาภิบาลมาจากการแต่งตั้งของเสนาบดีกระทรวงนครบาล[4] โดยมีคณะกรรมการบริหาร ประกอบด้วย เจ้าพนักงานแพทย์สุขาภิบาล 1 ตำแหน่ง ทำหน้าที่ดูแลเรื่องความสะอาดและป้องกันโรคภัย และเจ้าพนักงานช่างใหญ่ 1 ตำแหน่ง ทำหน้าที่บำรุงรักษาและซ่อมแซมสิ่งปลูกสร้างที่เกี่ยวกับงานของสุขาภิบาลกรุงเทพฯ[5] ในขณะเดียวกันก็ไม่อาจปฏิเสธว่า สุขาภิบาลเป็นต้นธารสำคัญที่พัฒนามาเป็นรูปแบบการปกครองท้องถิ่นในรูปหนึ่งของช่วงเวลาหลังจากนั้น

กล่าวได้ว่า ในช่วงปี พ.ศ. 2435 – 2440 เป็นช่วงของการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งก่อให้เกิดการตั้งสุขาภิบาลในลักษณะรูปแบบของการปกครองท้องถิ่นในขณะนั้น แม้ว่าสุขาภิบาลยังไม่ก่อให้เกิดสำนึกและการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ ณ ขณะนั้น แต่ด้วยพัฒนาการของสุขาภิบาล ส่งผลให้สุขาภิบาลกลายเป็นรูปแบบหนึ่งในการปกครองท้องถิ่นในเวลาต่อมา

จาก “สุขาภิบาลกรุงเทพฯ” สู่ “สุขาภิบาลหัวเมือง”

 หลังจากที่มีการประกาศตั้งสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ขึ้นมาในปี พ.ศ. 2440 หรือ ร.ศ. 116 แล้วนั้น เวลาต่อมาเมื่อรัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสเมืองนครเขื่อนขันธ์ เมื่อปี พ.ศ. 2448 หรือ ร.ศ. 124 แล้วมีพระราชดำรัสในที่ประชุมเสนาบดีว่า “โสโครกเหมือนตลาดท่าจีน” (ตลาดท่าจีน คือ ตลาดท่าฉลอม) เมื่อความทราบดังนั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ซึ่งรับผิดชอบดูแลพื้นที่ตลาดท่าจีน รู้สึกละอายใจที่ตลาดท่าจีนกลายเป็นภาพแทนของความสกปรก จึงได้มีหนังสือไปถึงพระยาพิไชยสุนทร ผู้ว่าราชการเมืองสมุทรสาคร เพื่อให้ปรึกษากับกำนันผู้ใหญ่บ้านที่ตลาดท่าจีนว่าจะทำอย่างไรให้ตลาดท่าจีนมีความสะอาดขึ้นมาได้ จากนั้นพระยาพิไชยสุนทรมีหนังสือตอบกลับถึงสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เพื่อแจ้งแผนการดำเนินการแก้ไขปัญหาความสกปรกของตลาดท่าจีน โดยชาวบ้านจะร่วมกันจัดหาอิฐมาปูถนนตลาดท่าจีนตลอดทั้งสาย[6] เมื่อการดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ในฐานะเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้เสด็จไปตรวจงานด้วยพระองค์เอง เมื่อเห็นว่าถนนมีความเรียบร้อยแล้ว จึงได้กราบบังคมทูลถวายต่อรัชกาลที่ 5 เพื่อทรงทราบ และในวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2448 รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดถนนดังกล่าวที่ตลาดท่าจีน โดยรถไฟจากสถานีคลองสานไปสถานีมหาชัย แล้วจึงเสด็จประทับเรือข้ามฟากไปยังท่าฉลอมหลังจากที่รัชกาลที่ 5 ได้ทอดพระเนตรเห็นตลาดท่าจีนแล้ว[7] ทรงมีพระราชดำรัส ความตอนหนึ่งว่า

