ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สภาผู้แทนราษฎร"
ไม่มีความย่อการแก้ไข |
|||
บรรทัดที่ 5: | บรรทัดที่ 5: | ||
---- | ---- | ||
เมื่อใดที่มีการกล่าวถึง “สภาผู้แทนราษฎร” เป็นที่เข้าใจได้ว่าเป็นสถานที่มีผู้แทนราษฎรมาร่วมชุมนุมกันกระทำกิจกรรมอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อประโยชน์ของประเทศ | เมื่อใดที่มีการกล่าวถึง “สภาผู้แทนราษฎร” เป็นที่เข้าใจได้ว่าเป็นสถานที่มีผู้แทนราษฎรมาร่วมชุมนุมกันกระทำกิจกรรมอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อประโยชน์ของประเทศ<ref>สถาบันพระปกเกล้า, '''สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.๒๕๔๐) หมวดองค์กรทางการเมืองเรื่องสภาผู้แทนราษฎร.''' (กรุงเทพมหานคร : องค์การค้าคุรุสภา, ๒๕๔๔), หน้า ๔.</ref> แต่เนื่องจากการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยนั้น การที่จะให้ประชาชนของประเทศเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองทั้งหมดเป็นสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้ในทุกกรณี จึงจำเป็นต้องใช้ระบบผู้แทนโดยประชาชนจะมอบหมายให้ผู้แทนที่ประชาชนเป็นผู้เลือกตั้งเข้าไปใช้อำนาจอธิปไตยแทนในด้านต่าง ๆ โดยรัฐสภาเป็นองค์กรผู้ใช้อำนาจอธิปไตยด้านนิติบัญญัติ เมื่อสภาผู้แทนราษฎรเป็นส่วนหนึ่งของรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎรจึงเป็นสถาบันการเมืองที่เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยด้านนิติบัญญัติ ซึ่งถือว่าเป็นสถาบันการเมืองที่สำคัญยิ่งในการออกกฎหมายมาให้ประชาชนต้องปฏิบัติตาม | ||
==ที่มาของสภาผู้แทนราษฎร== | ==ที่มาของสภาผู้แทนราษฎร== | ||
บรรทัดที่ 11: | บรรทัดที่ 11: | ||
การปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาโดยหลักการแล้วสภาผู้แทนราษฎรจะประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งประเทศ แต่วิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอาจจะเป็นการเลือกตั้งโดยตรงหรือโดยอ้อมก็ได้สุดแล้วแต่รัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศจะกำหนดไว้ | การปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาโดยหลักการแล้วสภาผู้แทนราษฎรจะประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งประเทศ แต่วิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอาจจะเป็นการเลือกตั้งโดยตรงหรือโดยอ้อมก็ได้สุดแล้วแต่รัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศจะกำหนดไว้ | ||
การเลือกตั้งโดยตรง หมายถึง การเลือกตั้งที่ให้ประชาชนเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งให้ไปปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้แทนโดยตรง | การเลือกตั้งโดยตรง หมายถึง การเลือกตั้งที่ให้ประชาชนเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งให้ไปปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้แทนโดยตรง<ref>สิริวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์, '''กฎหมายรัฐธรรมนูญ,''' (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๒๔), หน้า ๕๓.</ref> | ||
การเลือกตั้งโดยอ้อม หมายถึง การเลือกตั้งที่ให้ประชาชนไปเลือกตั้งผู้ที่จะไปทำการเลือกตั้งแทนตนในภายหลัง | การเลือกตั้งโดยอ้อม หมายถึง การเลือกตั้งที่ให้ประชาชนไปเลือกตั้งผู้ที่จะไปทำการเลือกตั้งแทนตนในภายหลัง<ref>เรื่องเดียวกัน, หน้าเดียวกัน.</ref> | ||
สำหรับสภาผู้แทนราษฎรของประเทศไทยตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบันสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีทั้งที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงและโดยอ้อมทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับจะกำหนดไว้ ยกเว้นสภาผู้แทนราษฎรชุดแรกที่มาจากการแต่งตั้งตามพระธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๗๕ รัฐธรรมนูญที่กำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้งโดยตรงได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๘๙ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉะบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๔๙๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๙๒ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๗ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๒๑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๓๔ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ส่วนรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๕ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๗๕ แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช ๒๔๙๕ โดยให้ราษฎรเลือกผู้แทนตำบลก่อนแล้วให้ผู้แทนตำบลไปเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกทีหนึ่ง | สำหรับสภาผู้แทนราษฎรของประเทศไทยตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบันสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีทั้งที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงและโดยอ้อมทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับจะกำหนดไว้ ยกเว้นสภาผู้แทนราษฎรชุดแรกที่มาจากการแต่งตั้งตามพระธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๗๕ รัฐธรรมนูญที่กำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้งโดยตรงได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๘๙ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉะบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๔๙๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๙๒ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๗ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๒๑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๓๔ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ส่วนรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๕ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๗๕ แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช ๒๔๙๕ โดยให้ราษฎรเลือกผู้แทนตำบลก่อนแล้วให้ผู้แทนตำบลไปเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกทีหนึ่ง | ||
บรรทัดที่ 29: | บรรทัดที่ 29: | ||
รัฐธรรมนูญของประเทศไทยตั้งแต่ฉบับแรกเป็นต้นมาได้กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจหน้าที่ในการตราพระราชบัญญัติออกใช้บังคับและมีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล เว้นแต่ในบางช่วงที่ใช้ธรรมนูญการปกครองประเทศ จะไม่มีการกำหนดให้สถาบันการเมืองที่ธรรมนูญการปกครองประเทศในช่วงนั้นกำหนดให้เป็นองค์กรผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติมีหน้าที่ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลเหมือนที่กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในช่วงที่ใช้รัฐธรรมนูญ | รัฐธรรมนูญของประเทศไทยตั้งแต่ฉบับแรกเป็นต้นมาได้กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจหน้าที่ในการตราพระราชบัญญัติออกใช้บังคับและมีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล เว้นแต่ในบางช่วงที่ใช้ธรรมนูญการปกครองประเทศ จะไม่มีการกำหนดให้สถาบันการเมืองที่ธรรมนูญการปกครองประเทศในช่วงนั้นกำหนดให้เป็นองค์กรผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติมีหน้าที่ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลเหมือนที่กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในช่วงที่ใช้รัฐธรรมนูญ | ||
อำนาจหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนุญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ฉบับปัจจุบัน พอสรุปได้ดังต่อไปนี้ | อำนาจหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนุญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ฉบับปัจจุบัน พอสรุปได้ดังต่อไปนี้<ref>คณิน บุญสุวรรณ, '''ปทานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทยฉบับสมบูรณ์''' (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ตถาตา พับลิเคชั่น, ๒๕๔๘), หน้า ๙๒๑ – ๙๒๒.</ref> | ||
๑. อำนาจหน้าที่ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัติซึ่งต้องเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อน ถ้าสภาผู้แทนราษฎรไม่ให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัตินั้นก็จะตกไป แต่ถ้าสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบจึงเสนอให้วุฒิสภาพิจารณาต่อไปได้ | ๑. อำนาจหน้าที่ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัติซึ่งต้องเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อน ถ้าสภาผู้แทนราษฎรไม่ให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัตินั้นก็จะตกไป แต่ถ้าสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบจึงเสนอให้วุฒิสภาพิจารณาต่อไปได้<ref>รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๔๐ มาตรา ๑๔๒ มาตรา ๑๔๕ มาตรา ๑๔๖.</ref> | ||
