ผลต่างระหว่างรุ่นของ "การยุบสภาผู้แทนราษฎร วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2549"

จาก ฐานข้อมูลการเมืองการปกครอง สถาบันพระปกเกล้า
Panu (คุย | ส่วนร่วม)
สร้างหน้าใหม่: '''ผู้เรียบเรียง''' ชงคชาญ สุวรรณมณี '''ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบท...
 
Panu (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัดที่ 5: บรรทัดที่ 5:
----
----


การยุบสภาผู้แทนราษฎร เป็นกลไกของระบอบประชาธิปไตย ในระบบรัฐสภาที่นอกจากเป็นเครื่องมือใช้ถ่วงดุลหรือคานอำนาจ ระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อมิให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
การยุบสภาผู้แทนราษฎร เป็นกลไกของระบอบประชาธิปไตย ในระบบรัฐสภาที่นอกจากเป็นเครื่องมือใช้ถ่วงดุลหรือคานอำนาจ ระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อมิให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอำนาจเหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่งโดยสิ้นเชิงแล้ว การยุบสภาผู้แทนราษฎรยังเป็นวิธีการที่ให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งตัดสินชี้ขาดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ผลการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือชี้ขาดเจตจำนงของประชาชน[๑]  
มีอำนาจเหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่งโดยสิ้นเชิงแล้ว การยุบสภาผู้แทนราษฎรยังเป็นวิธีการที่ให้ประชาชน
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งตัดสินชี้ขาดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ผลการเลือกตั้ง
เป็นเครื่องมือชี้ขาดเจตจำนงของประชาชน[๑]  


การยุบสภาผู้แทนราษฎรมีในประเทศที่ปกครองระบบรัฐสภา โดยมีที่มาจากประเทศอังกฤษสำหรับประเทศไทยนับตั้งแต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นการปกครองระบบประชาธิปไตย
การยุบสภาผู้แทนราษฎรมีในประเทศที่ปกครองระบบรัฐสภา โดยมีที่มาจากประเทศอังกฤษสำหรับประเทศไทยนับตั้งแต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นการปกครองระบบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕  จนถึงปัจจุบัน  รัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยที่ได้มีการบัญญัติเรื่องการยุบสภาผู้แทนราษฎร  ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม  พุทธศักราช ๒๔๗๕  นับแต่นั้นมาก็ได้มีการนำมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับต่าง ๆ เรื่อยมา
ในระบบรัฐสภา เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕  จนถึงปัจจุบัน  รัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยที่ได้มีการบัญญัติเรื่องการยุบสภาผู้แทนราษฎร  ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม  พุทธศักราช ๒๔๗๕  นับแต่นั้นมาก็ได้มีการนำมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับต่าง ๆ เรื่อยมา


==การยุบสภาผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐==
==การยุบสภาผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐==


รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ได้บัญญัติเรื่องการยุบสภาผู้แทนราษฎรไว้ในมาตรา ๑๑๖  ว่า
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ได้บัญญัติเรื่องการยุบสภาผู้แทนราษฎรไว้ในมาตรา ๑๑๖  ว่า
มาตรา ๑๑๖  พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่   
 
'''มาตรา ๑๑๖''' พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่   
 
การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา  ซึ่งต้องกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายในหกสิบวัน และวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร
การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา  ซึ่งต้องกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายในหกสิบวัน และวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร
การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน
การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน
การยุบสภาผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญของประเทศไทย ตั้งแต่ฉบับแรกจนถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ จะบัญญัติไว้กว้าง ๆ เพียงมาตราเดียว ครอบคลุมทั้งหลักเกณฑ์ และวิธีการยุบสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด  โดยให้การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ และกระทำโดยพระราชกฤษฎีกา  ซึ่งต้องกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการเลือกตั้งทั่วไป ภายในหกสิบวันซึ่งต้องเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายบริหารใช้อำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างกว้างขวาง
การยุบสภาผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญของประเทศไทย ตั้งแต่ฉบับแรกจนถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ จะบัญญัติไว้กว้าง ๆ เพียงมาตราเดียว ครอบคลุมทั้งหลักเกณฑ์ และวิธีการยุบสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด  โดยให้การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ และกระทำโดยพระราชกฤษฎีกา  ซึ่งต้องกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการเลือกตั้งทั่วไป ภายในหกสิบวันซึ่งต้องเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายบริหารใช้อำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างกว้างขวาง
จากการที่รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่าพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรจะออกได้ในกรณีใดบ้าง เหมือนกับการออกพระราชกำหนดที่ให้ออกได้ในกรณีเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือ ป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะและเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ กรณีมีความจำเป็นต้องมีกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตรา ซึ่งจะต้องได้รับการพิจารณาโดยด่วนและลับ เพื่อประชาชนของแผ่นดินหรือเพื่อมิให้มีการออกพระราชกำหนดในกรณีอันนอกเหนือจากที่รัฐธรรมนูญกำหนด ทำให้ฝ่ายบริหารยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ทุกกรณีโดยอ้างสาเหตุใด ๆ ก็ได้[๒]
จากการที่รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่าพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรจะออกได้ในกรณีใดบ้าง เหมือนกับการออกพระราชกำหนดที่ให้ออกได้ในกรณีเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือ ป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะและเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ กรณีมีความจำเป็นต้องมีกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตรา ซึ่งจะต้องได้รับการพิจารณาโดยด่วนและลับ เพื่อประชาชนของแผ่นดินหรือเพื่อมิให้มีการออกพระราชกำหนดในกรณีอันนอกเหนือจากที่รัฐธรรมนูญกำหนด ทำให้ฝ่ายบริหารยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ทุกกรณีโดยอ้างสาเหตุใด ๆ ก็ได้[๒]
สำหรับประเทศไทยได้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนรวม ๑๑ ครั้ง นอกจากนี้ยังมีการยุบสภานิติบัญญัติแห่งชาติและการปิดสภาผู้แทนราษฎรที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งรวม ๒ ครั้ง ซึ่งการยุบสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมามักเกิดจากสาเหตุใหญ่ ๆ ๓ ประเภท คือ[๓]
สำหรับประเทศไทยได้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนรวม ๑๑ ครั้ง นอกจากนี้ยังมีการยุบสภานิติบัญญัติแห่งชาติและการปิดสภาผู้แทนราษฎรที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งรวม ๒ ครั้ง ซึ่งการยุบสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมามักเกิดจากสาเหตุใหญ่ ๆ ๓ ประเภท คือ[๓]
๑.  ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ
๑.  ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ
๒.  ความขัดแย้งภายในพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล
๒.  ความขัดแย้งภายในพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล
๓.  ปัญหาทางการเมืองหรือวิกฤตการณ์ทางการเมืองเพื่อหาทางออกหรือแก้ปัญหาทางการเมือง
๓.  ปัญหาทางการเมืองหรือวิกฤตการณ์ทางการเมืองเพื่อหาทางออกหรือแก้ปัญหาทางการเมือง
ส่วนการกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ ภายในหกสิบวันนั้น เป็นดุลพินิจของฝ่ายบริหารที่จะกำหนดวันเลือกตั้งเมื่อใดก็ได้ แต่ต้องไม่เกินหกสิบวัน นับแต่วันที่มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เช่น สมัย พลเอกเปรม  ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี  ในปี พ.ศ.๒๕๒๖ ได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ และกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๖[๔]  ซึ่งมีระยะเวลาในการจัดการเลือกตั้งเพียงสามสิบวัน  
 