การที่ท่านทั้งหลายทำตามนี้ไม่เฉพาะแต่ที่จะได้ความพอใจของเรา แต่เป็นความสุขสำราญและการสะดวกแก่ชนทั้งหลายด้วย การที่จะรักษาถนนอันราษฎรทั้งหลายได้ออกทุนทำครั้งนี้ ถ้าจะทิ้งไว้คอยซ่อมเมื่อชำรุดมากก็จะเหมือนอย่างทำใหม่ และยังจะต้องรับความลำบากก่อนเวลาที่ได้ซ่อมใหม่ไปช้านาน เพราะฉะนั้น เราได้ยอมยกภาษีเรือโรงร้านเฉพาะตำบลท่าฉลอมนี้ ให้เป็นเงินรักษาถนนให้สะอาดบริบูรณ์อยู่เสมอ และจัดการให้เป็นที่สะดวกตามทุนจะทำได้ให้ผู้ซึ่งอยู่ในท้องที่จัดการรักษาเอง เมืองนี้เป็นผู้ที่ได้พยายามทำถนนโดยลำพังราษฎรในท้องที่เป็นครั้งแรก คงจะจัดการรักษาถนนตามที่อนุญาตให้ทำได้สำเร็จดีเป็นครั้งแรกเหมือนกัน จะได้เป็นเยี่ยงอย่างแก่เมืองอื่นสืบไป เราขอตั้งชื่อถนนนี้ว่าถนนถวาย[8]

หลังจากนั้น รัชกาลที่ 5 ทรงมีพระราชโองการ ให้จัดตั้ง “สุขาภิบาลท่าฉลอม” ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2449 จึงนับว่าสุขาภิบาลท่าฉลอมถือเป็นสุขาภิบาลในหัวเมืองแห่งแรกของประเทศ แต่เป็นสุขาภิบาลแห่งที่สองหลังจากสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ที่ตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2440 แต่กระนั้น สุขาภิบาลท่าฉลอมมีความแตกต่างที่สำคัญจากสุขาภิบาลกรุงเทพฯ นั่นคือ สุขาภิบาลท่าฉลอมมีการเปิดให้ประชาชนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการในท้องถิ่นตนเอง และสามารถจัดหารายได้โดยรัฐบาลส่วนกลางถ่ายโอนการเก็บภาษีโรงร้าน ให้สุขาภิบาลท่าฉลอมจัดเก็บเป็นรายได้ของสุขาภิบาลเอง เพื่อใช้ในการบริหารจัดการสุขาภิบาล และมีกำนันผู้ใหญ่บ้านในท้องที่นั้นเป็นกรรมการจัดการสุขาภิบาลด้วย[9]

หลังจากที่มีการตั้งสุขาภิบาลท่าฉลอมเป็นสุขาภิบาลหัวเมืองแห่งแรกแล้ว ทำให้แนวคิดเรื่องการตั้งสุขาภิบาลหัวเมืองเริ่มมีการดำเนินการกันในวงกว้าง ทำให้สุขาภิบาลที่ตั้งขึ้นตามหัวเมืองบางแห่งมีลักษณะเป็นชุมชนเมืองดังเช่นสุขาภิบาลท่าฉลอม ขณะเดียวกันสุขาภิบาลบางแห่งมีลักษณะเป็นเมืองขนาดใหญ่ อาทิ สุขาภิบาลสงขลา สุขาภิบาลภูเก็ต ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2551 หรือ ร.ศ. 127 ได้มีการประกาศพระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ. 127 เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการสุขาภิบาล โดยกำหนดหน้าที่ของสุขาภิบาลให้ประกอบด้วยหน้าที่ 3 ประการ ได้แก่

(1) รักษาความสะอาดในท้องที่

(2) ป้องกันและรักษาความเจ็บไข้ในท้องที่ และ

(3) บำรุงรักษาทางไปมาในท้องที่

โดยมีการจำแนกประเภทของสุขาภิบาลออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ สุขาภิบาลเมือง และสุขาภิบาลตำบล โดยการจัดตั้งสุขาภิบาลนั้น ให้ข้าเทศาภิบาลปรึกษากับกำนันผู้ใหญ่บ้านในท้องที่ จากนั้นให้ขอพระบรมราชานุญาตจัดตั้งสุขาภิบาล โดยจะต้องมีหลักเกณฑ์ 4 ประการ ได้แก่

(1) อาณาเขตของสุขาภิบาล

(2) จำนวนบ้านเรือนและพลเมือง ในพื้นที่นั้น

(3) รายได้จากการเก็บภาษีโรงร้านในพื้นที่นั้น และ

(4) ประเภทของสุขาภิบาลที่จะจัดตั้ง[10]

