ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สู่การปกครองในระบบรัฐสภา: สภากรรมการองคมนตรี"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 6: | บรรทัดที่ 6: | ||
| | ||
เนื่องจาก[[พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว|พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]]มีพระราชประสงค์ที่จะปรับเปลี่ยนระบอบการปกครองสู่ระบอบ[[ประชาธิปไตย|ประชาธิปไตย]]ในระบบ[[รัฐสภา|รัฐสภา]] ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะมีความเห็น อย่างน้อยทั้งจาก[[ | เนื่องจาก[[พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว|พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว]]มีพระราชประสงค์ที่จะปรับเปลี่ยนระบอบการปกครองสู่ระบอบ[[ประชาธิปไตย|ประชาธิปไตย]]ในระบบ[[รัฐสภา|รัฐสภา]] ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะมีความเห็น อย่างน้อยทั้งจาก[[พระยากัลยาณไมตรี_(Dr._Francis_Bowes_Sayre)|พระยากัลยาณไมตรี]]และจาก[[กรมพระดำรงราชานุภาพ|กรมพระดำรงราชานุภาพ]] ว่ายังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสมที่จะให้มี[[รัฐสภา|รัฐสภา]]ไม่ว่าในรูปแบบใดก็ตาม พระองค์ก็ยังทรงมีเข็มมุ่งต่อไปในทิศทางนั้น | ||
| | ||
บรรทัดที่ 26: | บรรทัดที่ 26: | ||
ที่ประชุมได้พิจารณาประเด็นที่ว่า[[สภากรรมการองคมนตรี|สภากรรมการองคมนตรี]]ซึ่งจะตั้งขึ้นโดยการคัดองคมนตรีจำนวนหนึ่งมาเป็นกรรมการนั้น ควรจะมีหน้าที่เป็นองค์กร consultative หรือองค์กร advisory ส่วนหน้าที่เชิงในการออกกฎหมายนั้นยังคงมีอุปสรรคอยู่บ้างเนื่องด้วย กระบวนการจัดทำประมวลกฎหมายเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของต่างประเทศตามสนธิสัญญาที่ปรับฐานะให้สยามมีความเสมอภาคกับชาติอื่นๆ ยังดำเนินการไม่เสร็จ | ที่ประชุมได้พิจารณาประเด็นที่ว่า[[สภากรรมการองคมนตรี|สภากรรมการองคมนตรี]]ซึ่งจะตั้งขึ้นโดยการคัดองคมนตรีจำนวนหนึ่งมาเป็นกรรมการนั้น ควรจะมีหน้าที่เป็นองค์กร consultative หรือองค์กร advisory ส่วนหน้าที่เชิงในการออกกฎหมายนั้นยังคงมีอุปสรรคอยู่บ้างเนื่องด้วย กระบวนการจัดทำประมวลกฎหมายเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของต่างประเทศตามสนธิสัญญาที่ปรับฐานะให้สยามมีความเสมอภาคกับชาติอื่นๆ ยังดำเนินการไม่เสร็จ | ||
หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากรทรงชี้ว่าแบบ consultative ย่อมหมายถึงการที่สภาดังกล่าวจะถวายคำแนะนำได้ก็ต่อเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงขอเท่านั้น และจึงจะไม่เป็น[[องค์กรยับยั้งการใช้พระราชอำนาจ|องค์กรยับยั้งการใช้พระราชอำนาจ]]ในทางที่ผิด ส่วนแบบ advisory นั้นหมายถึงว่าสภาดังกล่าวสามารถประชุมกันเองได้ในเรื่องใดก็ตามที่เห็นสมควร ดังนั้นเพื่อความชัดเจน องค์ประธานจึงได้นำความกราบบังคมทูลเรียน (ถามถึง) พระราชปฎิบัติซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทาน[[พระราชบันทึก_“Democracy_in_Siam” | หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากรทรงชี้ว่าแบบ consultative