ถือว่าไม่เกินหกสิบวันก็สามารถทำได้
ส่วนการกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ ภายในหกสิบวันนั้น เป็นดุลพินิจของฝ่ายบริหารที่จะกำหนดวันเลือกตั้งเมื่อใดก็ได้ แต่ต้องไม่เกินหกสิบวัน นับแต่วันที่มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เช่น สมัย พลเอกเปรม  ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี  ในปี พ.ศ.๒๕๒๖ ได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ และกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๖[๔]  ซึ่งมีระยะเวลาในการจัดการเลือกตั้งเพียงสามสิบวัน ถือว่าไม่เกินหกสิบวันก็สามารถทำได้
การยุบสภาผู้แทนราษฎร วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๙
 
==การยุบสภาผู้แทนราษฎร วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๙==
 
ในสมัยพันตำรวจโท ทักษิณ  ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นการยุบสภาผู้แทนราษฎรครั้งล่าสุดตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐
ในสมัยพันตำรวจโท ทักษิณ  ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นการยุบสภาผู้แทนราษฎรครั้งล่าสุดตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐
มีสาเหตุมาจากกลุ่มบุคคลบางกลุ่มไม่พอใจการบริหารราชการแผ่นดินของพันตำรวจโท ทักษิณ  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวหาว่า มีการใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของครอบครัวตนเอง แทรกแซงการทำงานขององค์กรอิสระ การขายหุ้นของครอบครัวให้กับบริษัทต่างชาติและมีผลประโยชน์ทับซ้อน จึงได้มีการชุมนุมเรียกร้องบีบบังคับให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งเพื่อยุติบทบาท
 
ทางการเมือง โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น ขณะเดียวกันมีกลุ่มคนอีกจำนวนหนึ่งรวมตัวกันชุมนุม
มีสาเหตุมาจากกลุ่มบุคคลบางกลุ่มไม่พอใจการบริหารราชการแผ่นดินของพันตำรวจโท ทักษิณ  ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวหาว่า มีการใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของครอบครัวตนเอง แทรกแซงการทำงานขององค์กรอิสระ การขายหุ้นของครอบครัวให้กับบริษัทต่างชาติและมีผลประโยชน์ทับซ้อน จึงได้มีการชุมนุมเรียกร้องบีบบังคับให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งเพื่อยุติบทบาททางการเมือง โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น ขณะเดียวกันมีกลุ่มคนอีกจำนวนหนึ่งรวมตัวกันชุมนุมเพื่อสนับสนุนรัฐบาลจนเหตุการณ์ทำท่าจะบานปลาย เนื่องจากฝ่ายต่อต้านและฝ่ายสนับสนุนมีแนวโน้มที่จะออกมาปะทะกัน เหตุการณ์เริ่มส่อเค้าจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าจะสงบแม้รัฐบาลจะได้ดำเนินการขอให้เปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาโดยไม่มีการลงมติในวันแรกที่มีการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญทั่วไป ในวันที่ ๘ - ๙ มีนาคม  พ.ศ. ๒๕๔๙ แต่ก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้  
เพื่อสนับสนุนรัฐบาลจนเหตุการณ์ทำท่าจะบานปลาย เนื่องจากฝ่ายต่อต้านและฝ่ายสนับสนุนมีแนวโน้ม
 