ในการบริหารสุขาภิบาลหัวเมืองนั้น จะใช้รูปแบบคณะกรรมการ (The Commission Form) โดยในสุขาภิบาลเมือง จะมีผู้ว่าราชการเมืองเป็นประธานโดยตำแหน่ง สำหรับสุขาภิบาลตำบล จะมีกำนันเป็นประธานโดยตำแหน่ง สำหรับการบริหารจัดการสุขาภิบาลนั้น รัฐบาลส่วนกลางจะมอบรายได้จากการเก็บภาษีโรงร้านเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการของสุขาภิบาล[11] ดังนั้น หากพิจารณาภายใต้แนวคิดเรื่องการกระจายอำนาจ (Decentralization) จะพบว่า สุขาภิบาลหัวเมืองนั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่มีการถ่ายโอนภารกิจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการรักษาความสะอาด รักษาสุขอนามัย และการบำรุงถนนหนทาง ให้สุขาภิบาลในพื้นที่มีอำนาจ ในการตัดสินใจ แต่กระนั้น ผู้ที่มีอำนาจในการบริหารงานสุขาภิบาลโดยส่วนใหญ่เป็นคนของระบบการบริหารราชการในส่วนภูมิภาค ได้แก่ ผู้ว่าราชการเมือง ปลัดเมือง กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกระทรวงมหาดไทย

พัฒนาการของสุขาภิบาลกับแนวคิดการกระจายอำนาจของไทย

จากการเกิดขึ้นของสุขาภิบาลในสมัยรัชกาลที่ 5 จากนั้นเมื่อผ่านช่วงเวลาต่างๆ มาจากสุขาภิบาล ก็นำไปสู่แนวคิดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการกระจายอำนาจ และก่อให้เกิดการออกแบบองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นรูปแบบอื่นๆ ที่สะท้อนถึงความเป็นอิสระในการตัดสินใจของประชาชนในพื้นที่มากขึ้น ภายใต้ช่วงเวลาที่เปลี่ยนไปสังคมไทยก็ต้องเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ ที่แตกต่างกัน จึงส่งผลต่อท่าทีที่รัฐบาลส่วนกลางมีต่อการกระจายอำนาจตามไปด้วย ดังนั้น หากจะดูพัฒนาการของการกระจายอำนาจของไทย ผ่านบทบาทของสุขาภิบาลนั้น สามารถแบ่งยุคสมัยของเป็น 3 ช่วงที่สำคัญ ดังนี้

1. สุขาภิบาลในช่วงก่อนปี พ.ศ. 2475 ในการศึกษาเรื่องการกระจายอำนาจและการปกครองท้องถิ่นของประเทศไทยมักจะถือเอาการกำหนดจัดตั้ง “สุขาภิบาลกรุงเทพฯ” ขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2440 เป็นจุดเริ่มต้นของการปกครองท้องถิ่นในประเทศไทย ทว่าหากพิจารณาในประเด็นเรื่องการกระจายอำนาจ (Decentralization) จะพบว่า กรณีสุขาภิบาลไม่เข้าข่ายการกระจายอำนาจที่สมบูรณ์ เนื่องจากสุขาภิบาลกรุงเทพฯ นั้น เป็นการบริหารโดยข้าราชการประจำของกระทรวงนครบาล อีกทั้งการตัดสินใจในระดับนโยบายยังมาจากรัฐบาลส่วนกลาง ไม่ใช่ผู้บริหารของท้องถิ่นแต่อย่างใด จึงทำให้ลักษณะของสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ไม่ได้เป็นกระจายอำนาจ หากแต่กลไกดังกล่าวเป็นฟันเฟืองหนึ่งของระบบการรวมศูนย์อำนาจไว้ที่รัฐบาลส่วนกลาง สำหรับการจัดตั้งสุขาภิบาลแต่ละพื้นที่ที่เกิดขึ้นภายใต้พระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ. 127 นั้น มีทั้งสิ้น 35 แห่ง โดยแบ่งเป็นสุขาภิบาลเมือง จำนวน 29 แห่ง และสุขาภิบาลตำบล จำนวน
6 แห่ง ซึ่งถือเป็นจำนวนที่ไม่มากนัก[12]

