ผลต่างระหว่างรุ่นของ "เมืองพระยามหานคร"
สร้างหน้าด้วย " เรียบเรียงโดย : ดร.ชาติชาย มุกสง ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทค..." |
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
||
บรรทัดที่ 1: | บรรทัดที่ 1: | ||
เรียบเรียงโดย : ดร.ชาติชาย มุกสง | เรียบเรียงโดย : ดร.ชาติชาย มุกสง | ||
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต | ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต | ||
---- | ---- | ||
บรรทัดที่ 8: | บรรทัดที่ 8: | ||
'''เมืองพระยามหานคร''' | '''เมืองพระยามหานคร''' | ||
| การจัดรูปแบบการปกครองในระบบเมืองพระยามหานครนี้เกิดขึ้นหลังการปฏิรูปการปกครองในสมัย[[สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ]]ที่ให้ยกเลิกระบบ[[เมืองลูกหลวง]] แล้วหันมาใช้การปกครองหัวเมืองส่วนภูมิภาคที่มีด้วยกัน 3 เขตวง ได้แก่ วงราชธานีที่เป็นหัวเมืองชั้นในใกล้เมืองหลวงที่ขึ้นกับเมืองหลวงโดยตรง ถัดออกไปคือเมืองพระยามหานคร ส่วนหัวเมืองที่อยู่เขตภายนอกเมืองพระยามหานครจะเป็นเมืองประเทศราช[[#_ftn1|[1]]] เมืองที่อยู่ในวงราชธานีปกครองโดยตรงจากข้าราชการที่เมืองหลวงส่งออกไปหรือข้าราชการที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบแทนขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวง เมืองพระยามหานครนั้น ปกครองโดยเชื้อพระวงศ์ เครือญาติของเจ้าเมืองส่วนกลางหรือส่วนภูมิภาค โดยความเป็นจริงแล้วเมืองเหล่านี้จะอยู่ในฐานะกึ่งอิสระเนื่องจากความไม่สะดวกของการคมนาคมเนื่องจากระยะทางที่ห่างไกลจากเมืองหลวง ทำให้การควบคุมดูแลจากเมืองหลวงเป็นไปได้ยาก เจ้าเมืองมีหน้าที่ต้องเข้ามาดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยาสาบานตน แสดงความจงรักภักดีต่อกษัตริย์อยุธยาเป็นเครื่องมือควบคุมทางอำนาจที่สำคัญ ต่างจากประเทศราชที่ปกครองโดยราชวงศ์ของท้องถิ่นมักมีชาติพันธุ์ต่างจากอยุธยาและมีหน้าที่เพียงส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองมาเป็นเครื่องกำนัลทุก ๆ 3 ปีเท่านั้น[[#_ftn2|[2]]] | ||
| | ||
บรรทัดที่ 14: | บรรทัดที่ 14: | ||
'''ลักษณะการปกครองหัวเมืองในระบบเมืองพระยามหานคร''' | '''ลักษณะการปกครองหัวเมืองในระบบเมืองพระยามหานคร''' | ||
| ความแตกต่างระหว่าง[[เมืองลูกหลวง]] เมืองพระยามหานครและ[[เมืองประเทศราช]]ตามที่ปรากฏใน[[กฏมณเฑียรบาล|กฎมณเฑียรบาล]]ซึ่งนักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นว่าตราขึ้นในสมัยสมเด็จบรมไตรโลกนาถ แต่ก็เป็นไปได้ว่ามีมาก่อนแล้วแก้ไขปรับปรุงขึ้นใหม่ในสมัยนี้ก็ได้ พิจารณาการจัดการปกครองอาณาเขตที่ปรากฏในกฎมณเฑียรบาลดูเหมือนจะมีความลักลั่นไม่ชัดเจนอยู่ โดยปรากฏความว่า | ||
| | ||
ฝ่ายกระษัตรแต่ได้ถวายดอกไม้ทองเงินทั้งนั้น'' ''20 เมือง คือเมืองนครหลวง เมืองศรีสัตนาคณหุต เมืองเชียงใหม่ เมืองตองอู เมืองเชียงไกร เมืองเชียงกราน เมืองเชียงแสน เมืองเชียงรุ้ง เมืองเชียงราย เมืองแสนหวี เมืองเขมราช เมืองแพร่ เมืองน่าน เมืองใต้ทอง เมืองโคตรบอง เมืองเรวแกว 16 มืองนี้ฝ่ายเหนือ เมืองฝ่ายใต้ เมืองอุยองตะหนะ เมืองมลากา เมืองมลายู เมืองวรวารี 4 เมืองเข้ากัน 20 เมือง ถวายดอกไม้ทองเงิน พญามหานคร แต่ได้ถือน้ำพระพัท 8 เมือง คือ เมืองพิศณุโลก เมืองสัชนาไล เมืองศุโขไท เมืองกำแพงเพชร เมืองนครศรีธรรมราช เมืองนครราชสีมา เมืองตนาวศรี เมืองทวาย'''''[[#_ftn3|'''[3]''']]''''' | |||
| | ||