ที่จะออกมาปะทะกัน เหตุการณ์เริ่มส่อเค้าจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าจะสงบแม้รัฐบาลจะได้ดำเนินการขอให้เปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาโดยไม่มีการลงมติในวันแรกที่มีการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญทั่วไป ในวันที่ ๘ - ๙ มีนาคม  พ.ศ. ๒๕๔๙ แต่ก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้  
ต่อมารัฐบาลได้แถลงการณ์ถึงเหตุผลของการยุบสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้ว่า
ต่อมารัฐบาลได้แถลงการณ์ถึงเหตุผลของการยุบสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้ว่า
๑. การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นกระบวนการปกติของการปกครองในระบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา  กล่าวคือ เมื่อใดที่มีความขัดแย้งหรือเกิดปัญหาการเมืองอันอาจนำมา
ซึ่งวิกฤตการณ์ต่าง ๆ จนการบริหารราชการแผ่นดินไม่อาจดำเนินไปได้  หากปล่อยไว้ความขัดแย้งและปัญหาอาจบานปลายถึงขั้นกระทบต่อเสถียรภาพของระบอบประชาธิปไตย  วิธีการสุดท้ายที่มักนำมาใช้
อยู่เสมอคือการยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นการคืนอำนาจตัดสินทางการเมืองกลับไปให้ประชาชน
ผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงเป็นผู้ตัดสิน
๒. การยุบสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้เกิดจากรัฐบาลพิจารณาเห็นว่า รัฐธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจักรไทยปัจจุบัน  ได้ใช้บังคับมา ๙ ปีแล้ว ทำให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาพัฒนามีความเข้มแข็งตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ แต่ขณะนี้ได้มีความสับสนทางการเมืองเกิดขึ้น เนื่องจากมีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มไม่พอใจในตัวผู้นำรัฐบาล และได้มีการชุมนุมสาธารณะ
ตั้งข้อเรียกร้องในทางการเมืองเชิงบีบบังคับ ซึ่งแม้ในระยะแรกจะอยู่ในกรอบของกฎหมายแต่เมื่อนาน
วันเข้า  การชุมนุมเรียกร้องได้ขยายตัวไปในทางที่กว้างขวางและอาจรุนแรงขึ้น  ร่วมทั้งส่อเค้าว่าจะมีการเผชิญหน้าจนอาจปะทะกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและอาจมีการสอดแทรกฉวยโอกาสจากผู้ที่ประสงค์จะเห็น
ความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมืองจุดชนวนให้เกิดความรู้สึกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน  จนลุกลามถึงขั้นก่อการจลาจลวุ่นวายสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้  แม้ทางรัฐบาลจะใช้อำนาจเจ้าหน้าที่
ฝ่ายบ้านเมืองเข้าควบคุมดูแลอย่างเข้มงวดหรือพยายามดำเนินการตามวิถีทางรัฐธรรมนูญด้วยการขอเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาแล้ว ก็ไม่สามารถยุตปัญหาดังกล่าวได้
๓. รัฐบาลได้หารือกับประธานกรรมการการเลือกตั้งโดยมีความเห็นร่วมกัน
ว่า แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยจะกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปภายใน ๖๐ วันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร  แต่ตามกฎหมายและในความเป็นจริง  คณะกรรมการการเลือกตั้งพร้อมที่จะดำเนินการเลือกตั้ง ตั้งแต่วันครบ ๓๐ วันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น จึงได้กำหนดในวันอาทิตย์
ที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นวันเลือกตั้งทั่วไป ทั้งนี้ เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยเร็ว
๔. เมื่อยุบสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ทำให้คณะรัฐมนตรีต้องสิ้นสุดลง แต่สามารถอยู่ปฏิบัติหน้าที่ได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๑๕ ทั้งนี้ เพื่อดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศและบริหารราชการแผ่นดินพร้อมทั้งดูแลการเลือกตั้งให้มีความสุจริตและเที่ยงธรรม
๕. ขอให้ประชาชนทั้งหลายให้ความสำคัญกับการเลือกตั้ง ด้วยการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง


เหตุการณ์ทางการเมืองภายหลังการประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร  เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๙
๑. การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นกระบวนการปกติของการปกครองในระบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา  กล่าวคือ เมื่อใดที่มีความขัดแย้งหรือเกิดปัญหาการเมืองอันอาจนำมาซึ่งวิกฤตการณ์ต่าง ๆ จนการบริหารราชการแผ่นดินไม่อาจดำเนินไปได้  หากปล่อยไว้ความขัดแย้งและปัญหาอาจบานปลายถึงขั้นกระทบต่อเสถียรภาพของระบอบประชาธิปไตย  วิธีการสุดท้ายที่มักนำมาใช้อยู่เสมอคือการยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นการคืนอำนาจตัดสินทางการเมืองกลับไปให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงเป็นผู้ตัดสิน
การตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎรของนายกรัฐมนตรีเพื่อเป็นทางออกในการแก้ไขปัญหาวิกฤติการณ์ของประเทศในขณะนั้น ถูกพรรคฝ่ายค้านมองว่านายกรัฐมนตรีตัดสินใจผิดพลาดที่ยุบสภาผู้แทนราษฎร  เพราะสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้มีความผิดอะไรและฝ่ายนิติบัญญัติมิได้มีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับฝ่ายบริหารจนเป็นเหตุให้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร แต่มีเจตนาหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากฝ่ายนิติบัญญัติทำให้นายกรัฐมนตรีขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศอีกต่อไป  รวมทั้งการกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙ นั้นก็ไม่ชอบธรรมไม่เสมอภาคต่อพรรคการเมืองอื่น  ทั้ง ๆ ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าในกรณีที่มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร  คณะกรรมการการเลือกตั้งจะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน ๖๐ วัน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เหมาะสม  เพราะจะทำให้ทุกฝ่ายมีเวลาเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งครั้งต่อไป  แต่คณะกรรมการการเลือกตั้งกับเสนอให้รัฐบาลออกพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งใหม่ ภายใน ๓๗ วัน  ซึ่งเป็นเวลาที่กระชั้นชิดเกินไปไม่เป็นธรรมต่อพรรคฝ่ายค้าน  ทำให้พรรคฝ่ายค้านทั้ง ๓ พรรคการเมือง คือ พรรคประชาธิปัตย์  พรรคชาติไทย  และพรรคมหาชน  ไม่ส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้ง ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙  เป็นผลให้พรรคไทยรักไทยต้องส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเพียงพรรคเดียวในหลายเขตเลือกตั้ง ในที่สุดนำมาซึ่งการร้องขอให้การเลือกตั้งในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาในวันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ  กำหนดให้มีวันเลือกตั้งทั่วไปใหม่ในวันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ แต่ยังไม่ทันได้จัดการเลือกตั้ง ในวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙  คณะทหารได้ทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร เสียก่อน[๕]
 