เมื่อถึงในรัชสมัยของรัชกาลที่ 6 มีการเพิ่มอำนาจหน้าที่ให้สุขาภิบาล นั่นคือ การจดทะเบียน คนเกิด คนตาย และการทะเบียนต่างๆ ในเขตสุขาภิบาล[13] และมีการสร้างเมืองจำลอง “ดุสิตธานี” ซึ่งเป็นรูปแบบของการปกครองท้องถิ่นในลักษณะเทศบาล (Municipality) ที่กำหนดให้ประชาชนในเมืองสามารถเลือกคณะผู้บริหาร ที่เรียกว่า “คณะนคราภิบาล” มีฐานะเป็นนิติบุคคล และมีหน้าที่ในการดูแลทุกข์สุข ของประชาชน จัดทำบริการสาธารณะ รักษาความสะอาดและป้องกันโรค จัดเก็บภาษี ตลอดจนการป้องกัน สาธารณภัยต่างๆ แต่ก็ไม่ได้มีการผลักดันให้มีการจัดตั้งเทศบาลขึ้นอย่างจริงจัง จนกระทั่งสิ้นรัชกาล และในสมัยรัชกาลที่ 7 เริ่มมีแนวคิดเรื่องเทศบาลเกิดขึ้นมา แต่ยังไม่มีการดำเนินการก็เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 หลังจากนั้นรัฐบาลคณะราษฎรได้ผลักดันพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2476 ให้เกิดขึ้นมา ที่เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีอิสระในการบริหารงานและการตัดสินใจต่างๆ ในพื้นที่ได้
ทำให้บทบาทในการกระจายอำนาจในยุคนี้อยู่ที่เทศบาลเป็นหลัก[14]

2. สุขาภิบาลในช่วงปี พ.ศ. 2495 – 2535 ในปี พ.ศ. 2495 ถือเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญ เนื่องจากมีการตรา “พระราชบัญญัติสุขาภิบาล พ.ศ. 2495” ซึ่งเป็นผลมาจากความไม่สำเร็จของการจัดตั้งเทศบาล โดยรัฐบาลมองว่าการตั้งเทศบาลที่มีเงื่อนไขเรื่องพื้นที่และจำนวนรายได้นั้น ทำให้เทศบาลเกิดขึ้นเฉพาะในเขตเมืองเท่านั้น จึงเกิดแนวคิดที่จะจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอีกรูปแบบหนึ่งที่มีลักษณะ
อยู่นอกเขตเมืองแบบ “กึ่งเมืองกึ่งชนบท” ซึ่งสามารถจัดตั้งได้ง่ายกว่าเทศบาล โดยกำหนดรายละเอียดเอาไว้ว่าต้องประกอบด้วย (1) ที่ตั้งที่ว่าการอำเภอหรือกิ่งอำเภอ สามารถจัดตั้งสุขาภิบาลได้เลย และ (2) ชุมชนขนาดใหญ่ที่มีตลาดการค้าอย่างน้อย 100 ห้อง มีประชากรอย่างน้อย 1,500 คน และมีพื้นที่ประมาณ 1 – 4 ตารางกิโลเมตร แต่การจัดตั้งสุขาภิบาลในปี พ.ศ. 2495 ไม่ได้ส่งเสริมการกระขายอำนาจมากนัก หากแต่เป็นการย้อนกลับไปส่งเสริมรูปแบบสุขาภิบาลที่เคยเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ดังจะเห็นได้จากการกำหนดให้มีรูปแบบเป็นแบบคณะกรรมการ (The Commission Form) รับผิดชอบทั้งด้านนิติบัญญัติและบริหาร โดยคณะกรรมการมีที่มา 3 แบบ คือ คณะกรรมการที่มาโดยตำแหน่ง คณะกรรมการที่มาโดยการแต่งตั้ง และคณะกรรมการที่มาโดยการเลือกตั้ง ซึ่งในคณะกรรมการสุขาภิบาลนั้น มีนายอำเภอหรือปลัดอำเภอ ผู้เป็นหัวหน้ากิ่งอำเภอเป็นประธาน และปลัดอำเภอคนหนึ่งที่ผู้ว่าราชการจังหวัดแต่งตั้งเป็นปลัดสุขาภิบาล นอกจากนี้ ข้าราชการส่วนภูมิภาคสามารถย้ายไปดำรงตำแหน่งในสุขาภิบาลได้ ดังนั้น สุขาภิบาลที่เกิดขึ้น จึงถูกครอบงำโดยข้าราชการค่อนข้างมาก[15]