ย่อมหมายถึงการที่สภาดังกล่าวจะถวายคำแนะนำได้ก็ต่อเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงขอเท่านั้น และจึงจะไม่เป็น[[องค์กรยับยั้งการใช้พระราชอำนาจ|องค์กรยับยั้งการใช้พระราชอำนาจ]]ในทางที่ผิด ส่วนแบบ advisory นั้นหมายถึงว่าสภาดังกล่าวสามารถประชุมกันเองได้ในเรื่องใดก็ตามที่เห็นสมควร ดังนั้นเพื่อความชัดเจน องค์ประธานจึงได้นำความกราบบังคมทูลเรียน (ถามถึง) พระราชปฎิบัติซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทาน[[พระราชบันทึก_“Democracy_in_Siam”]] (ประชาธิปไตยในสยาม) ทรงตอบลงมาสู่ที่ประชุมคณะกรรมการในวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๐ ซึ่งเป็นการประชุมนัดสุดท้าย | ||
| | ||
บรรทัดที่ 36: | บรรทัดที่ 36: | ||
แต่หากอ่านพระราชบันทึกในบริบทดังกล่าว ย่อมจะให้เห็นว่าบางส่วนของพระราชบันทึกเป็นการทรงตอบโต้กับความเห็นบางอย่างของกรรมการบางท่าน และได้ทรงถือโอกาสนั้นทรงอรรถาธิบายถึงแนวทางพระราชดำริที่ทรงมีอยู่ในขณะนั้น เกี่ยวกับการขับเคลื่อนการปฎิรูปการปกครองทั้งในส่วนของการที่จะให้มี[[รัฐสภา|รัฐสภา]]และการที่จะให้มี[[สภาเทศบาล|สภาเทศบาล]]ในระดับท้องถิ่นเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เรียนรู้วิถี[[การปกครองตนเอง|การปกครองตนเอง]]จากการปฎิบัติจริงในระดับนั้น ก่อนที่จะได้มีสิทธิเสียงใน[[การเลือกตั้ง|การเลือกตั้ง]]บุคคลเข้าสู่รัฐสภาในระดับชาติ จากนั้นจึงทรงตอบคำกราบบังคมทูลเรียนพระราชปฎิบัติเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าสภากรรมการองคมนตรีที่จะจัดตั้งขึ้นนั้น จะเป็นแบบ consultative หรือแบบ advisory | แต่หากอ่านพระราชบันทึกในบริบทดังกล่าว ย่อมจะให้เห็นว่าบางส่วนของพระราชบันทึกเป็นการทรงตอบโต้กับความเห็นบางอย่างของกรรมการบางท่าน และได้ทรงถือโอกาสนั้นทรงอรรถาธิบายถึงแนวทางพระราชดำริที่ทรงมีอยู่ในขณะนั้น เกี่ยวกับการขับเคลื่อนการปฎิรูปการปกครองทั้งในส่วนของการที่จะให้มี[[รัฐสภา|รัฐสภา]]และการที่จะให้มี[[สภาเทศบาล|สภาเทศบาล]]ในระดับท้องถิ่นเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เรียนรู้วิถี[[การปกครองตนเอง|การปกครองตนเอง]]จากการปฎิบัติจริงในระดับนั้น ก่อนที่จะได้มีสิทธิเสียงใน[[การเลือกตั้ง|การเลือกตั้ง]]บุคคลเข้าสู่รัฐสภาในระดับชาติ จากนั้นจึงทรงตอบคำกราบบังคมทูลเรียนพระราชปฎิบัติเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าสภากรรมการองคมนตรีที่จะจัดตั้งขึ้นนั้น จะเป็นแบบ consultative หรือแบบ advisory | ||
พระราชบันทึกฉบับนี้จึงนับเป็นเอกสารสำคัญอีกฉบับหนึ่งซึ่งมีความสืบเนื่อง และมีวิวัฒนาการมาจาก[[พระราชบันทึก_“Problems_of_Siam”|พระราชบันทึก “Problems of Siam”]] | พระราชบันทึกฉบับนี้จึงนับเป็นเอกสารสำคัญอีกฉบับหนึ่งซึ่งมีความสืบเนื่อง และมีวิวัฒนาการมาจาก[[พระราชบันทึก_“Problems_of_Siam”|พระราชบันทึก “Problems of Siam”]] ซึ่งทรงมีไปพระราชทานพระยากัลยาณไมตรีเมื่อประมาณหนึ่งปีก่อนหน้า อีกทั้งเป็นพระราชบันทึกที่แสดงว่าทรงเปิดพระทัยให้เข้าใจสิ่งที่มีผู้เรียกว่า [[“แผนพัฒนาการเมือง”|“แผนพัฒนาการเมือง”]] ของพระองค์ <ref>สนธิ เตชานันท์. รวบรวม ๒๕๔๕. แผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบ “ประชาธิปไตย” ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า.</ref> ตลอดจนเหตุผลของพระองค์ในการนั้นไว้อย่างชัดเจนทีเดียว | ||