๒. การยุบสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้เกิดจากรัฐบาลพิจารณาเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปัจจุบัน  ได้ใช้บังคับมา ๙ ปีแล้ว ทำให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาพัฒนามีความเข้มแข็งตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ แต่ขณะนี้ได้มีความสับสนทางการเมืองเกิดขึ้น เนื่องจากมีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มไม่พอใจในตัวผู้นำรัฐบาล และได้มีการชุมนุมสาธารณะตั้งข้อเรียกร้องในทางการเมืองเชิงบีบบังคับ ซึ่งแม้ในระยะแรกจะอยู่ในกรอบของกฎหมายแต่เมื่อนานวันเข้า  การชุมนุมเรียกร้องได้ขยายตัวไปในทางที่กว้างขวางและอาจรุนแรงขึ้น  ร่วมทั้งส่อเค้าว่าจะมีการเผชิญหน้าจนอาจปะทะกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและอาจมีการสอดแทรกฉวยโอกาสจากผู้ที่ประสงค์จะเห็นความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมืองจุดชนวนให้เกิดความรู้สึกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน  จนลุกลามถึงขั้นก่อการจลาจลวุ่นวายสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้  แม้ทางรัฐบาลจะใช้อำนาจเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองเข้าควบคุมดูแลอย่างเข้มงวดหรือพยายามดำเนินการตามวิถีทางรัฐธรรมนูญด้วยการขอเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาแล้ว ก็ไม่สามารถยุตปัญหาดังกล่าวได้
 
๓. รัฐบาลได้หารือกับประธานกรรมการการเลือกตั้งโดยมีความเห็นร่วมกันว่า แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยจะกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปภายใน ๖๐ วันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร  แต่ตามกฎหมายและในความเป็นจริง  คณะกรรมการการเลือกตั้งพร้อมที่จะดำเนินการเลือกตั้ง ตั้งแต่วันครบ ๓๐ วันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น จึงได้กำหนดในวันอาทิตย์ที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นวันเลือกตั้งทั่วไป ทั้งนี้ เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยเร็ว
 
๔. เมื่อยุบสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ทำให้คณะรัฐมนตรีต้องสิ้นสุดลง แต่สามารถอยู่ปฏิบัติหน้าที่ได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๑๕ ทั้งนี้ เพื่อดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศและบริหารราชการแผ่นดินพร้อมทั้งดูแลการเลือกตั้งให้มีความสุจริตและเที่ยงธรรม
 
๕. ขอให้ประชาชนทั้งหลายให้ความสำคัญกับการเลือกตั้ง ด้วยการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
 
==เหตุการณ์ทางการเมืองภายหลังการประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร  เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๙==
 
การตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎรของนายกรัฐมนตรีเพื่อเป็นทางออกในการแก้ไขปัญหาวิกฤติการณ์ของประเทศในขณะนั้น ถูกพรรคฝ่ายค้านมองว่านายกรัฐมนตรีตัดสินใจผิดพลาดที่ยุบสภาผู้แทนราษฎร  เพราะสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้มีความผิดอะไรและฝ่ายนิติบัญญัติมิได้มีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับฝ่ายบริหารจนเป็นเหตุให้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร แต่มีเจตนาหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากฝ่ายนิติบัญญัติทำให้นายกรัฐมนตรีขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศอีกต่อไป  รวมทั้งการกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙ นั้นก็ไม่ชอบธรรมไม่เสมอภาคต่อพรรคการเมืองอื่น  ทั้ง ๆ ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าในกรณีที่มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร  คณะกรรมการการเลือกตั้งจะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน ๖๐ วัน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เหมาะสม  เพราะจะทำให้ทุกฝ่ายมีเวลาเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งครั้งต่อไป  แต่คณะกรรมการการเลือกตั้งกับเสนอให้รัฐบาลออกพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งใหม่ ภายใน ๓๗ วัน  ซึ่งเป็นเวลาที่กระชั้นชิดเกินไปไม่เป็นธรรมต่อพรรคฝ่ายค้าน  ทำให้พรรคฝ่ายค้านทั้ง ๓ พรรคการเมือง คือ พรรคประชาธิปัตย์  พรรคชาติไทย  และพรรคมหาชน  ไม่ส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้ง ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙  เป็นผลให้พรรคไทยรักไทยต้องส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเพียงพรรคเดียวในหลายเขตเลือกตั้ง ในที่สุดนำมาซึ่งการร้องขอให้การเลือกตั้งในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาในวันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ  กำหนดให้มีวันเลือกตั้งทั่วไปใหม่ในวันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ แต่ยังไม่ทันได้จัดการเลือกตั้ง ในวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙  คณะทหารได้ทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร เสียก่อน[๕]
 