ต่อมา ในปี พ.ศ. 2496 ได้มีการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับเทศบาล โดยยกเลิกกฎหมายฉบับเก่าและตราพระราชบัญญัติเทศบาลขึ้นมาใหม่ และในปี พ.ศ. 2498 มีการตราพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัด พ.ศ. 2498 ทำให้การปกครองท้องถิ่นในประเทศไทยนั้น มีทั้งในพื้นที่เขตเมือง (เทศบาล) และพื้นที่กึ่งเมืองกึ่งชนบท (สุขาภิบาล) และพื้นที่ชนบท คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ซึ่งเป็นนิติบุคคลที่มีอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบเป็นของตนเอง และมีอำนาจความรับผิดชอบในพื้นที่นอกเขตเทศบาลและเขตสุขาภิบาลเท่านั้น

3. สุขาภิบาลหลังปี พ.ศ. 2535 กล่าวได้ว่า “เหตุกการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535” ถือเป็นจุดปะทุที่สำคัญที่ทำให้ข้อเรียกร้องเรื่องการปฏิรูปการเมืองในด้านต่างๆ ปรากฏออกมาเป็นรูปธรรมซึ่งข้อเรียกร้องหนึ่งในนั้น คือ การกระจายอำนาจ (Decentralization) ที่สอดรับกับระเบียบโลกที่เปลี่ยนแปลงไปหลังยุคสมัยสงครามเย็นเช่นกัน โดยมีจุดเน้นที่การกระจายอำนาจทางการเมือง (Political Decentralization) และการกระจายอำนาจทางการบริหาร (Administrative Decentralization) โดยเกิดข้อเรียกร้องทั้งจากภาคส่วนของนักวิชาการและนักการเมืองในกลุ่มก้อนต่างๆ ที่ต้องการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอิสระในการกำหนดนโยบายเพื่อท้องถิ่นให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสนอให้ปฏิรูปบทบาทของสุขาภิบาล สภาตำบล และองค์การบริหารส่วนจังหวัด ที่มีบทบาทของข้าราชการส่วนภูมิภาคเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่[16] ซึ่งข้อเรียกร้องดังกล่าวนี้ค่อยๆ บรรลุผลสำเร็จเรื่อยมา

จนกระทั่งหลังจากที่มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ที่ได้มีการวางหลักการที่สำคัญในการกระจายอำนาจ โดยเน้นการกระจายทั้ง 3 มิติ นั่นคือ การกระจายอำนาจทางการเมือง (Political Decentralization) การกระจายอำนาจทางการบริหาร (Administrative Decentralization) และการกระจายอำนาจทางการคลัง (Fiscal Decentralization) ทำให้หลังจากนั้นมีการปรับปรุงโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกันเป็นขนานใหญ่[17] โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการลดบทบาทของระบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงมีการประกาศ “พระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงฐานะของสุขาภิบาลเป็นเทศบาล พ.ศ. 2542” ที่เป็นการยกฐานะของสุขาภิบาลทั่วประเทศขึ้นเป็นเทศบาล ส่งผลให้บทบาท ของนายอำเภอที่เป็นประธานคณะกรรมการสุขาภิบาลโดยตำแหน่งต้องสิ้นสุดลง พร้อมๆ กับการปิดฉากสุขาภิบาลในประเทศไทยลงอย่างสิ้นเชิง[18] จึงกล่าวได้ว่าการสิ้นสุดลงของการปกครองท้องถิ่นในรูปแบบ “สุขาภิบาล” ที่มีมาตั้งแต่ ร.ศ. 116 หรือพ.ศ. 2440 และถือเป็นหมุดหมายสำคัญที่ทำให้การปกครองท้องถิ่นไทยมีมิติของการกระจายอำนาจ (Decentralization) ที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