| | ||
บรรทัดที่ 94: | บรรทัดที่ 94: | ||
Batson, Benjamin. 1984. The End of the Absolute Monarchy in Siam. Singapore: Oxford University Press. | Batson, Benjamin. 1984. The End of the Absolute Monarchy in Siam. Singapore: Oxford University Press. | ||
[[ | [[Category:พระปกเกล้าศึกษา]] |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 15:39, 11 พฤศจิกายน 2564
ผู้เรียบเรียง : รองศาสตราจารย์ ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพล
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รองศาสตราจารย์ ดร.สนธิ เตชานันท์
เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ที่จะปรับเปลี่ยนระบอบการปกครองสู่ระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา ดังนั้น ถึงแม้ว่าจะมีความเห็น อย่างน้อยทั้งจากพระยากัลยาณไมตรีและจากกรมพระดำรงราชานุภาพ ว่ายังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสมที่จะให้มีรัฐสภาไม่ว่าในรูปแบบใดก็ตาม พระองค์ก็ยังทรงมีเข็มมุ่งต่อไปในทิศทางนั้น
คณะกรรมการจัดรูปแบบองคมนตรี
ดังนั้นในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ (ซึ่งในสมัยนั้นเป็นสิ้นปีปฏิทิน) พระองค์ได้ทรงแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อจัดทำระเบียบองคมนตรีขึ้น โดยมีสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิตทรงเป็นประธาน มีหน้าที่จัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับการปรับระเบียบองคมนตรี ซึ่งในเวลานั้นมีจำนวนถึง ๒๒๗ ท่าน ให้เหมาะสมแก่การที่จะได้ฝึกหัดวิธีการประชุมในแบบรัฐสภาเกี่ยวกับการออกกฎหมาย[1]
คณะกรรมการจำนวน ๙ ท่านดังกล่าวได้พิจารณาจัดระเบียบองคมนตรีใหม่สำเร็จลงในเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๐ ด้วยการประชุมเพียง ๕ ครั้งเท่านั้น จากการศึกษารายงานการประชุม[2] มีข้อมูลบางประการซึ่งเห็นว่าน่าสนใจเป็นพิเศษดังนี้
สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์ฯ รับสั่งในช่วงที่ทรงเปิดประชุมเท้าความถึงที่มาจากอดีตในรัชกาลที่ ๕ และที่ ๖ ขององคมนตรี แล้วรับสั่งว่า “ทรงทราบแน่ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชหฤทัย liberal อย่างเอก” ซึ่งจากที่รับสั่งต่อไป คำว่า “liberal” นี้หมายความว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชหฤทัยกว้าง รับฟังความเห็นทั้งของส่วนใหญ่และส่วนน้อย และทรงมีแนวคิดเสรีนิยมพอที่จะทรงปรับรูปการปกครองให้ดีเหมาะแก่กาล ซึ่งต่อไปสยาม “ยิ่งจะมีคนที่ได้ศึกษามีความรู้มากขึ้น จะต้องคิดการไว้เตรียมรับ emancipationซึ่งจะเกิดขึ้นโดยลำดับ” [3] โดยคำว่า “emancipation” หมายถึงการปลดเปลื้องให้เป็นอิสระเสรี ภารกิจของคณะกรรมการก็คือการพิจารณาว่าจะเลิกองคมนตรีเสียทั้งหมด หรือจะเลือกบางคนขึ้นเป็นสภากรรมการเพื่อทดลองทำหน้าที่เชิงนิติบัญญัติ[4]
สภากรรมการองคมนตรีจะมีขอบเขตอำนาจเช่นไร?
ที่ประชุมได้อภิปรายกันก่อนถึงข้อดีและข้อเสียของทั้งระบอบประชาธิปไตยและระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัต (กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากรในรัชกาลที่ ๙) ผู้ทรงได้รับปริญญาตรีสาขาตะวันออกศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ทรงแสดงพระทัศนะว่า “ชาวตะวันออกน่าจะเหมาะแก่การปกครองเป็น patriarchal ไม่น่าเชื่อว่าการปกครองจะมาจากส่วนล่างขึ้นไปส่วนสูง”[5] โดย patriarchal แปลได้ว่าการปกครองฉันพ่อกับลูก
ที่ประชุมได้พิจารณาประเด็นที่ว่าสภากรรมการองคมนตรีซึ่งจะตั้งขึ้นโดยการคัดองคมนตรีจำนวนหนึ่งมาเป็นกรรมการนั้น ควรจะมีหน้าที่เป็นองค์กร consultative หรือองค์กร advisory ส่วนหน้าที่เชิงในการออกกฎหมายนั้นยังคงมีอุปสรรคอยู่บ้างเนื่องด้วย กระบวนการจัดทำประมวลกฎหมายเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของต่างประเทศตามสนธิสัญญาที่ปรับฐานะให้สยามมีความเสมอภาคกับชาติอื่นๆ ยังดำเนินการไม่เสร็จ
หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากรทรงชี้ว่าแบบ consultative ย่อมหมายถึงการที่สภาดังกล่าวจะถวายคำแนะนำได้ก็ต่อเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงขอเท่านั้น และจึงจะไม่เป็นองค์กรยับยั้งการใช้พระราชอำนาจในทางที่ผิด ส่วนแบบ advisory นั้นหมายถึงว่าสภาดังกล่าวสามารถประชุมกันเองได้ในเรื่องใดก็ตามที่เห็นสมควร ดังนั้นเพื่อความชัดเจน องค์ประธานจึงได้นำความกราบบังคมทูลเรียน (ถามถึง) พระราชปฎิบัติซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชบันทึก_“Democracy_in_Siam” (ประชาธิปไตยในสยาม) ทรงตอบลงมาสู่ที่ประชุมคณะกรรมการในวันที่ ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๐ ซึ่งเป็นการประชุมนัดสุดท้าย
พระราชบันทึก “Democracy in Siam”
ในปัจจุบัน ชะรอยจะเป็นเพราะชื่อที่เกี่ยวกับประชาธิปไตย มีผู้นำบางตอนของพระราชบันทึกนี้ไปเผยแพร่หรือใช้ในการวิเคราะห์ โดยไม่ได้คำนึงถึงบริบทว่าเป็นการทรงตอบคำกราบบังคมทูลเรียนพระราชปฏิบัติของคณะกรรมการจัดทำระเบียบองคมนตรี การตีความข้อความในพระราชบันทึกโดยไม่ได้ศึกษาบันทึกการประชุมคณะกรรมการฯ ดังกล่าว (ซึ่งได้ทูลเกล้าฯ ถวายไปด้วย) จึงมีโอกาสที่จะเกิดความคลาดเคลื่อนในการตีความได้ไม่น้อย
แต่หากอ่านพระราชบันทึกในบริบทดังกล่าว ย่อมจะให้เห็นว่าบางส่วนของพระราชบันทึกเป็นการทรงตอบโต้กับความเห็นบางอย่างของกรรมการบางท่าน และได้ทรงถือโอกาสนั้นทรงอรรถาธิบายถึงแนวทางพระราชดำริที่ทรงมีอยู่ในขณะนั้น เกี่ยวกับการขับเคลื่อนการปฎิรูปการปกครองทั้งในส่วนของการที่จะให้มีรัฐสภาและการที่จะให้มีสภาเทศบาลในระดับท้องถิ่นเพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เรียนรู้วิถีการปกครองตนเองจากการปฎิบัติจริงในระดับนั้น ก่อนที่จะได้มีสิทธิเสียงในการเลือกตั้งบุคคลเข้าสู่รัฐสภาในระดับชาติ จากนั้นจึงทรงตอบคำกราบบังคมทูลเรียนพระราชปฎิบัติเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าสภากรรมการองคมนตรีที่จะจัดตั้งขึ้นนั้น จะเป็นแบบ consultative หรือแบบ advisory
พระราชบันทึกฉบับนี้จึงนับเป็นเอกสารสำคัญอีกฉบับหนึ่งซึ่งมีความสืบเนื่อง และมีวิวัฒนาการมาจากพระราชบันทึก “Problems of Siam” ซึ่งทรงมีไปพระราชทานพระยากัลยาณไมตรีเมื่อประมาณหนึ่งปีก่อนหน้า อีกทั้งเป็นพระราชบันทึกที่แสดงว่าทรงเปิดพระทัยให้เข้าใจสิ่งที่มีผู้เรียกว่า “แผนพัฒนาการเมือง” ของพระองค์ [6] ตลอดจนเหตุผลของพระองค์ในการนั้นไว้อย่างชัดเจนทีเดียว