ต่อมาวันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๐  ตุลาการรัฐธรรมนูญ  ได้มีคำสั่งให้ยุบพรรค  ไทยรักไทย และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคจำนวน ๑๑๑ คน มีกำหนดห้าปี ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกพรรคไทยรักไทยกล่าวหาว่าให้สินบนกับพรรคเล็กเพื่อให้คว่ำบาตรการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ตุลาการรัฐธรรมนูญได้ตัดสินให้พ้นความผิด
ต่อมาวันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๐  ตุลาการรัฐธรรมนูญ  ได้มีคำสั่งให้ยุบพรรค  ไทยรักไทย และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคจำนวน ๑๑๑ คน มีกำหนดห้าปี ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกพรรคไทยรักไทยกล่าวหาว่าให้สินบนกับพรรคเล็กเพื่อให้คว่ำบาตรการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ตุลาการรัฐธรรมนูญได้ตัดสินให้พ้นความผิด




ผลทางกฎหมายที่เกิดจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร[๖]
==ผลทางกฎหมายที่เกิดจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร[๖]==
 
ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ เมื่อมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรก่อให้เกิดผลทางกฎหมายดังต่อไปนี้
ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ เมื่อมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรก่อให้เกิดผลทางกฎหมายดังต่อไปนี้
๑. ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพ้นจากตำแหน่งทันที จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้เพราะไม่มีสภาผู้แทนราษฎร แล้วตามมาตรา ๑๑๘ ที่บัญญัติว่า “สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงเมื่อ (๑)...ถึงคราวออกตามอายุของสภาผู้แทนราษฎรหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร...” ส่วนสมาชิกวุฒิสภายังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะครบวาระ
๑. ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพ้นจากตำแหน่งทันที จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้เพราะไม่มีสภาผู้แทนราษฎร แล้วตามมาตรา ๑๑๘ ที่บัญญัติว่า “สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงเมื่อ (๑)...ถึงคราวออกตามอายุของสภาผู้แทนราษฎรหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร...” ส่วนสมาชิกวุฒิสภายังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะครบวาระ
๒. ทำให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งเพราะไม่มีสภาผู้แทนราษฎรไว้ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินต่อไปแล้ว[๗]   
๒. ทำให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งเพราะไม่มีสภาผู้แทนราษฎรไว้ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินต่อไปแล้ว[๗]   
คณะรัฐมนตรีจะอยู่ในตำแหน่ง  ต่อไปไม่ได้ แต่คณะรัฐมนตรียังคงปฏิบัติหน้าที่ในฐานะคณะรัฐมนตรีรักษาการได้ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ เพื่อมิให้การบริหารราชการแผ่นดินต้องหยุดชะงัก[๘]  มาตรา ๒๑๕ ที่บัญญัติว่า “รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งเมื่อ...(๒)...มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร...คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่”
คณะรัฐมนตรีจะอยู่ในตำแหน่ง  ต่อไปไม่ได้ แต่คณะรัฐมนตรียังคงปฏิบัติหน้าที่ในฐานะคณะรัฐมนตรีรักษาการได้ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ เพื่อมิให้การบริหารราชการแผ่นดินต้องหยุดชะงัก[๘]  มาตรา ๒๑๕ ที่บัญญัติว่า “รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งเมื่อ...(๒)...มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร...คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่”
๓. ร่างพระราชบัญญัติที่ค้างการพิจารณาอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร หรือค้างการพิจารณาในวุฒิสภาเป็นอันตกไป  แต่อาจมีการหยิบยกขึ้นมาพิจารณาต่อไปได้ตามยมาตรา ๑๗๘ วรรคสองที่บัญญัติว่า “ในกรณีที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นการเลือกตั้งทั่วไป รัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา แล้วแต่กรณีจะพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม หรือร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่รัฐสภายังมิได้ให้ความเห็นชอบต่อไปได้ ถ้าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปร้องขอภายในหกสิบวันนับแต่วันเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรกหลังการเลือกตั้งทั่วไป และรัฐสภามีมติเห็นชอบด้วย  แต่ถ้าคณะรัฐมนตรีมิได้ร้องขอภายในกำหนดเวลาดังกล่าวให้ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ร่างพระราชบัญญัติ หรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอันตกไป”
๓. ร่างพระราชบัญญัติที่ค้างการพิจารณาอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร หรือค้างการพิจารณาในวุฒิสภาเป็นอันตกไป  แต่อาจมีการหยิบยกขึ้นมาพิจารณาต่อไปได้ตามยมาตรา ๑๗๘ วรรคสองที่บัญญัติว่า “ในกรณีที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นการเลือกตั้งทั่วไป รัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา แล้วแต่กรณีจะพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม หรือร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่รัฐสภายังมิได้ให้ความเห็นชอบต่อไปได้ ถ้าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปร้องขอภายในหกสิบวันนับแต่วันเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรกหลังการเลือกตั้งทั่วไป และรัฐสภามีมติเห็นชอบด้วย  แต่ถ้าคณะรัฐมนตรีมิได้ร้องขอภายในกำหนดเวลาดังกล่าวให้ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ร่างพระราชบัญญัติ หรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอันตกไป”


บรรทัดที่ 79: บรรทัดที่ 87:
==บรรณานุกรม==
==บรรณานุกรม==


คำแถลงการณ์สำนักนายกรัฐมนตรี. ราชกิจจานุเบกษา ๑๒๓ ตอนที่ ๒๐ ก, (๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙) :  
คำแถลงการณ์สำนักนายกรัฐมนตรี. '''ราชกิจจานุเบกษา''' ๑๒๓ ตอนที่ ๒๐ ก, (๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙) :  
 
ตวงรัตน์  เลาหัตถพงษ์ภูริ, ปัญหาทางกฎหมายของการยุบสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย, วิทยานิพนธ์ นิติศาสตรมหาบัณฑิต,มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๔๒.


พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๔๙. “ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๓ ตอนที่ ๒๐ ก
ตวงรัตน์  เลาหัตถพงษ์ภูริ, '''ปัญหาทางกฎหมายของการยุบสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย,''' วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต,มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๔๒.
(๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙)


วิษณุ  เครืองาม. กฎหมายรัฐธรรมนูญ กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แสวงการพิมพ์, ๒๕๓๐.
พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.. ๒๕๔๙. '''ราชกิจจานุเบกษา''' เล่ม ๑๒๓ ตอนที่ ๒๐ ก (๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙)


วิกิพีเดีย. “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” [ออนไลน์] แหล่งที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki. 18 ตุลาคม ๒๕๕๒
วิษณุ  เครืองาม'''กฎหมายรัฐธรรมนูญ,''' กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แสวงการพิมพ์, ๒๕๓๐.


สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร : กองการประชาสัมพันธ์. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐. กรุงเทพมหานคร : กองการพิมพ์, ๒๕๔๐
วิกิพีเดีย. '''“อภิสิทธิ์  เวชชาชีวะ”''' [ออนไลน์] แหล่งที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki. 18 ตุลาคม ๒๕๕๒


สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร : กองการประชาสัมพันธ์. '''รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐.''' กรุงเทพมหานคร : กองการพิมพ์, ๒๕๔๐


[[category:ความรู้เกี่ยวกับรัฐสภาไทย]]
[[category:ความรู้เกี่ยวกับรัฐสภาไทย]]

รุ่นแก้ไขเมื่อ 13:42, 19 พฤศจิกายน 2552

ผู้เรียบเรียง ชงคชาญ สุวรรณมณี

ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จเร พันธุ์เปรื่อง


การยุบสภาผู้แทนราษฎร เป็นกลไกของระบอบประชาธิปไตย ในระบบรัฐสภาที่นอกจากเป็นเครื่องมือใช้ถ่วงดุลหรือคานอำนาจ ระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติเพื่อมิให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอำนาจเหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่งโดยสิ้นเชิงแล้ว การยุบสภาผู้แทนราษฎรยังเป็นวิธีการที่ให้ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งตัดสินชี้ขาดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ ผลการเลือกตั้งเป็นเครื่องมือชี้ขาดเจตจำนงของประชาชน[๑]

การยุบสภาผู้แทนราษฎรมีในประเทศที่ปกครองระบบรัฐสภา โดยมีที่มาจากประเทศอังกฤษสำหรับประเทศไทยนับตั้งแต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นการปกครองระบบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ จนถึงปัจจุบัน รัฐธรรมนูญฉบับแรกของประเทศไทยที่ได้มีการบัญญัติเรื่องการยุบสภาผู้แทนราษฎร ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๕ นับแต่นั้นมาก็ได้มีการนำมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับต่าง ๆ เรื่อยมา

การยุบสภาผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ได้บัญญัติเรื่องการยุบสภาผู้แทนราษฎรไว้ในมาตรา ๑๑๖ ว่า

มาตรา ๑๑๖ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่

การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายในหกสิบวัน และวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร

การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน

การยุบสภาผู้แทนราษฎรตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญของประเทศไทย ตั้งแต่ฉบับแรกจนถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ จะบัญญัติไว้กว้าง ๆ เพียงมาตราเดียว ครอบคลุมทั้งหลักเกณฑ์ และวิธีการยุบสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด โดยให้การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ และกระทำโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ เป็นการเลือกตั้งทั่วไป ภายในหกสิบวันซึ่งต้องเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ฝ่ายบริหารใช้อำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎรได้อย่างกว้างขวาง

จากการที่รัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดว่าพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรจะออกได้ในกรณีใดบ้าง เหมือนกับการออกพระราชกำหนดที่ให้ออกได้ในกรณีเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือ ป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะและเป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ กรณีมีความจำเป็นต้องมีกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตรา ซึ่งจะต้องได้รับการพิจารณาโดยด่วนและลับ เพื่อประชาชนของแผ่นดินหรือเพื่อมิให้มีการออกพระราชกำหนดในกรณีอันนอกเหนือจากที่รัฐธรรมนูญกำหนด ทำให้ฝ่ายบริหารยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ทุกกรณีโดยอ้างสาเหตุใด ๆ ก็ได้[๒]

สำหรับประเทศไทยได้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนรวม ๑๑ ครั้ง นอกจากนี้ยังมีการยุบสภานิติบัญญัติแห่งชาติและการปิดสภาผู้แทนราษฎรที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งรวม ๒ ครั้ง ซึ่งการยุบสภาผู้แทนราษฎรที่ผ่านมามักเกิดจากสาเหตุใหญ่ ๆ ๓ ประเภท คือ[๓]

๑. ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ

๒. ความขัดแย้งภายในพรรคการเมืองร่วมรัฐบาล

๓. ปัญหาทางการเมืองหรือวิกฤตการณ์ทางการเมืองเพื่อหาทางออกหรือแก้ปัญหาทางการเมือง

ส่วนการกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ ภายในหกสิบวันนั้น เป็นดุลพินิจของฝ่ายบริหารที่จะกำหนดวันเลือกตั้งเมื่อใดก็ได้ แต่ต้องไม่เกินหกสิบวัน นับแต่วันที่มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เช่น สมัย พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ในปี พ.ศ.๒๕๒๖ ได้มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๖ และกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๖[๔] ซึ่งมีระยะเวลาในการจัดการเลือกตั้งเพียงสามสิบวัน ถือว่าไม่เกินหกสิบวันก็สามารถทำได้