จากเนื้อความที่ยกมาเท่ากับว่ากฎมณเทียรบาลกำหนดให้มีเมืองพระยามหานคร 8 เมืองคือ พิษณุโลก ศรีสัชนาลัย สุโขทัย กำแพงเพชร นครศรีธรรมราช นครราชศรีมา ตะนาวศรี และทวาย เมืองทั้ง 8 | จากเนื้อความที่ยกมาเท่ากับว่ากฎมณเทียรบาลกำหนดให้มีเมืองพระยามหานคร 8 เมืองคือ พิษณุโลก ศรีสัชนาลัย สุโขทัย กำแพงเพชร นครศรีธรรมราช นครราชศรีมา ตะนาวศรี และทวาย เมืองทั้ง 8 ต้อง[[ถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา]] ในขณะที่มาตรา 8 กำหนดให้ “พระลูกเธอกินเมืองถวายบังคมแก่สมเดจหน่อพระพุทธิเจ้า พระเยาวราชถวายบังคมแก่พระเจ้าลูกเธอกินเมือง เมืองลูกหลวง คือเมืองพิศณุโลก เมืองสวรรคโลก เมืองกำแพงเพช เมืองลพบุรี เมืองสิงคบุรี”[[#_ftn4|[4]]] | ||
จากหลักฐานกฎมณเทียรบาลข้างต้นเห็นได้ว่า เมืองพิษณุโลก ศรีสัชนาลัยหรือสวรรคโลกและกำแพงเพชร มีฐานะเป็นทั้งเมืองพระยามหานครและเมืองลูกหลวงไปพร้อมกันอยู่ เมืองที่มีสองฐานะดังกล่าวนี้ล้วนแล้วแต่เป็นหัวเมืองเหนือ ซึ่งถูกรวมเข้ากับอยุธยาในภายหลัง และเชื่อได้ว่าเมืองเหนือเหล่านี้กลายมาเป็นเมืองลูกหลวงในสมัยพระบรมไตรโลกนาถเป็นต้นมา[[#_ftn5|[5]]] นอกจากนี้ในบรรดาเมืองพระยามหานครทั้ง 8 เมืองที่จะต้องเข้ามาดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยาล้วนแล้วแต่เป็นเมืองที่อยู่นอกลุ่มน้ำเจ้าพระยาทั้งสิ้นและเมืองเหล่านี้เป็นเมืองที่อยุธยาขยายอำนาจรวมเข้ามาไว้ในอาณาเขต ทั้งๆที่เมื่อแรกตั้งกรุงศรีอยุธยาเมืองบางเมืองอย่างนครศรีธรรมราชอาจเป็นแค่ประเทศราชแต่ถูกรวมเข้าไว้ในระบบราชการของกรุงศรีอยุธยาในฐานะเมืองพญามหานครในภายหลังอย่างช้าที่สุดก็สมัยพระบรมไตรโลกนาถที่ตรากฎหมายนี้[[#_ftn6|[6]]] | จากหลักฐานกฎมณเทียรบาลข้างต้นเห็นได้ว่า เมืองพิษณุโลก ศรีสัชนาลัยหรือสวรรคโลกและกำแพงเพชร มีฐานะเป็นทั้งเมืองพระยามหานครและเมืองลูกหลวงไปพร้อมกันอยู่ เมืองที่มีสองฐานะดังกล่าวนี้ล้วนแล้วแต่เป็นหัวเมืองเหนือ ซึ่งถูกรวมเข้ากับอยุธยาในภายหลัง และเชื่อได้ว่าเมืองเหนือเหล่านี้กลายมาเป็นเมืองลูกหลวงในสมัยพระบรมไตรโลกนาถเป็นต้นมา[[#_ftn5|[5]]] นอกจากนี้ในบรรดาเมืองพระยามหานครทั้ง 8 เมืองที่จะต้องเข้ามาดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยาล้วนแล้วแต่เป็นเมืองที่อยู่นอกลุ่มน้ำเจ้าพระยาทั้งสิ้นและเมืองเหล่านี้เป็นเมืองที่อยุธยาขยายอำนาจรวมเข้ามาไว้ในอาณาเขต ทั้งๆที่เมื่อแรกตั้งกรุงศรีอยุธยาเมืองบางเมืองอย่างนครศรีธรรมราชอาจเป็นแค่ประเทศราชแต่ถูกรวมเข้าไว้ในระบบราชการของกรุงศรีอยุธยาในฐานะเมืองพญามหานครในภายหลังอย่างช้าที่สุดก็สมัยพระบรมไตรโลกนาถที่ตรากฎหมายนี้[[#_ftn6|[6]]] | ||
บรรทัดที่ 34: | บรรทัดที่ 34: | ||
ควอริช เวลส์ เสนอว่าผลจากการปรับปรุงระบบราชการในเมืองหลวงหรือส่วนกลางในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถส่งผลให้อำนาจของเมืองหลวงขยายกว้างขวางออกไปในหัวเมืองวงราชธานีด้วยการส่งข้าราชการจากเมืองหลวงไปปกครอง โดยขึ้นตรงกับเสนาบดีกระทรวงวังที่ใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์โดยตรง ส่วนการปกครองส่วนภูมิภาคหรือหัวเมืองในพระราชอาณาเขตจะจัดรูปแบบการปกครองเป็นเมืองพระยามหานครแทนระบบเมืองลูกหลวงที่ใช้มาแต่ก่อน โดยส่งเจ้าหรือขุนนางชั้นสูงไปปกครองหัวเมืองสำคัญในราชอาณาจักรในฐานะรัฐอิสระ แต่สวามิภักดิ์กับพระมหากษัตริย์ในกรุงศรีอยุธยา[[#_ftn8|[8]]]ด้วยการต้องแสดงความจงรักภักดีในพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาทุกปี | ควอริช เวลส์ เสนอว่าผลจากการปรับปรุงระบบราชการในเมืองหลวงหรือส่วนกลางในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถส่งผลให้อำนาจของเมืองหลวงขยายกว้างขวางออกไปในหัวเมืองวงราชธานีด้วยการส่งข้าราชการจากเมืองหลวงไปปกครอง