พระราชประสงค์เกี่ยวกับสภากรรมการองคมนตรี
ตามพระราชบันทึกฯ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงถือว่าการปรับองค์กรสภาองคมนตรีครั้งนี้เป็นก้าวแรกของการทำ “แผน” ของพระองค์สู่การปฏิบัติ แต่ก็ยังคงกล่าวไม่ได้ว่าสภากรรมการฯ จะเป็นองค์กรสะท้อนความเห็นของสาธารณชนทั่วไปอย่างแท้จริง แต่ก็คงพอได้บ้าง พระราชประสงค์ในชั้นนี้คือ
๑. เป็นหนทางของการทดลองและเรียนรู้วิธี การอภิปรายแบบรัฐสภา
๒. เป็นอิทธิพลเหนี่ยวรั้งการใช้อำนาจในทางที่ผิด[7] สำหรับประเด็นที่ว่าสภากรรมการฯ มีลักษณะเป็นองค์กร consultative หรือ advisory นั้น ทรงแนะนำว่าหากกรรมการองคมนตรี ๑๕ คน (ในจำนวน ๔๐ คน) เข้าชื่อกันขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตที่จะเปิดอภิปรายในสภาฯ ในเรื่องราวหนึ่งใดที่เห็นว่ามีความสำคัญต่อสวัสดิภาพของประเทศและประชาชนโดยรวม ก็ให้นายกสภากรรมการฯ กราบบังคมทูลฯขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ทั้งนี้ทรงต่อไปว่า เป็นที่เข้าใจกันว่าพระมหากษัตริย์จะพระราชทานหรือไม่ ย่อมเป็นไปตามพระบรมราชวินิจฉัย เช่นนี้จะดีกว่าที่จะให้สภากรรมการฯ ซึ่งไม่ได้เป็นสภาจากการเลือกตั้งมีสิทธิอภิปรายเรื่องใดก็ได้ เชื่อว่าน่าจะเพียงพอแก่การป้องปรามมิให้ผู้มีอำนาจกระทำการตามอำเภอใจหรือขัดต่อผลประโยชน์ของรัฐประเทศ ผู้ใดก็ตามที่อยู่ในอำนาจย่อมจะยั้งคิดก่อนที่จะปฏิเสธคำขอเช่นที่ว่าหากเขาไม่มีเหตุผลที่ดี “แต่ถ้ามีผู้ใดที่ไร้ความยั้งคิด ก็ไม่มีสถาบันใดที่จะสามารถป้องกันมิให้เขาทำสิ่งที่เลวได้ แม้แต่รัฐสภา (ก็ทำไม่ได้) ดังกรณีของพระเจ้าชาร์ลสที่ ๑ (Charles I ของ อังกฤษ) และเมื่อนั้นสิ่งเดียวที่ต้องทำก็คือตัดหัวเขาทิ้งเสีย!” [8]
เมื่อได้รับทราบพระราชบันทึกนี้แล้ว คณะกรรมการฯ ได้อภิปรายกันในประเด็นนี้อีกอย่างกว้างขวาง และได้ลงมติในเสียงข้างมาก ๖ ต่อ ๒ ที่จะแก้ไขร่างพระราชบัญญัติที่ได้ร่างขึ้นแล้วตามคำทรงแนะนำโดยนัย แต่ได้ลดจำนวนสมาชิกสภากรรมการองคมนตรีซึ่งจะต้องเข้าชื่อกันให้เหลือเพียง ๕ ท่าน จากจำนวนที่ทรงแนะนำคือ ๑๕ ใน ๔๐ ท่าน[9] แสดงว่าคณะกรรมการฯ มีความโน้มเอียงไปในทางรูปแบบ advisory และต่อมาเมื่อวันที่ ๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๐ ได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติองคมนตรีพุทธศักราช ๒๔๗๐ [10] โดยสภาฯ มีวาระคราวละ ๓ ปี
ในการประชุมอภิรัฐมนตรีสภาเพื่อคัดเลือกบุคคลเข้าสู่สภากรรมการองคมนตรี พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชปรารภว่าควรเปิดให้ผู้ที่ไม่ได้เป็นข้าราชการเป็นกรรมการด้วย และควรหรือไม่ที่เจ้านายและข้าราชการประจำทั้งทหารและพลเรือนจะเป็นกรรมการ หากแต่ว่าในบรรดา ๔๐ ท่านซึ่งอภิรัฐมนตรีสภาคัดเลือกในที่สุด ปรากฎว่ามีเจ้านายและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งที่ยังรับราชการอยู่และเกษียณอายุราชการแล้วอยู่ทั้งนั้น แต่ได้ยกเว้นไม่แต่งตั้งอภิรัฐมนตรีหรือเสนาบดี นับได้ว่าเป็นอีกครั้งหนึ่งซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอนุโลมตามเสียงส่วนใหญ่
พระราชวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ทรงได้รับเลือกตั้งจากสภาฯ นั้นเป็นสภานายก [11] พระราชวงศ์เธอพระองค์นี้ทรงสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ ทรงมีความรู้ประเพณีทางสังคมและการปกครองของทั้งสยามและของยุโรปเป็นอย่างดี ดังที่ได้ทรงประพันธ์เผยแพร่อยู่เสมอในพระนามแฝง น.ม.ส.