บทสรุป

            การปกครองท้องถิ่น ร.ศ. 116 เป็นจุดตั้งต้นสำคัญที่นำไปสู่การพัฒนารูปแบบของปกครองท้องถิ่นในลักษณะ “สุขาภิบาล” ซึ่งเริ่มต้นที่สุขาภิบาลกรุงเทพฯ ในปี ร.ศ. 116 หรือ พ.ศ. 2440 จากนั้น ได้พัฒนาไปสู่สุขาภิบาลหัวเมืองแห่งแรก คือ สุขาภิบาลท่าฉลอม ในปี ร.ศ. 124 หรือ พ.ศ. 2448 ก่อนที่จะมีการวางระบบด้วยการออกพระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ. 127 เพื่อให้สุขาภิบาลมีโครงสร้าง และอำนาจหน้าที่ที่ชัดเจน สุขาภิบาลมีพัฒนาต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงปี พ.ศ. 2495 มีการออกพระราชบัญญัติสุขาภิบาล พ.ศ. 2495 เพื่อให้งานสุขาภิบาลมีลักษณะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแบบกึ่งเมืองกึ่งชนบท แต่สุขาภิบาลก็มีข้อจำกัดในเรื่องของการกระจายอำนาจ (Decentralization) ที่ไม่เปิดโอกาสให้คนในพื้นที่ ได้มีอิสระในการตัดสินใจได้อย่างแท้จริง แต่สุขาภิบาลมีลักษณะเป็นกลไกหนึ่งของรัฐบาลส่วนกลางเท่านั้น ดังนั้น จึงทำให้เมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ที่เน้นความสำคัญของการกระจายอำนาจเป็นอย่างมาก จึงทำให้สุขาภิบาลที่มีอยู่ทั้งหมดได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นเทศบาล เป็นอันยุติบทบาทของ “สุขาภิบาล” ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์การปกครองท้องถิ่นไทย จึงกล่าวได้ว่า หากพิจารณาถึงถ้อยคำ “การปกครองท้องถิ่น ร.ศ. 116” ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เป็นห้วงเวลาหนึ่ง ของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์การปกครองท้องถิ่นไทยในชื่อ “สุขาภิบาล” ซึ่งในปัจจุบันก็ได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ในตัวเองไปแล้วเช่นเดียวกัน

 

บรรณานุกรม

หนังสือ

โครงการส่งเสริมการบริหารจัดการที่ดีโดยกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น. (2543). วิวัฒนาการการปกครองท้องถิ่นไทย. (กรุงเทพฯ : สำนักงาน ก.พ.).

ธเนศวร์ เจริญเมือง. (2550). 100 ปี การปกครองท้องถิ่นไทย พ.ศ. 2440 – 2540. (กรุงเทพฯ : โครงการจัดพิมพ์คบไฟ).

วรเดช จันทรศร. (2534). “สู่ 100 ปีของการปฏิรูประบบราชการไทย : อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ของการปฏิรูปกระทรวง ทบวง กรม”. วารสารพัฒนบริหารศาสตร์. ปีที่ 31, ฉบับที่ 1 (มกราคม – มีนาคม). หน้า 1-29.

ศิริชัย กุมารจันทร์. (2563). ตำราคำอธิบายกฎหมายปกครองท้องถิ่น, (สงขลา : มหาวิทยาลัยทักษิณ).

ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์. (2555). การเมืองในกระบวนการกระจายอำนาจ: ศึกษาผ่านบทบาทของนักวิชาการ ข้าราชการ นักการเมือง และประชาชน. (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย).

ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์. (2562). พลวัตการกระจายอำนาจในประเทศไทย จาก พ.ศ. '2535 – 2561'. (กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า).

สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ และพระยาราชเสนา. (2492). เทศาภิบาล. (พระนคร : คลังวิทยา).

สุวัสดี โภชน์พันธุ์. (2547). สารานุกรมการปกครองท้องถิ่นไทย หมวดที่ '3 พัฒนาการและรูปแบบการปกครองท้องถิ่นไทย ลำดับที่ 1 เรื่อง ประวัติศาสตร์การปกครองท้องถิ่นไทย'. (นนทบุรี : สถาบันพระปกเกล้า).

เว็บไซต์

“‘สกปรกเหมือนตลาดท่าจีน’ รับสั่งของร.5 ที่กรมดำรงฯ ละอายที่ทำให้ทรงกริ้ว.” ศิลปวัฒนธรรม (30 มีนาคม 2564), เข้าถึงจาก <https://www.silpa-mag.com/history/article_60304>. เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2564.

ราชกิจจานุเบกษา

พระราชกำหนดศุขาภิบาลกรุงเทพฯ ร.ศ. 116, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 14, 21 พฤศจิกายน 2440.

พระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ. 127, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 25 ตอนที่ 24, 13 กันยายน 2451.

พระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงฐานะของสุขาภิบาลเป็นเทศบาล พ.ศ. 2542, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนที่ 9 ก, 24 กุมภาพันธ์ 2542.

 

อ้าวอิง

[1] วรเดช จันทรศร, “สู่ 100 ปีของการปฏิรูประบบราชการไทย : อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ของการปฏิรูปกระทรวง ทบวง กรม”, ใน วารสารพัฒนบริหารศาสตร์, ปีที่ 31, ฉบับที่ 1 (มกราคม – มีนาคม 2534), หน้า 1-29.