โดยขึ้นตรงกับเสนาบดีกระทรวงวังที่ใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์โดยตรง ส่วนการปกครองส่วนภูมิภาคหรือหัวเมืองในพระราชอาณาเขตจะจัดรูปแบบการปกครองเป็นเมืองพระยามหานครแทนระบบเมืองลูกหลวงที่ใช้มาแต่ก่อน โดยส่งเจ้าหรือขุนนางชั้นสูงไปปกครองหัวเมืองสำคัญในราชอาณาจักรในฐานะรัฐอิสระ แต่สวามิภักดิ์กับพระมหากษัตริย์ในกรุงศรีอยุธยา[[#_ftn8|[8]]]ด้วยการต้องแสดงความจงรักภักดีในพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาทุกปี | ||
ในขณะที่การปกครองในรูปแบบเมืองพระยามหานครนี้มีระยะเวลาของการริเริ่มทดลองปกครองมาเป็นระยะเวลาประมาณ 130 ปีและระยะ 25 ปีหลังของระบบนี้ก็ชะงักไปด้วยการรุกรานและเข้ามาครอบครองดินแดนไทยของพม่าที่เข้ามาทำสงครามกับอยุธยา | ในขณะที่การปกครองในรูปแบบเมืองพระยามหานครนี้มีระยะเวลาของการริเริ่มทดลองปกครองมาเป็นระยะเวลาประมาณ 130 ปีและระยะ 25 ปีหลังของระบบนี้ก็ชะงักไปด้วยการรุกรานและเข้ามาครอบครองดินแดนไทยของพม่าที่เข้ามาทำสงครามกับอยุธยา จนถึงรัชสมัย[[สมเด็จพระนเรศวร]]ยึดอำนาจอยุธยาคืนจากพม่าได้สำเร็จแล้ว ก็ได้ทรงยกเลิกการปกครองรูปแบบหัวเมืองพระยามหานคร และทรงแบ่งหัวเมืองนอกเขตวงราชธานีออกเป็น 3 ชั้นด้วยกัน เป็น[[เมืองเอก]] [[เมืองโท]] [[เมืองตรี]] โดยแต่ละหัวเมืองประกอบด้วยหัวเมืองย่อยๆ จำนวนมากที่ต้องปกครองดูแลเช่นเดียวกับที่เมืองหลวงปกครองหัวเมืองในเขตวงราชธานี ซึ่งหัวเมืองเหล่านี้คล้ายๆ จะเรียกได้ว่าเป็นหัวเมืองจัตวาแต่เล็กกว่าเพราะเมืองจัตวาเองก็มีเมืองเล็กต้องดูแล และการปกครองหัวเมืองของไทยก็ใช้ระบบนี้โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนักมาจนกระทั่งยกเลิกไปในสมัยรัชกาลที่ 5 ในที่สุด[[#_ftn9|[9]]] | ||
| จากหลักฐานสำคัญคือ[[พระไอยการศักดินาทหารหัวเมือง]]ทำให้ทราบว่าหัวเมืองชั้นเอกมีเพียง 2 เมืองเป็นหลักเสมอมา นั่นคือเมืองพิษณุโลกทางเหนือและทางใต้คือนครศรีธรรมราช ส่วนนครราชสีมาเพิ่งได้รับการยกฐานะเป็นหัวเมืองเอกในสมัยรัตนโกสินทร์ราว[[รัชกาลที่_3]] หลังการปราบ[[กบฏเจ้าอนุวงศ์]][[#_ftn10|[10]]] | ||
หัวเมืองซึ่งอยู่ภายนอกวงราชธานีออกไปคงเป็น เพราะอยู่ไกลราชธานีปกครองโดยตรงไม่สะดวก หรือเพราะอยู่หน้าด่านชายแดนจึงจัดเป็นเมืองพระยามหานคร ชั้นเอก ชั้นโท ชั้นตรี โดยลำดับกันตามขนาดและความสำคัญของเมือง เมืองชนิดนี้ต่อมาเรียกว่า “หัวเมืองชั้นนอก” ต่างมีเมืองขึ้นอยู่ในอาณาเขตทำนองเดียวกับวงราชธานีและมีกรมการปกครองทุกแผนกเฉกเช่นเดียวกับในราชธานี[[#_ftn11|[11]]] | หัวเมืองซึ่งอยู่ภายนอกวงราชธานีออกไปคงเป็น เพราะอยู่ไกลราชธานีปกครองโดยตรงไม่สะดวก หรือเพราะอยู่หน้าด่านชายแดนจึงจัดเป็นเมืองพระยามหานคร ชั้นเอก ชั้นโท ชั้นตรี โดยลำดับกันตามขนาดและความสำคัญของเมือง เมืองชนิดนี้ต่อมาเรียกว่า “หัวเมืองชั้นนอก” ต่างมีเมืองขึ้นอยู่ในอาณาเขตทำนองเดียวกับวงราชธานีและมีกรมการปกครองทุกแผนกเฉกเช่นเดียวกับในราชธานี[[#_ftn11|[11]]] นั่นก็คือการปกครองหัวเมืองดังที่ปรากฏในพระไอยการ[[ศักดินา]]ทหารหัวเมืองมีการจัดองค์กรของกรมการและขุนนางตำแหน่งต่างๆ ในหัวเมืองเอกที่เริ่มแรกหันมาใช้ระบบเมืองพระยามหานครนั้นเป็นการจำลองแบบการปกครองมาจากภายในเมืองหลวงเลยเหมือนกันทุกอย่าง แม้ว่าต่อมาจะเกิดความแตกต่างขึ้นบ้างโดยเฉพาะกรณีหัวเมืองชั้นนอกที่อยู่ห่างไกลมากอย่างนครศรีธรรมราชที่เคยเป็นอาณาจักรมาก่อนและรักษารูปแบบการปกครองตนเองไว้บางส่วนแต่ผลของการลดสถานภาพของเมืองพระยามหานครลงเป็นหัวเมืองชั้นเอก หรือชั้นโทนั้น ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงยศและหน้าที่ของขุนนางเท่านั้น แต่เป็นการลดตำแหน่งและอำนาจของขุนนางลงด้วย ยิ่งเมื่อเปรียบกับขุนนางตำแหน่งเดียวกันในส่วนกลาง[[#_ftn12|[12]]] | ||