การยุบสภาผู้แทนราษฎร วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๙

ในสมัยพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นการยุบสภาผู้แทนราษฎรครั้งล่าสุดตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐

มีสาเหตุมาจากกลุ่มบุคคลบางกลุ่มไม่พอใจการบริหารราชการแผ่นดินของพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวหาว่า มีการใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของครอบครัวตนเอง แทรกแซงการทำงานขององค์กรอิสระ การขายหุ้นของครอบครัวให้กับบริษัทต่างชาติและมีผลประโยชน์ทับซ้อน จึงได้มีการชุมนุมเรียกร้องบีบบังคับให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งเพื่อยุติบทบาททางการเมือง โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทั้งสิ้น ขณะเดียวกันมีกลุ่มคนอีกจำนวนหนึ่งรวมตัวกันชุมนุมเพื่อสนับสนุนรัฐบาลจนเหตุการณ์ทำท่าจะบานปลาย เนื่องจากฝ่ายต่อต้านและฝ่ายสนับสนุนมีแนวโน้มที่จะออกมาปะทะกัน เหตุการณ์เริ่มส่อเค้าจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทีท่าจะสงบแม้รัฐบาลจะได้ดำเนินการขอให้เปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาโดยไม่มีการลงมติในวันแรกที่มีการเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญทั่วไป ในวันที่ ๘ - ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ แต่ก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้

ต่อมารัฐบาลได้แถลงการณ์ถึงเหตุผลของการยุบสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้ว่า

๑. การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นกระบวนการปกติของการปกครองในระบบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา กล่าวคือ เมื่อใดที่มีความขัดแย้งหรือเกิดปัญหาการเมืองอันอาจนำมาซึ่งวิกฤตการณ์ต่าง ๆ จนการบริหารราชการแผ่นดินไม่อาจดำเนินไปได้ หากปล่อยไว้ความขัดแย้งและปัญหาอาจบานปลายถึงขั้นกระทบต่อเสถียรภาพของระบอบประชาธิปไตย วิธีการสุดท้ายที่มักนำมาใช้อยู่เสมอคือการยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นการคืนอำนาจตัดสินทางการเมืองกลับไปให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงเป็นผู้ตัดสิน

๒. การยุบสภาผู้แทนราษฎรครั้งนี้เกิดจากรัฐบาลพิจารณาเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปัจจุบัน ได้ใช้บังคับมา ๙ ปีแล้ว ทำให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาพัฒนามีความเข้มแข็งตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ แต่ขณะนี้ได้มีความสับสนทางการเมืองเกิดขึ้น เนื่องจากมีกลุ่มบุคคลบางกลุ่มไม่พอใจในตัวผู้นำรัฐบาล และได้มีการชุมนุมสาธารณะตั้งข้อเรียกร้องในทางการเมืองเชิงบีบบังคับ ซึ่งแม้ในระยะแรกจะอยู่ในกรอบของกฎหมายแต่เมื่อนานวันเข้า การชุมนุมเรียกร้องได้ขยายตัวไปในทางที่กว้างขวางและอาจรุนแรงขึ้น ร่วมทั้งส่อเค้าว่าจะมีการเผชิญหน้าจนอาจปะทะกับฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยและอาจมีการสอดแทรกฉวยโอกาสจากผู้ที่ประสงค์จะเห็นความไม่สงบเรียบร้อยในบ้านเมืองจุดชนวนให้เกิดความรู้สึกที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน จนลุกลามถึงขั้นก่อการจลาจลวุ่นวายสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ แม้ทางรัฐบาลจะใช้อำนาจเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองเข้าควบคุมดูแลอย่างเข้มงวดหรือพยายามดำเนินการตามวิถีทางรัฐธรรมนูญด้วยการขอเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภาแล้ว ก็ไม่สามารถยุตปัญหาดังกล่าวได้

๓. รัฐบาลได้หารือกับประธานกรรมการการเลือกตั้งโดยมีความเห็นร่วมกันว่า แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยจะกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปภายใน ๖๐ วันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร แต่ตามกฎหมายและในความเป็นจริง คณะกรรมการการเลือกตั้งพร้อมที่จะดำเนินการเลือกตั้ง ตั้งแต่วันครบ ๓๐ วันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น จึงได้กำหนดในวันอาทิตย์ที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นวันเลือกตั้งทั่วไป ทั้งนี้ เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยเร็ว

๔. เมื่อยุบสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ทำให้คณะรัฐมนตรีต้องสิ้นสุดลง แต่สามารถอยู่ปฏิบัติหน้าที่ได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๒๑๕ ทั้งนี้ เพื่อดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศและบริหารราชการแผ่นดินพร้อมทั้งดูแลการเลือกตั้งให้มีความสุจริตและเที่ยงธรรม

๕. ขอให้ประชาชนทั้งหลายให้ความสำคัญกับการเลือกตั้ง ด้วยการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

เหตุการณ์ทางการเมืองภายหลังการประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๙