ในพระราชดำรัสเปิดสมัยประชุมสภากรรมการองคมนตรีครั้งแรกเมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๐ ซึ่งราชเลขาธิการเป็นผู้แทนพระองค์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชปรารภว่าได้ทรง “ดัดแปลงสิ่งที่มีอยู่แล้วให้ใช้การได้เหมาะตามสภาพบ้านเมืองที่มีอยู่ในเวลานี้ ถ้าหากถึงเวลาอันควรที่จะเปลี่ยนแปลงวิธีการปกครองประเทศต่อไปก็จะได้ทำได้โดยสะดวก” และทรงเน้นว่า “เราไม่ได้เลือกท่านมาเป็นผู้แทนคณะใดหรือเหล่าใดโดยเฉพาะ ท่านทั้งหลายจงออกความเห็นโดยระลึกถึงประโยชน์ส่วนรวมส่วนใหญ่ของแผ่นดิน และประชาชนชาวสยามโดยทั่วไปเป็นสำคัญ ... แม้มีสิ่งไรที่ท่านเห็นว่าจะยังความผาสุขให้บังเกิดขึ้นแก่ประชาชน ก็ให้ท่านถวายความเห็นได้ทุกเมื่อ เรายินดีที่จะฟังเสมอ”[12]
โดยทั่วไป หนังสือพิมพ์แสดงความยินดีกับการที่ได้มีองค์กรนี้ขึ้น โดยบางส่วนแสดงความคาดหวังว่าจะมีสภาราษฎรเต็มรูปแบบในภายหน้า[13] [14]
การแสดงบทบาทของสภากรรมการองคมนตรี
ข้อมูลหลักฐานเท่าที่ยังมีอยู่ แสดงว่าระหว่างเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๐ ถึงเดือนกรกฎาคม ๒๔๗๓ สภาฯ นี้ประชุมกัน ๒๓ ครั้ง และน้อยครั้งลงเรื่อยๆ ผลงานที่สำคัญคือ การประชุมปรึกษาถวายความเห็นร่างพระราชบัญญัติและร่างประกาศที่พระราชทานลงมา ในประเภทแรกมีร่างพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว ซึ่งมีประเด็นว่าจะให้มีผัวเดียวเมียเดียวหรือไม่ และซึ่งประกาศใช้ในชื่อว่าพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมกฏหมายลักษณะผัวเมีย ร่างพระราชบัญญัติทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ซึ่งสภากรรมการองคมนตรีมีมติไม่เห็นชอบที่จะตราเป็นพระราชบัญญัติ เพราะจะมีผลเสียตรงที่เปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่กระทำการทุจริตต่อหน้าที่ราชการได้มากขึ้น และร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ๔ เป็นต้น
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จฯ พร้อมด้วยอภิรัฐมนตรีทรงสังเกตการณ์การประชุมเป็นบางครั้ง และเมื่อทรงได้รับรายงานการประชุมเรื่องประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๓ นั้นแล้ว ซึ่งมีกรรมการสภาร่วมการฯ ๒๗ ท่านจาก ๔๐ ท่านเข้าประชุม ทรงมีพระราชปรารภว่า“กรรมการยังไม่คุ้นกับข้อบังคับและวิธีการประชุมอย่างนี้...กรรมการออกจะไม่มาเป็นจำนวนมากพอใช้ และไม่ลงมติก็มาก เห็นจะเกี่ยวด้วยเป็นปัญหาที่เข้าใจยาก...” [15]