การเปลี่ยนแปลงสำคัญอีกประการหนึ่งของการยกเลิกระบบเมืองของหัวลูกหลวงจัดให้เมืองประเทศราช เพื่อหัวเมืองที่ปกครองกันเองเป็นเมืองพระยามหานครและสุดท้ายกลายไปเป็นหัวเมืองชั้นนอก นั่นคืออำนาจสิทธิ์ขาดหลายอย่างภายในเมืองลดลง เพราะถูกควบคุมจากศูนย์กลางคือเมืองหลวงมากยิ่งขึ้น หมายถึงการดึงอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางเพิ่มมากขึ้น ประการหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือจำนวนภาษีที่เดิมเจ้าเมืองจะจัดเก็บและกระจายกันอยู่ในกรมการเมือง เมื่อต้องขึ้นกับกรมในเมืองหลวงก็ต้องส่งภาษีให้กับเมืองหลวง ทำให้รายได้ของราชสำนักส่วนกลางเพิ่มพูนขึ้นจากการเรียกผลประโยชน์จากหัวเมืองที่มีแต่จนลง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของขุนนางจากเมืองหลวงที่คุมกรมต่างๆ อยู่ไม้น้อย และยังเป็นสาเหตุให้เกิดการแก่งแย่งผลประโยชน์จากภาษีและการควบคุมกำลังคนของหัวเมืองระหว่างขุนนางในส่วนกลางอีกด้วย[[#_ftn13|[13]]] | การเปลี่ยนแปลงสำคัญอีกประการหนึ่งของการยกเลิกระบบเมืองของหัวลูกหลวงจัดให้เมืองประเทศราช เพื่อหัวเมืองที่ปกครองกันเองเป็นเมืองพระยามหานครและสุดท้ายกลายไปเป็นหัวเมืองชั้นนอก นั่นคืออำนาจสิทธิ์ขาดหลายอย่างภายในเมืองลดลง เพราะถูกควบคุมจากศูนย์กลางคือเมืองหลวงมากยิ่งขึ้น หมายถึงการดึงอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางเพิ่มมากขึ้น ประการหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือจำนวนภาษีที่เดิมเจ้าเมืองจะจัดเก็บและกระจายกันอยู่ในกรมการเมือง เมื่อต้องขึ้นกับกรมในเมืองหลวงก็ต้องส่งภาษีให้กับเมืองหลวง ทำให้รายได้ของราชสำนักส่วนกลางเพิ่มพูนขึ้นจากการเรียกผลประโยชน์จากหัวเมืองที่มีแต่จนลง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของขุนนางจากเมืองหลวงที่คุมกรมต่างๆ อยู่ไม้น้อย และยังเป็นสาเหตุให้เกิดการแก่งแย่งผลประโยชน์จากภาษีและการควบคุมกำลังคนของหัวเมืองระหว่างขุนนางในส่วนกลางอีกด้วย[[#_ftn13|[13]]] | ||
บรรทัดที่ 46: | บรรทัดที่ 46: | ||
'''สรุป''' | '''สรุป''' | ||
กล่าวโดยสรุประบบการปกครองหัวเมืองในรูปแบบที่เรียกว่า ระบบเมืองพระยามหานคร นั้นเป็นพัฒนาการของระบบการปกครองในช่วงรอยต่อของอยุธยาตอนต้นกับอยุธยาตอนกลาง | กล่าวโดยสรุประบบการปกครองหัวเมืองในรูปแบบที่เรียกว่า ระบบเมืองพระยามหานคร นั้นเป็นพัฒนาการของระบบการปกครองในช่วงรอยต่อของอยุธยาตอนต้นกับอยุธยาตอนกลาง ที่เกิดขึ้นรองรับการขยายดินแดนของอยุธยาในช่วงที่[[ราชวงศ์สุพรรณภูมิ]]ปกครองและผนวกรวมเอาดินแดนทางเหนือที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสุโขทัย หัวเมืองมอญทางฝั่งอันดามันและหัวเมืองทางใต้คือนครศรีธรรมราชให้เข้ามาเป็นหัวเมืองสำคัญของอาณาจักรอยุธยา โดยพยายามให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการที่มีสถาบันขุนนางทำหน้าที่สำคัญในการปกครองในหัวเมืองแทนสมาชิกราชวงศ์ที่จะทำหน้าที่ปกครองรับใช้ใกล้ชิดกับองค์กษัตริย์อยู่ในเมืองหลวงแทน จึงต้องมีระบบให้กษัตริย์แต่งตั้งขุนนางไปปกครองเมืองโดยต้องแสดงความจงรักภักดีผ่านการเข้าร่วมพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาในเมืองหลวงทุกปี | ||
| | ||
บรรทัดที่ 56: | บรรทัดที่ 56: | ||
ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จกรมพระยา. “ลักษณะการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ.” ใน ''ประชุมพระนิพนธ์ สรรพความรู้.'' กรุงเทพฯ: ศยาม, 2555. | ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จกรมพระยา. “ลักษณะการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ.” ใน ''ประชุมพระนิพนธ์ สรรพความรู้.'' กรุงเทพฯ: ศยาม, 2555. | ||
นิธิ เอียวศรีวงศ์ (บรรณาธิการ). ''ศรีรามเทพนคร'''': รวมความเรียงว่าด้วยประวัติศาสตร์อยุธยาตอนต้น''. กรุงเทพฯ: ศิลปวัฒนธรรม, 2527. | นิธิ เอียวศรีวงศ์ (บรรณาธิการ). ''ศรีรามเทพนคร'''': รวมความเรียงว่าด้วยประวัติศาสตร์อยุธยาตอนต้น'''''<b>. กรุงเทพฯ: ศิลปวัฒนธรรม, 2527.</b> | ||
มานพ ถาวรวัฒน์สกุล. ''ขุนนางอยุธยา.'' กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2547. | มานพ ถาวรวัฒน์สกุล. ''ขุนนางอยุธยา.'' กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2547. | ||
บรรทัดที่ 78: | บรรทัดที่ 78: | ||
[[#_ftnref6|[6]]] มานพ ถาวรวัฒน์สกุล, ''ขุนนางอยุธยา.'' กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2547, หน้า 85. | [[#_ftnref6|[6]]] มานพ ถาวรวัฒน์สกุล, ''ขุนนางอยุธยา.'' กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2547, หน้า 85. | ||
</div> <div id="ftn7"> | </div> <div id="ftn7"> | ||
[[#_ftnref7|[7]]] นิธิ เอียวศรีวงศ์ (บรรณาธิการ), ''ศรีรามเทพนคร'''': รวมความเรียงว่าด้วยประวัติศาสตร์อยุธยาตอนต้น''. กรุงเทพฯ: ศิลปวัฒนธรรม, 2527, หน้า 32. | [[#_ftnref7|[7]]] นิธิ เอียวศรีวงศ์ (บรรณาธิการ), ''ศรีรามเทพนคร'''': รวมความเรียงว่าด้วยประวัติศาสตร์อยุธยาตอนต้น'''''<b>. กรุงเทพฯ: ศิลปวัฒนธรรม, 2527, หน้า 32.</b> | ||
</div> <div id="ftn8"> | </div> <div id="ftn8"> | ||
[[#_ftnref8|[8]]] ควอริช เวลส์, ''อ้างแล้ว'', หน้า 87. | [[#_ftnref8|[8]]] ควอริช เวลส์, ''อ้างแล้ว'', หน้า 87. |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 10:19, 18 ธันวาคม 2560
เรียบเรียงโดย : ดร.ชาติชาย มุกสง
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ : รศ.ดร.นิยม รัฐอมฤต
เมืองพระยามหานคร
การจัดรูปแบบการปกครองในระบบเมืองพระยามหานครนี้เกิดขึ้นหลังการปฏิรูปการปกครองในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถที่ให้ยกเลิกระบบเมืองลูกหลวง แล้วหันมาใช้การปกครองหัวเมืองส่วนภูมิภาคที่มีด้วยกัน 3 เขตวง ได้แก่ วงราชธานีที่เป็นหัวเมืองชั้นในใกล้เมืองหลวงที่ขึ้นกับเมืองหลวงโดยตรง ถัดออกไปคือเมืองพระยามหานคร ส่วนหัวเมืองที่อยู่เขตภายนอกเมืองพระยามหานครจะเป็นเมืองประเทศราช[1] เมืองที่อยู่ในวงราชธานีปกครองโดยตรงจากข้าราชการที่เมืองหลวงส่งออกไปหรือข้าราชการที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบแทนขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวง เมืองพระยามหานครนั้น ปกครองโดยเชื้อพระวงศ์ เครือญาติของเจ้าเมืองส่วนกลางหรือส่วนภูมิภาค โดยความเป็นจริงแล้วเมืองเหล่านี้จะอยู่ในฐานะกึ่งอิสระเนื่องจากความไม่สะดวกของการคมนาคมเนื่องจากระยะทางที่ห่างไกลจากเมืองหลวง ทำให้การควบคุมดูแลจากเมืองหลวงเป็นไปได้ยาก เจ้าเมืองมีหน้าที่ต้องเข้ามาดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยาสาบานตน แสดงความจงรักภักดีต่อกษัตริย์อยุธยาเป็นเครื่องมือควบคุมทางอำนาจที่สำคัญ ต่างจากประเทศราชที่ปกครองโดยราชวงศ์ของท้องถิ่นมักมีชาติพันธุ์ต่างจากอยุธยาและมีหน้าที่เพียงส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทองมาเป็นเครื่องกำนัลทุก ๆ 3 ปีเท่านั้น[2]