๒. อำนาจหน้าที่ในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน โดยการตั้งกระทู้ถามทั่วไป กระทู้ถามสด การเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และการเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล การตั้งคณะกรรมาธิการ การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี | ๒. อำนาจหน้าที่ในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน โดยการตั้งกระทู้ถามทั่วไป กระทู้ถามสด การเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และการเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล การตั้งคณะกรรมาธิการ การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี | ||
๓. อำนาจหน้าที่ในการตราข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับการเลือกและการปฏิบัติหน้าที่ของประธานสภา รองประธานสภา เรื่องหรือกิจการอันเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการสามัญแต่ละชุด การปฏิบัติหน้าที่และองค์ประชุมของคณะกรรมาธิการ วิธีการประชุม การเสนอแนะและพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญและร่างพระราชบัญญัติ การเสนอญัตติ การปรึกษา การอภิปราย การลงมติ การบันทึกการลงมติ การเปิดเผยการลงมติ การตั้งกระทู้ถาม การเปิดอภิปรายทั่วไป การรักษาระเบียบและความเรียบร้อย ประมวลจริยธรรมของสมาชิกและกรรมาธิการ และกิจการอื่นๆ เพื่อดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ | ๓. อำนาจหน้าที่ในการตราข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับการเลือกและการปฏิบัติหน้าที่ของประธานสภา รองประธานสภา เรื่องหรือกิจการอันเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการสามัญแต่ละชุด การปฏิบัติหน้าที่และองค์ประชุมของคณะกรรมาธิการ วิธีการประชุม การเสนอแนะและพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญและร่างพระราชบัญญัติ การเสนอญัตติ การปรึกษา การอภิปราย การลงมติ การบันทึกการลงมติ การเปิดเผยการลงมติ การตั้งกระทู้ถาม การเปิดอภิปรายทั่วไป การรักษาระเบียบและความเรียบร้อย ประมวลจริยธรรมของสมาชิกและกรรมาธิการ และกิจการอื่นๆ เพื่อดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ<ref>รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๓๔.</ref> | ||
๔. อำนาจหน้าที่ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องกระทำโดยการลงคะแนนโดยเปิดเผยในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรและมติที่เห็นชอบด้วยในการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร | ๔. อำนาจหน้าที่ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องกระทำโดยการลงคะแนนโดยเปิดเผยในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรและมติที่เห็นชอบด้วยในการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร<ref>รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๗๒.</ref> | ||
๕. อำนาจหน้าที่ในการพิจารณาอนุมัติพระราชกำหนดกรณีเพื่อรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ | ๕. อำนาจหน้าที่ในการพิจารณาอนุมัติพระราชกำหนดกรณีเพื่อรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ<ref>รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๘๔.</ref> และพิจารณาอนุมัติพระราชกำหนดกรณีมีความจำเป็นต้องมีกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตรา ซึ่งจะต้องได้รับการพิจารณาโดยด่วนและลับเพื่อรักษาประโยชน์ของแผ่นดิน ในระหว่างสมัยประชุม<ref>รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๘๖.</ref> | ||