ในประเด็นการเพิ่มความโปร่งใส อภิรัฐมนตรีสภาได้ประชุมกันพิจารณาว่าจะให้ผู้ที่ไม่ได้เป็นกรรมการเข้าสังเกตการณ์การประชุมสภากรรมการองคมนตรีได้หรือไม่ ในเรื่องนี้แม้ว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงเห็นดี แต่ที่ประชุมยังไม่เห็นชอบ จนกระทั่งเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๗๔ จึงได้อนุญาตให้องคมนตรีซึ่งมิได้เป็นกรรมการทำเช่นนั้นได้ แต่ยังไม่อนุญาตให้สื่อมวลชนเข้าฟัง แต่มีการออกข่าวแถลงเจ้งเฉพาะมติ นักวิจัยรุ่นหลังจึงสรุปว่า สภากรรมการองคมนตรียังขาดความสนับสนุนจากอภิรัฐมนตรีสภา ซึ่งไม่เป็นไปตามพระราชประสงค์ อีกทั้งการที่กรรมการเข้าร่วมประชุมกันน้อยคน อาจเป็นเพราะมีหน้าที่ราชการอื่นมาก หรือไม่ก็รู้สึกว่าสภาฯ ไม่ค่อยมีอำนาจมากนัก [16] เป็นที่น่าสังเกตว่ากรรมการสภาฯ มิได้ใช้สิทธิ์ตามมาตรา ๑๓ ที่เปิดโอกาสให้กรรมการเพียง ๕ คนขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเรียกประชุมในเรื่องราวที่ตนเองเห็นสำคัญได้แต่อย่างใด [17]
เมื่อครบวาระ ๓ ปีของสภาฯ ชุดแรก กรรมการ ๒๗ ท่านจาก ๔๐ ท่านได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอีกครั้งตามรายนามซึ่งอภิรัฐมนตรีสภาเสนอ ทั้งๆ ที่กรมพระดำรงราชานุภาพทรงเสนอให้แต่งตั้งเข้าดำรงตำแหน่งใหม่ทั้งหมดเพื่อไม่ให้เสียกำลังใจ ทุกท่านเป็นข้าราชการประจำหรือเกษียณอายุ [18]
เห็นได้ว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงยอมตามมติเสียงข้างมากของอภิรัฐมนตรีสภา แม้เมื่อต่างจากพระราชดำริของพระองค์เอง เสมือนว่าตั้งพระราชหฤทัยจะทรงวางพระองค์เป็นแบบอย่างของวิถีประชาธิปไตย หากแต่ว่าเป็นที่น่าเสียดายที่พระองค์มิได้ทรงเห็นควรที่จะทรงวางพระองค์ในฐานะประธานในที่ประชุม เป็นเฉกเช่น “นายกรัฐมนตรีที่มีความแข็งขัน” (strong prime minister) ซึ่งเป็นตัวอย่างอยู่ในระบอบประชาธิปไตยของอังกฤษ ด้วยการทรงนำและคุมร่องการประชุม หรือไม่ก็ทรงพยายามแล้วแต่ไม่ค่อยได้ผล
ในภาวการณ์เช่นนั้นสภากรรมการองคมนตรีจึงขาดโอกาสที่จะเป็นองค์กรนำร่องของรัฐสภาอย่างแท้จริง กระนั้นก็ตาม ประสบการณ์การเป็นกรรมการในสภากรรมการฯ นี้ ดูจะยังประโยชน์ไม่น้อยแก่กรรมการบางท่าน ซึ่งต่อมาหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้มีบทบาทเด่นในสภาผู้แทนราษฎร เช่น พระยาเทพหัสดิน พระยาจินดาภิรมย์ (ต่อมาเป็นเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ) พระยาราชวังสัน พระยามานวราชเสวี เป็นต้น[19]จึงต้องนับว่าการทดลองนั้นมิได้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว อีกทั้งข้อบังคับการประชุมสภากรรมการองคมนตรีได้ถูกนำมาใช้เป็นข้อบังคับของสภาผู้แทนราษฎรดังกล่าวไปพลางด้วย
อ้างอิง
- ↑ สนธิ เตชานันท์. รวบรวม ๒๕๔๕. แผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบ “ประชาธิปไตย” ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า, หน้า ๒๑๐.
- ↑ สนธิ เตชานันท์. รวบรวม ๒๕๔๕. แผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบ “ประชาธิปไตย” ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า, หน้า ๒๑๖-๒๗๓.