[2] สุวัสดี โภชน์พันธุ์, สารานุกรมการปกครองท้องถิ่นไทย หมวดที่ '3 พัฒนาการและรูปแบบการปกครองท้องถิ่นไทย ลำดับที่ 1 เรื่อง ประวัติศาสตร์การปกครองท้องถิ่นไทย', (นนทบุรี : สถาบันพระปกเกล้า, 2547), หน้า 1-3.

[3] สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ และพระยาราชเสนา, เทศาภิบาล, (พระนคร : คลังวิทยา, 2492), หน้า 52.

[4] สุวัสดี โภชน์พันธุ์, สารานุกรมการปกครองท้องถิ่นไทย หมวดที่ '3 พัฒนาการและรูปแบบการปกครองท้องถิ่นไทย ลำดับที่ 1 เรื่อง ประวัติศาสตร์การปกครองท้องถิ่นไทย', หน้า 5-6.

[5] พระราชกำหนดศุขาภิบาลกรุงเทพฯ ร.ศ. '116', ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 14, 21 พฤศจิกายน 2440.

[6] “‘สกปรกเหมือนตลาดท่าจีน’ รับสั่งของร.5 ที่กรมดำรงฯ ละอายที่ทำให้ทรงกริ้ว.” ศิลปวัฒนธรรม (30 มีนาคม 2564), เข้าถึงจาก <https://www.silpa-mag.com/history/article_60304>. เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2564.

[7] “‘สกปรกเหมือนตลาดท่าจีน’ รับสั่งของร.5 ที่กรมดำรงฯ ละอายที่ทำให้ทรงกริ้ว.” ศิลปวัฒนธรรม (30 มีนาคม 2564), เข้าถึงจาก <https://www.silpa-mag.com/history/article_60304>. เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2564.

[8] “‘สกปรกเหมือนตลาดท่าจีน’ รับสั่งของร.5 ที่กรมดำรงฯ ละอายที่ทำให้ทรงกริ้ว.” ศิลปวัฒนธรรม (30 มีนาคม 2564), เข้าถึงจาก <https://www.silpa-mag.com/history/article_60304>. เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2564.

[9] สุวัสดี โภชน์พันธุ์, สารานุกรมการปกครองท้องถิ่นไทย หมวดที่ '3 พัฒนาการและรูปแบบการปกครองท้องถิ่นไทย ลำดับที่ 1 เรื่อง ประวัติศาสตร์การปกครองท้องถิ่นไทย', หน้า 6-7.

[10] พระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ. 127, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 25 ตอนที่ 24, 13 กันยายน 2451.

[11] พระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ. 127, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 25 ตอนที่ 24, 13 กันยายน 2451.

[12] ธเนศวร์ เจริญเมือง, 100 ปี การปกครองท้องถิ่นไทย พ.ศ. 2440 – 2540, (กรุงเทพฯ : โครงการจัดพิมพ์คบไฟ, 2550), หน้า 89.

[13] ศิริชัย กุมารจันทร์, ตำราคำอธิบายกฎหมายปกครองท้องถิ่น, (สงขลา : มหาวิทยาลัยทักษิณ, 2563), หน้า 3.

[14] โครงการส่งเสริมการบริหารจัดการที่ดีโดยกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น, วิวัฒนาการการปกครองท้องถิ่นไทย, (กรุงเทพฯ : สำนักงาน ก.พ., 2543), หน้า 18.

[15] โครงการส่งเสริมการบริหารจัดการที่ดีโดยกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น, วิวัฒนาการการปกครองท้องถิ่นไทย,
หน้า 28-29.

[16] ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์, พลวัตการกระจายอำนาจในประเทศไทย จาก พ.ศ. '2535 - 2561', (กรุงเทพฯ : สถาบันพระปกเกล้า, 2562), หน้า 87-91.

[17] ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์, การเมืองในกระบวนการกระจายอำนาจ: ศึกษาผ่านบทบาทของนักวิชาการ ข้าราชการ นักการเมือง และประชาชน, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2555), หน้า 178-183.

[18] พระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงฐานะของสุขาภิบาลเป็นเทศบาล พ.ศ. '2542', ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 116 ตอนที่ 9 ก, 24 กุมภาพันธ์ 2542.