ลักษณะการปกครองหัวเมืองในระบบเมืองพระยามหานคร
ความแตกต่างระหว่างเมืองลูกหลวง เมืองพระยามหานครและเมืองประเทศราชตามที่ปรากฏในกฎมณเฑียรบาลซึ่งนักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นว่าตราขึ้นในสมัยสมเด็จบรมไตรโลกนาถ แต่ก็เป็นไปได้ว่ามีมาก่อนแล้วแก้ไขปรับปรุงขึ้นใหม่ในสมัยนี้ก็ได้ พิจารณาการจัดการปกครองอาณาเขตที่ปรากฏในกฎมณเฑียรบาลดูเหมือนจะมีความลักลั่นไม่ชัดเจนอยู่ โดยปรากฏความว่า
ฝ่ายกระษัตรแต่ได้ถวายดอกไม้ทองเงินทั้งนั้น 20 เมือง คือเมืองนครหลวง เมืองศรีสัตนาคณหุต เมืองเชียงใหม่ เมืองตองอู เมืองเชียงไกร เมืองเชียงกราน เมืองเชียงแสน เมืองเชียงรุ้ง เมืองเชียงราย เมืองแสนหวี เมืองเขมราช เมืองแพร่ เมืองน่าน เมืองใต้ทอง เมืองโคตรบอง เมืองเรวแกว 16 มืองนี้ฝ่ายเหนือ เมืองฝ่ายใต้ เมืองอุยองตะหนะ เมืองมลากา เมืองมลายู เมืองวรวารี 4 เมืองเข้ากัน 20 เมือง ถวายดอกไม้ทองเงิน พญามหานคร แต่ได้ถือน้ำพระพัท 8 เมือง คือ เมืองพิศณุโลก เมืองสัชนาไล เมืองศุโขไท เมืองกำแพงเพชร เมืองนครศรีธรรมราช เมืองนครราชสีมา เมืองตนาวศรี เมืองทวาย[3]
จากเนื้อความที่ยกมาเท่ากับว่ากฎมณเทียรบาลกำหนดให้มีเมืองพระยามหานคร 8 เมืองคือ พิษณุโลก ศรีสัชนาลัย สุโขทัย กำแพงเพชร นครศรีธรรมราช นครราชศรีมา ตะนาวศรี และทวาย เมืองทั้ง 8 ต้องถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ในขณะที่มาตรา 8 กำหนดให้ “พระลูกเธอกินเมืองถวายบังคมแก่สมเดจหน่อพระพุทธิเจ้า พระเยาวราชถวายบังคมแก่พระเจ้าลูกเธอกินเมือง เมืองลูกหลวง คือเมืองพิศณุโลก เมืองสวรรคโลก เมืองกำแพงเพช เมืองลพบุรี เมืองสิงคบุรี”[4]
จากหลักฐานกฎมณเทียรบาลข้างต้นเห็นได้ว่า เมืองพิษณุโลก ศรีสัชนาลัยหรือสวรรคโลกและกำแพงเพชร มีฐานะเป็นทั้งเมืองพระยามหานครและเมืองลูกหลวงไปพร้อมกันอยู่ เมืองที่มีสองฐานะดังกล่าวนี้ล้วนแล้วแต่เป็นหัวเมืองเหนือ ซึ่งถูกรวมเข้ากับอยุธยาในภายหลัง และเชื่อได้ว่าเมืองเหนือเหล่านี้กลายมาเป็นเมืองลูกหลวงในสมัยพระบรมไตรโลกนาถเป็นต้นมา[5] นอกจากนี้ในบรรดาเมืองพระยามหานครทั้ง 8 เมืองที่จะต้องเข้ามาดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยาล้วนแล้วแต่เป็นเมืองที่อยู่นอกลุ่มน้ำเจ้าพระยาทั้งสิ้นและเมืองเหล่านี้เป็นเมืองที่อยุธยาขยายอำนาจรวมเข้ามาไว้ในอาณาเขต ทั้งๆที่เมื่อแรกตั้งกรุงศรีอยุธยาเมืองบางเมืองอย่างนครศรีธรรมราชอาจเป็นแค่ประเทศราชแต่ถูกรวมเข้าไว้ในระบบราชการของกรุงศรีอยุธยาในฐานะเมืองพญามหานครในภายหลังอย่างช้าที่สุดก็สมัยพระบรมไตรโลกนาถที่ตรากฎหมายนี้[6]
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของการจัดระเบียบปกครองหัวเมือง
กล่าวได้ว่าระบบเมืองพระยามหานครนั้นเกิดขึ้นเพื่อรองรับการขยายอำนาจของอยุธยาในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองหัวเมืองที่เป็นประเทศราชหรือเมืองสำคัญที่เคยมีแต่อยู่ห่างไกลจากศูนย์กลาง ซึ่งได้แก่เมืองในอาณาจักรสุโขทัย เมืองนครศรีธรรมราช เมืองทวายและตะนาวศรี ซึ่งเคยเป็นเมืองกึ่งอิสระจากระบบศักดินาของอยุธยาที่เคยให้ปกครองกันเอง กลับปรับเปลี่ยนให้พระมหากษัตริย์แต่งตั้งขุนนางที่มักเป็นเจ้านายในราชวงศ์เก่าปกครองและมีการสืบตำแหน่งในตระกูล ตลอดจนมีอิสระในการดำเนินการปกครองภายใน แต่ต้องอยู่ในควบคุมของราชธานี ต้องใช้ระเบียบแบบแผนและกฎหมายของราชธานี และต้องอยู่ในความควบคุมของราชธานีอย่างใกล้ชิด[7]