การตัดสินใจยุบสภาผู้แทนราษฎรของนายกรัฐมนตรีเพื่อเป็นทางออกในการแก้ไขปัญหาวิกฤติการณ์ของประเทศในขณะนั้น ถูกพรรคฝ่ายค้านมองว่านายกรัฐมนตรีตัดสินใจผิดพลาดที่ยุบสภาผู้แทนราษฎร เพราะสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้มีความผิดอะไรและฝ่ายนิติบัญญัติมิได้มีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับฝ่ายบริหารจนเป็นเหตุให้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร แต่มีเจตนาหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากฝ่ายนิติบัญญัติทำให้นายกรัฐมนตรีขาดความชอบธรรมในการบริหารประเทศอีกต่อไป รวมทั้งการกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙ นั้นก็ไม่ชอบธรรมไม่เสมอภาคต่อพรรคการเมืองอื่น ทั้ง ๆ ที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่าในกรณีที่มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร คณะกรรมการการเลือกตั้งจะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายใน ๖๐ วัน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เหมาะสม เพราะจะทำให้ทุกฝ่ายมีเวลาเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งครั้งต่อไป แต่คณะกรรมการการเลือกตั้งกับเสนอให้รัฐบาลออกพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งใหม่ ภายใน ๓๗ วัน ซึ่งเป็นเวลาที่กระชั้นชิดเกินไปไม่เป็นธรรมต่อพรรคฝ่ายค้าน ทำให้พรรคฝ่ายค้านทั้ง ๓ พรรคการเมือง คือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชน ไม่ส่งสมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้ง ในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นผลให้พรรคไทยรักไทยต้องส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเพียงพรรคเดียวในหลายเขตเลือกตั้ง ในที่สุดนำมาซึ่งการร้องขอให้การเลือกตั้งในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาในวันที่ ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙ เป็นการเลือกตั้งที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ กำหนดให้มีวันเลือกตั้งทั่วไปใหม่ในวันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๙ แต่ยังไม่ทันได้จัดการเลือกตั้ง ในวันที่ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ คณะทหารได้ทำการยึดอำนาจการปกครองประเทศจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เสียก่อน[๕]

ต่อมาวันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ ตุลาการรัฐธรรมนูญ ได้มีคำสั่งให้ยุบพรรค ไทยรักไทย และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารพรรคจำนวน ๑๑๑ คน มีกำหนดห้าปี ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกพรรคไทยรักไทยกล่าวหาว่าให้สินบนกับพรรคเล็กเพื่อให้คว่ำบาตรการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ตุลาการรัฐธรรมนูญได้ตัดสินให้พ้นความผิด


ผลทางกฎหมายที่เกิดจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร[๖]

ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ เมื่อมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรก่อให้เกิดผลทางกฎหมายดังต่อไปนี้

๑. ทำให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพ้นจากตำแหน่งทันที จะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไม่ได้เพราะไม่มีสภาผู้แทนราษฎร แล้วตามมาตรา ๑๑๘ ที่บัญญัติว่า “สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงเมื่อ (๑)...ถึงคราวออกตามอายุของสภาผู้แทนราษฎรหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร...” ส่วนสมาชิกวุฒิสภายังคงอยู่ในตำแหน่งต่อไปจนกว่าจะครบวาระ

๒. ทำให้คณะรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งเพราะไม่มีสภาผู้แทนราษฎรไว้ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินต่อไปแล้ว[๗]

คณะรัฐมนตรีจะอยู่ในตำแหน่ง ต่อไปไม่ได้ แต่คณะรัฐมนตรียังคงปฏิบัติหน้าที่ในฐานะคณะรัฐมนตรีรักษาการได้ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ เพื่อมิให้การบริหารราชการแผ่นดินต้องหยุดชะงัก[๘] มาตรา ๒๑๕ ที่บัญญัติว่า “รัฐมนตรีทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งเมื่อ...(๒)...มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร...คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่งต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่”

๓. ร่างพระราชบัญญัติที่ค้างการพิจารณาอยู่ในสภาผู้แทนราษฎร หรือค้างการพิจารณาในวุฒิสภาเป็นอันตกไป แต่อาจมีการหยิบยกขึ้นมาพิจารณาต่อไปได้ตามยมาตรา ๑๗๘ วรรคสองที่บัญญัติว่า “ในกรณีที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงหรือมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ภายหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นการเลือกตั้งทั่วไป รัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา แล้วแต่กรณีจะพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม หรือร่างพระราชบัญญัติหรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่รัฐสภายังมิได้ให้ความเห็นชอบต่อไปได้ ถ้าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปร้องขอภายในหกสิบวันนับแต่วันเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรกหลังการเลือกตั้งทั่วไป และรัฐสภามีมติเห็นชอบด้วย แต่ถ้าคณะรัฐมนตรีมิได้ร้องขอภายในกำหนดเวลาดังกล่าวให้ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ร่างพระราชบัญญัติ หรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอันตกไป”


อ้างอิง

บรรณานุกรม

คำแถลงการณ์สำนักนายกรัฐมนตรี. ราชกิจจานุเบกษา ๑๒๓ ตอนที่ ๒๐ ก, (๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙) :

ตวงรัตน์ เลาหัตถพงษ์ภูริ, ปัญหาทางกฎหมายของการยุบสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย, วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต,มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๔๒.

พระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๔๙. ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๓ ตอนที่ ๒๐ ก (๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙)

วิษณุ เครืองาม. กฎหมายรัฐธรรมนูญ, กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แสวงการพิมพ์, ๒๕๓๐.

วิกิพีเดีย. “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” [ออนไลน์] แหล่งที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki. 18 ตุลาคม ๒๕๕๒

สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร : กองการประชาสัมพันธ์. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐. กรุงเทพมหานคร : กองการพิมพ์, ๒๕๔๐