- ↑ สนธิ เตชานันท์. รวบรวม ๒๕๔๕. แผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบ “ประชาธิปไตย” ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า, หน้า ๒๑๘.
- ↑ สนธิ เตชานันท์. รวบรวม ๒๕๔๕. แผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบ “ประชาธิปไตย” ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า, หน้า ๒๒๐.
- ↑ สนธิ เตชานันท์. รวบรวม ๒๕๔๕. แผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบ “ประชาธิปไตย” ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า, หน้า ๒๒๑.
- ↑ สนธิ เตชานันท์. รวบรวม ๒๕๔๕. แผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบ “ประชาธิปไตย” ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า.
- ↑ ปกเกล้า, พระบาทสมเด็จพระ. ๒๔๗๐. Democracy in Siam. ในสนธิ เตชานันท์. รวบรวม ๒๕๔๕. แผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบ “ประชาธิปไตย” ตาม แนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า, หน้า ๒๖๘.
- ↑ ปกเกล้า, พระบาทสมเด็จพระ. ๒๔๗๐. Democracy in Siam. ในสนธิ เตชานันท์. รวบรวม ๒๕๔๕. แผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบ “ประชาธิปไตย” ตาม แนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า, หน้า ๒๖๘.
- ↑ สนธิ เตชานันท์. รวบรวม ๒๕๔๕. แผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบ “ประชาธิปไตย” ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว, หน้า ๒๗๓.
- ↑ สนธิ เตชานันท์. รวบรวม ๒๕๔๕. แผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบ “ประชาธิปไตย” ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า, หน้า ๒๗๔-๒๗๘.
- ↑ วัลย์วิภา จรูญโรจน์, ม.ล. ๒๕๔๘. แนวพระราชดำริทางการเมืองของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ: พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สถาบันพระปกเกล้า, หน้า ๗๔.
- ↑ สนธิ เตชานันท์. รวบรวม ๒๕๔๕. แผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบ “ประชาธิปไตย” ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว, หน้า ๒๘๐.
- ↑ Batson, Benjamin. 1984. The End of the Absolute Monarchy in Siam. Singapore: Oxford University Press, p. 137.
- ↑ วัลย์วิภา จรูญโรจน์, ม.ล. ๒๕๔๘. แนวพระราชดำริทางการเมืองของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์, หน้า ๗๔.
- ↑ วัลย์วิภา จรูญโรจน์, ม.ล. ๒๕๔๘. แนวพระราชดำริทางการเมืองของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์, หน้า ๗๔-๗๖.
- ↑ ชาญชัย รัตนวิบูลย์. ๒๕๔๘. บทบาทของอภิรัฐมนตรีสภาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สถาบันพระปกเกล้า, หน้า ๑๔๖- ๑๔๙.
- ↑ วัลย์วิภา จรูญโรจน์, ม.ล. ๒๕๔๘. แนวพระราชดำริทางการเมืองของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์, หน้า ๗๖.
- ↑ ชาญชัย รัตนวิบูลย์. ๒๕๔๘. บทบาทของอภิรัฐมนตรีสภาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว, หน้า ๑๔๓- ๑๔๔.
- ↑ วัลย์วิภา จรูญโรจน์, ม.ล. ๒๕๔๘. แนวพระราชดำริทางการเมืองของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวการวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์, หน้า ๗๕ , ๑๙๗.
บรรณานุกรม
ชาญชัย รัตนวิบูลย์. ๒๕๔๘. บทบาทของอภิรัฐมนตรีสภาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สถาบันพระปกเกล้า.
ปกเกล้า, พระบาทสมเด็จพระ. ๒๔๗๐. Democracy in Siam. ในสนธิ. ๒๕๔๕: ๒๖๗-๒๖๘.
วัลย์วิภา จรูญโรจน์, ม.ล. ๒๕๔๘. แนวพระราชดำริทางการเมืองของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว การวิเคราะห์เชิงประวัติศาสตร์. กรุงเทพฯ: พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สถาบันพระปกเกล้า.
สนธิ เตชานันท์. รวบรวม ๒๕๔๕. แผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบ “ประชาธิปไตย” ตาม แนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ: สถาบันพระปกเกล้า.
Batson, Benjamin. 1984. The End of the Absolute Monarchy in Siam. Singapore: Oxford University Press.