๖. อำนาจหน้าที่ในการเข้าชื่อเสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรว่าพระราชกำหนดนั้นมิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะหรือมิได้เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้ | ๖. อำนาจหน้าที่ในการเข้าชื่อเสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรว่าพระราชกำหนดนั้นมิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะหรือมิได้เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้<ref>รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๘๕.</ref> | ||
๗. อำนาจหน้าที่ในการประชุมร่วมกับวุฒิสภาเพื่อทำหน้าที่รัฐสภาในกรณีต่อไปนี้ | ๗. อำนาจหน้าที่ในการประชุมร่วมกับวุฒิสภาเพื่อทำหน้าที่รัฐสภาในกรณีต่อไปนี้<ref>รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๓๖.</ref> | ||
๑) การให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ | ๑) การให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ | ||
บรรทัดที่ 87: | บรรทัดที่ 87: | ||
สภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงในกรณีต่อไปนี้ | สภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงในกรณีต่อไปนี้ | ||
๑. เมื่ออายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง พระมหากษัตริย์จะได้ทรงตราพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง | ๑. เมื่ออายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง พระมหากษัตริย์จะได้ทรงตราพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง<ref>รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๐๗.</ref> | ||
๒. เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรต้องกำหนดวันเลือกตั้งใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายในเวลาไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎรและวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร | ๒. เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรต้องกำหนดวันเลือกตั้งใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายในเวลาไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎรและวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร<ref>รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๐๘.</ref> | ||
๓) เมื่อมีการยึดอำนาจการปกครองประเทศ | ๓) เมื่อมีการยึดอำนาจการปกครองประเทศ | ||
บรรทัดที่ 273: | บรรทัดที่ 273: | ||
| -<br><br><br> | | -<br><br><br> | ||
|} | |} | ||
'''ที่มา''' กลุ่มงานพิพิธภัณฑ์และจดหมายเหตุ, กลุ่มงานบริการวิชาการ ๑ สำนักวิชาการ | |||
==อ้างอิง== | ==อ้างอิง== |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 17:18, 14 ตุลาคม 2552
ผู้เรียบเรียง ตวงรัตน์ เลาหัตถพงษ์ภูริ
ผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จเร พันธุ์เปรื่อง
เมื่อใดที่มีการกล่าวถึง “สภาผู้แทนราษฎร” เป็นที่เข้าใจได้ว่าเป็นสถานที่มีผู้แทนราษฎรมาร่วมชุมนุมกันกระทำกิจกรรมอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อประโยชน์ของประเทศ[1] แต่เนื่องจากการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยนั้น การที่จะให้ประชาชนของประเทศเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองทั้งหมดเป็นสิ่งที่ไม่อาจเป็นไปได้ในทุกกรณี จึงจำเป็นต้องใช้ระบบผู้แทนโดยประชาชนจะมอบหมายให้ผู้แทนที่ประชาชนเป็นผู้เลือกตั้งเข้าไปใช้อำนาจอธิปไตยแทนในด้านต่าง ๆ โดยรัฐสภาเป็นองค์กรผู้ใช้อำนาจอธิปไตยด้านนิติบัญญัติ เมื่อสภาผู้แทนราษฎรเป็นส่วนหนึ่งของรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎรจึงเป็นสถาบันการเมืองที่เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยด้านนิติบัญญัติ ซึ่งถือว่าเป็นสถาบันการเมืองที่สำคัญยิ่งในการออกกฎหมายมาให้ประชาชนต้องปฏิบัติตาม
ที่มาของสภาผู้แทนราษฎร
การปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาโดยหลักการแล้วสภาผู้แทนราษฎรจะประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งประเทศ แต่วิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอาจจะเป็นการเลือกตั้งโดยตรงหรือโดยอ้อมก็ได้สุดแล้วแต่รัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศจะกำหนดไว้
การเลือกตั้งโดยตรง หมายถึง การเลือกตั้งที่ให้ประชาชนเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งให้ไปปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้แทนโดยตรง[2]
การเลือกตั้งโดยอ้อม หมายถึง การเลือกตั้งที่ให้ประชาชนไปเลือกตั้งผู้ที่จะไปทำการเลือกตั้งแทนตนในภายหลัง[3]