ควอริช เวลส์ เสนอว่าผลจากการปรับปรุงระบบราชการในเมืองหลวงหรือส่วนกลางในรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถส่งผลให้อำนาจของเมืองหลวงขยายกว้างขวางออกไปในหัวเมืองวงราชธานีด้วยการส่งข้าราชการจากเมืองหลวงไปปกครอง โดยขึ้นตรงกับเสนาบดีกระทรวงวังที่ใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์โดยตรง ส่วนการปกครองส่วนภูมิภาคหรือหัวเมืองในพระราชอาณาเขตจะจัดรูปแบบการปกครองเป็นเมืองพระยามหานครแทนระบบเมืองลูกหลวงที่ใช้มาแต่ก่อน โดยส่งเจ้าหรือขุนนางชั้นสูงไปปกครองหัวเมืองสำคัญในราชอาณาจักรในฐานะรัฐอิสระ แต่สวามิภักดิ์กับพระมหากษัตริย์ในกรุงศรีอยุธยา[8]ด้วยการต้องแสดงความจงรักภักดีในพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาทุกปี
ในขณะที่การปกครองในรูปแบบเมืองพระยามหานครนี้มีระยะเวลาของการริเริ่มทดลองปกครองมาเป็นระยะเวลาประมาณ 130 ปีและระยะ 25 ปีหลังของระบบนี้ก็ชะงักไปด้วยการรุกรานและเข้ามาครอบครองดินแดนไทยของพม่าที่เข้ามาทำสงครามกับอยุธยา จนถึงรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรยึดอำนาจอยุธยาคืนจากพม่าได้สำเร็จแล้ว ก็ได้ทรงยกเลิกการปกครองรูปแบบหัวเมืองพระยามหานคร และทรงแบ่งหัวเมืองนอกเขตวงราชธานีออกเป็น 3 ชั้นด้วยกัน เป็นเมืองเอก เมืองโท เมืองตรี โดยแต่ละหัวเมืองประกอบด้วยหัวเมืองย่อยๆ จำนวนมากที่ต้องปกครองดูแลเช่นเดียวกับที่เมืองหลวงปกครองหัวเมืองในเขตวงราชธานี ซึ่งหัวเมืองเหล่านี้คล้ายๆ จะเรียกได้ว่าเป็นหัวเมืองจัตวาแต่เล็กกว่าเพราะเมืองจัตวาเองก็มีเมืองเล็กต้องดูแล และการปกครองหัวเมืองของไทยก็ใช้ระบบนี้โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนักมาจนกระทั่งยกเลิกไปในสมัยรัชกาลที่ 5 ในที่สุด[9]
จากหลักฐานสำคัญคือพระไอยการศักดินาทหารหัวเมืองทำให้ทราบว่าหัวเมืองชั้นเอกมีเพียง 2 เมืองเป็นหลักเสมอมา นั่นคือเมืองพิษณุโลกทางเหนือและทางใต้คือนครศรีธรรมราช ส่วนนครราชสีมาเพิ่งได้รับการยกฐานะเป็นหัวเมืองเอกในสมัยรัตนโกสินทร์ราวรัชกาลที่_3 หลังการปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์[10]
หัวเมืองซึ่งอยู่ภายนอกวงราชธานีออกไปคงเป็น เพราะอยู่ไกลราชธานีปกครองโดยตรงไม่สะดวก หรือเพราะอยู่หน้าด่านชายแดนจึงจัดเป็นเมืองพระยามหานคร ชั้นเอก ชั้นโท ชั้นตรี โดยลำดับกันตามขนาดและความสำคัญของเมือง เมืองชนิดนี้ต่อมาเรียกว่า “หัวเมืองชั้นนอก” ต่างมีเมืองขึ้นอยู่ในอาณาเขตทำนองเดียวกับวงราชธานีและมีกรมการปกครองทุกแผนกเฉกเช่นเดียวกับในราชธานี[11] นั่นก็คือการปกครองหัวเมืองดังที่ปรากฏในพระไอยการศักดินาทหารหัวเมืองมีการจัดองค์กรของกรมการและขุนนางตำแหน่งต่างๆ ในหัวเมืองเอกที่เริ่มแรกหันมาใช้ระบบเมืองพระยามหานครนั้นเป็นการจำลองแบบการปกครองมาจากภายในเมืองหลวงเลยเหมือนกันทุกอย่าง แม้ว่าต่อมาจะเกิดความแตกต่างขึ้นบ้างโดยเฉพาะกรณีหัวเมืองชั้นนอกที่อยู่ห่างไกลมากอย่างนครศรีธรรมราชที่เคยเป็นอาณาจักรมาก่อนและรักษารูปแบบการปกครองตนเองไว้บางส่วนแต่ผลของการลดสถานภาพของเมืองพระยามหานครลงเป็นหัวเมืองชั้นเอก หรือชั้นโทนั้น ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงยศและหน้าที่ของขุนนางเท่านั้น แต่เป็นการลดตำแหน่งและอำนาจของขุนนางลงด้วย ยิ่งเมื่อเปรียบกับขุนนางตำแหน่งเดียวกันในส่วนกลาง[12]
การเปลี่ยนแปลงสำคัญอีกประการหนึ่งของการยกเลิกระบบเมืองของหัวลูกหลวงจัดให้เมืองประเทศราช เพื่อหัวเมืองที่ปกครองกันเองเป็นเมืองพระยามหานครและสุดท้ายกลายไปเป็นหัวเมืองชั้นนอก นั่นคืออำนาจสิทธิ์ขาดหลายอย่างภายในเมืองลดลง เพราะถูกควบคุมจากศูนย์กลางคือเมืองหลวงมากยิ่งขึ้น หมายถึงการดึงอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางเพิ่มมากขึ้น ประการหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือจำนวนภาษีที่เดิมเจ้าเมืองจะจัดเก็บและกระจายกันอยู่ในกรมการเมือง เมื่อต้องขึ้นกับกรมในเมืองหลวงก็ต้องส่งภาษีให้กับเมืองหลวง ทำให้รายได้ของราชสำนักส่วนกลางเพิ่มพูนขึ้นจากการเรียกผลประโยชน์จากหัวเมืองที่มีแต่จนลง แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของขุนนางจากเมืองหลวงที่คุมกรมต่างๆ อยู่ไม้น้อย และยังเป็นสาเหตุให้เกิดการแก่งแย่งผลประโยชน์จากภาษีและการควบคุมกำลังคนของหัวเมืองระหว่างขุนนางในส่วนกลางอีกด้วย[13]
สรุป
กล่าวโดยสรุประบบการปกครองหัวเมืองในรูปแบบที่เรียกว่า ระบบเมืองพระยามหานคร นั้นเป็นพัฒนาการของระบบการปกครองในช่วงรอยต่อของอยุธยาตอนต้นกับอยุธยาตอนกลาง ที่เกิดขึ้นรองรับการขยายดินแดนของอยุธยาในช่วงที่ราชวงศ์สุพรรณภูมิปกครองและผนวกรวมเอาดินแดนทางเหนือที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสุโขทัย หัวเมืองมอญทางฝั่งอันดามันและหัวเมืองทางใต้คือนครศรีธรรมราชให้เข้ามาเป็นหัวเมืองสำคัญของอาณาจักรอยุธยา โดยพยายามให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการที่มีสถาบันขุนนางทำหน้าที่สำคัญในการปกครองในหัวเมืองแทนสมาชิกราชวงศ์ที่จะทำหน้าที่ปกครองรับใช้ใกล้ชิดกับองค์กษัตริย์อยู่ในเมืองหลวงแทน จึงต้องมีระบบให้กษัตริย์แต่งตั้งขุนนางไปปกครองเมืองโดยต้องแสดงความจงรักภักดีผ่านการเข้าร่วมพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาในเมืองหลวงทุกปี
บรรณานุกรม
ควอริช เวลส์. การปกครองและการบริหารของไทยสมัยโบราณ. แปลโดย กาญจนี ละอองศรีและยุพา ชุมจันทร์. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์และไทยวัฒนาพานิช. 2527.
ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จกรมพระยา. “ลักษณะการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ.” ใน ประชุมพระนิพนธ์ สรรพความรู้. กรุงเทพฯ: ศยาม, 2555.
นิธิ เอียวศรีวงศ์ (บรรณาธิการ). ศรีรามเทพนคร': รวมความเรียงว่าด้วยประวัติศาสตร์อยุธยาตอนต้น. กรุงเทพฯ: ศิลปวัฒนธรรม, 2527.
มานพ ถาวรวัฒน์สกุล. ขุนนางอยุธยา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2547.
โยนิโอะ อิชิอิ. “อาณาเขตของอยุธยาในกฎหมายตราสามดวง.” วารสารธรรมศาสตร์ ปีที่ 9 เล่มที่ 2 (ตุลาคม-ธันวาคม) 2522: 148-160.
ราชบัณฑิตยสถาน. กฎหมายตราสามดวง ราชบัณฑิตยสถาน เล่ม 1-2, กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2550.
[1] เพิ่งอ้าง, หน้า 86-88.
[2] โยนิโอะ อิชิอิ. “อาณาเขตของอยุธยาในกฎหมายตราสามดวง,” หน้า 148-160. วารสารธรรมศาสตร์ ปีที่ 9 เล่มที่ 2 (ตุลาคม-ธันวาคม), 2522, หน้า 148-9.
[3] ราชบัณฑิตยสถาน, กฎหมายตราสามดวง ราชบัณฑิตยสถาน เล่ม 2, กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, 2550, หน้า 178.
[4] เพิ่งอ้าง, หน้า178.
[5] มานพ ถาวรวัฒน์สกุล, ขุนนางอยุธยา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2547, หน้า 73-74.
[6] มานพ ถาวรวัฒน์สกุล, ขุนนางอยุธยา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2547, หน้า 85.
[7] นิธิ เอียวศรีวงศ์ (บรรณาธิการ), ศรีรามเทพนคร': รวมความเรียงว่าด้วยประวัติศาสตร์อยุธยาตอนต้น. กรุงเทพฯ: ศิลปวัฒนธรรม, 2527, หน้า 32.
[8] ควอริช เวลส์, อ้างแล้ว, หน้า 87.
[9] เพิ่งอ้าง, หน้า 88-89.
[10] เพิ่งอ้าง, หน้า 89.
[11] ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จกรมพระยา, “ลักษณะการปกครองประเทศสยามแต่โบราณ,” ใน ประชุมพระนิพนธ์ สรรพความรู้. กรุงเทพฯ: ศยาม, 2555, หน้า 62-63.
[12] ควอริช เวลส์. อ้างแล้ว, หน้า 93.
[13] เพิ่งอ้าง, หน้า 91-92.