สำหรับสภาผู้แทนราษฎรของประเทศไทยตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบันสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีทั้งที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงและโดยอ้อมทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับจะกำหนดไว้ ยกเว้นสภาผู้แทนราษฎรชุดแรกที่มาจากการแต่งตั้งตามพระธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๗๕ รัฐธรรมนูญที่กำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้งโดยตรงได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๘๙ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉะบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๔๙๐ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๙๒ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๗ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๒๑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๓๔ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ส่วนรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๕ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๗๕ แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช ๒๔๙๕ โดยให้ราษฎรเลือกผู้แทนตำบลก่อนแล้วให้ผู้แทนตำบลไปเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอีกทีหนึ่ง
จำนวนของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
สภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรส่วนจะมีจำนวนเท่าใดขึ้นอยู่กับรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับจะกำหนดไว้ รัฐธรรมนูญที่ไม่ได้กำหนดจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไว้ตายตัวแต่ให้คำนวณจากจำนวนราษฎรเป็นเกณฑ์ โดยถือเกณฑ์ราษฎรจำนวนหนึ่งแสนห้าหมื่นคนให้เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ ๑ คน ถ้าเศษที่เหลือเกินเจ็ดหมื่นห้าพันคนให้มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพิ่มได้อีก ๑ คน ได้แก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๙๒ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พทุธศักราช ๒๕๒๑
ส่วนรัฐธรรมนูญที่มีการกำหนดจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไว้ตายตัว เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๗ กำหนดให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่าสองร้อยสี่สิบคนแต่ไม่เกินสามร้อยคน และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๓๔ กำหนดให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนสามร้อยหกสิบคน
นอกจากนี้ในรัฐธรรมนูญบางฉบับยังมีการแบ่งประเภทของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งด้วยนับจากที่ประเทศไทยได้มีการปฏิรูปทางการเมืองเมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๐ มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ กำหนดประเภทของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งไว้ ๒ ประเภท คือ ประเภทที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งเขตละหนึ่งคนจำนวนสี่ร้อยคน และประเภทที่มาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อจำนวนหนึ่งร้อยคน และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ฉบับปัจจุบันกำหนดประเภทของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไว้ ๒ ประเภทเช่นกัน คือ ประเภทที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งเขตละไม่เกินสามคนจำนวนสี่ร้อยคน และประเภทที่มาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วนจำนวนแปดสิบคน
อำนาจหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎร
รัฐธรรมนูญของประเทศไทยตั้งแต่ฉบับแรกเป็นต้นมาได้กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจหน้าที่ในการตราพระราชบัญญัติออกใช้บังคับและมีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล เว้นแต่ในบางช่วงที่ใช้ธรรมนูญการปกครองประเทศ จะไม่มีการกำหนดให้สถาบันการเมืองที่ธรรมนูญการปกครองประเทศในช่วงนั้นกำหนดให้เป็นองค์กรผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติมีหน้าที่ควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลเหมือนที่กำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจในช่วงที่ใช้รัฐธรรมนูญ
อำนาจหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนุญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ฉบับปัจจุบัน พอสรุปได้ดังต่อไปนี้[4]
๑. อำนาจหน้าที่ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัติซึ่งต้องเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรก่อน ถ้าสภาผู้แทนราษฎรไม่ให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัตินั้นก็จะตกไป แต่ถ้าสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบจึงเสนอให้วุฒิสภาพิจารณาต่อไปได้[5]
๒. อำนาจหน้าที่ในการควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน โดยการตั้งกระทู้ถามทั่วไป กระทู้ถามสด การเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และการเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล การตั้งคณะกรรมาธิการ การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี
๓. อำนาจหน้าที่ในการตราข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับการเลือกและการปฏิบัติหน้าที่ของประธานสภา รองประธานสภา เรื่องหรือกิจการอันเป็นอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการสามัญแต่ละชุด การปฏิบัติหน้าที่และองค์ประชุมของคณะกรรมาธิการ วิธีการประชุม การเสนอแนะและพิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญและร่างพระราชบัญญัติ การเสนอญัตติ การปรึกษา การอภิปราย การลงมติ การบันทึกการลงมติ การเปิดเผยการลงมติ การตั้งกระทู้ถาม การเปิดอภิปรายทั่วไป การรักษาระเบียบและความเรียบร้อย ประมวลจริยธรรมของสมาชิกและกรรมาธิการ และกิจการอื่นๆ เพื่อดำเนินการตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ[6]
๔. อำนาจหน้าที่ในการพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องกระทำโดยการลงคะแนนโดยเปิดเผยในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรและมติที่เห็นชอบด้วยในการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร[7]
๕. อำนาจหน้าที่ในการพิจารณาอนุมัติพระราชกำหนดกรณีเพื่อรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ[8] และพิจารณาอนุมัติพระราชกำหนดกรณีมีความจำเป็นต้องมีกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตรา ซึ่งจะต้องได้รับการพิจารณาโดยด่วนและลับเพื่อรักษาประโยชน์ของแผ่นดิน ในระหว่างสมัยประชุม[9]
๖. อำนาจหน้าที่ในการเข้าชื่อเสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรว่าพระราชกำหนดนั้นมิได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะหรือมิได้เป็นกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจจะหลีกเลี่ยงได้[10]
๗. อำนาจหน้าที่ในการประชุมร่วมกับวุฒิสภาเพื่อทำหน้าที่รัฐสภาในกรณีต่อไปนี้[11]
๑) การให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
๒) การปฏิญาณตนของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อรัฐสภา
๓) การรับทราบการแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พระพุทธศักราช ๒๔๖๗
๔) การรับทราบหรือให้ความเห็นชอบในการสืบราชสมบัติ
๕) การมีมติให้รัฐสภาพิจารณาเรื่องอื่นในสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติได้
๖) การให้ความเห็นชอบในการปิดสมัยประชุม
๗) การเปิดประชุมรัฐสภา
๘) การตราข้อบังคับการประชุมรัฐสภา
๙) การให้ความเห็นชอบให้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัติ
๑๐) การปรึกษาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัติใหม่
๑๑) การให้ความเห็นชอบให้พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัติต่อไป
๑๒) การแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
๑๓) การเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อฟังความคิดเห็นโดยไม่มีการลงมติ
๑๔) การให้ความเห็นชอบในการประกาศสงคราม
๑๕) การรับฟังคำชี้แจงและการให้ความเห็นชอบหนังสือสัญญา
๑๖) การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
อายุของสภาผู้แทนราษฎร
อายุของสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่มีกำหนดไว้คราวละสี่ปีนับแต่วันเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๑๑ กำหนดไว้คราวละสี่ปีเช่นกันแต่ให้นับแต่วันเปิดประชุมรัฐสภาครั้งแรก ยกเว้นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๔๗๕ แก้ไขเพิ่มเติม พุทธศักราช ๒๔๙๕ ที่กำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่ในตำแหน่งได้คราวละห้าปีนับแต่วันเลือกตั้งทั่วไป
ในประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของประเทศไทยมีสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงที่อยู่ครบสี่ปีจำนวน ๒ ชุด คือ สภาผู้แทนราษฎรชุดที่ ๘ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๙๕ และสภาผู้แทนราษฎรชุดที่ ๒๒ ที่มาจากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ ๖ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๔ ซึ่งสิ้นสุดเมื่อวันที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๘
การสิ้นสุดของสภาผู้แทนราษฎร
สภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงในกรณีต่อไปนี้
๑. เมื่ออายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง พระมหากษัตริย์จะได้ทรงตราพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายในสี่สิบห้าวันนับแต่วันที่อายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลง[12]
๒. เมื่อมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรต้องกำหนดวันเลือกตั้งใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายในเวลาไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎรและวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร[13]
๓) เมื่อมีการยึดอำนาจการปกครองประเทศ
สภาผู้แทนราษฎรของประเทศไทย
นับแต่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ระบบรัฐสภา ตั้งแต่เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ มีสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด ๒๔ ชุด ดังต่อไปนี้
ชุดที่ | ประเภท | ที่มา | จำนวน สมาชิก (คน) |
ระยะเวลา | สาเหตุของการสิ้นสุด |
---|---|---|---|---|---|
1 | สภาผู้แทนราษฎร | แต่งตั้ง | 70 | ๒๘ มิ.ย. ๒๔๗๕ – ๑๕ พ.ย. ๒๔๗๖ | มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช ๒๔๗๕ |
2 |
สมาชิกประเภทที่ ๑ สมาชิกประเภทที่ ๒ |
เลือกตั้งโดยอ้อม แต่งตั้ง |
78 78 |
๑๕ พ.ย. ๒๔๗๖ – ๙ ธ.ค. ๒๔๘๐ ๙ ธ.ค. ๒๔๗๖ |
พ้นจากตำแหน่งตามวาระ ๔ ปี คงอยู่ในตำแหน่งต่อไป |
3 |
สมาชิกประเภทที่ ๑ สมาชิกประเภทที่ ๒ |
เลือกตั้งโดยตรง แต่งตั้ง (เพิ่มอีก ๑๓ คน) |
๙๑ ๙๑ |
๗ พ.ย. ๒๔๘๐ – ๑๑ ก.ย. ๒๔๘๑ ๙ ธ.ค. ๒๔๗๖ |
มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร คงอยู่ในตำแหน่งต่อไป |
4 |
สมาชิกประเภทที่ ๑ สมาชิกประเภทที่ ๒ |
เลือกตั้งโดยตรง แต่งตั้ง |
๙๑ ๙๑ |
๑๒ พ.ย. ๒๔๘๑ – ๑๕ ต.ค. ๒๔๘๘ ๙ ธ.ค. ๒๔๗๖ |
มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร คงอยู่ในตำแหน่งต่อไป |
5 |
สมาชิกประเภทที่ ๑ สมาชิกประเภทที่ ๒ |
เลือกตั้งโดยตรง แต่งตั้ง (เพิ่มอีก ๕ คน) |
๙๖ ๙๖ |
๖ ม.ค. ๒๔๘๙ – ๘ พ.ย. ๒๔๙๐ ๙ ธ.ค. ๒๔๗๖ – ๑๐ พ.ค. ๒๔๘๙ |
ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เมื่อ ๑๐ พ.ค. ๒๔๘๙ ให้คงอยู่ในตำแหน่งต่อไป และมีการยึดอำนาจ การปกครองประเทศเมื่อ ๘ พ.ย. ๒๔๙๐ ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เมื่อ ๑๐ พ.ค. ๒๔๘๙ |
6 | สภาผู้แทน | เลือกตั้งโดยตรง | ๑๗๘ | ๖ ม.ค. ๒๔๘๙ – ๘ พ.ย. ๒๔๙๐ | มีการยึดอำนาจการปกครองประเทศ |
7 | สภาผู้แทนราษฎร | เลือกตั้งโดยตรง | ๙๙ | ๒๙ ม.ค. ๒๔๙๑ – ๒๙ พ.ย. ๒๔๙๔ | มีการยึดอำนาจการปกครองประเทศ |
8 |
สมาชิกประเภทที่ ๑ สมาชิกประเภทที่ ๒ |
เลือกตั้งโดยตรง แต่งตั้ง |
๑๒๓ ๑๒๓ |
๒๖ ก.พ. ๒๔๙๕ – ๒๕ ก.พ. ๒๕๐๐ ๓๐ พ.ย. ๒๔๙๔ |
พ้นจากตำแหน่งตามวาระ ๔ ปี คงอยู่ในตำแหน่งต่อไป |
9 |
สมาชิกประเภทที่ ๑ สมาชิกประเภทที่ ๒ |
เลือกตั้งโดยตรง แต่งตั้ง |
๑๖๐ ๑๒๓ |
๒๖ ก.พ. ๒๕๐๐ – ๑๖ ก.ย. ๒๕๐๐ ๓๐ พ.ย. ๒๔๙๔ – ๑๖ ก.ย. ๒๕๐๐ |
มีการยึดอำนาจการปกครองประเทศ มีการยึดอำนาจการปกครองประเทศ |
10 |
สมาชิกประเภทที่ ๑ สมาชิกประเภทที่ ๒ |
เลือกตั้งโดยตรง แต่งตั้ง |
๑๘๖ ๑๒๑ |
๑๕ ธ.ค. ๒๕๐๐ – ๒๐ ต.ค. ๒๕๐๑ ๑๘ ก.ย. ๒๕๐๐ – ๒๐ ต.ค. ๒๕๐๑ |
มีการยึดอำนาจการปกครองประเทศ มีการยึดอำนาจการปกครองประเทศ |
11 | สภาผู้แทน | เลือกตั้งโดยตรง | ๒๑๙ | ๑๐ ก.พ. ๒๕๑๒ – ๑๗ พ.ย. ๒๕๑๔ | มีการยึดอำนาจการปกครองประเทศ |
12 | สภาผู้แทนราษฎร | เลือกตั้งโดยตรง | ๒๖๙ | ๒๖ ม.ค. ๒๕๑๘ – ๑๒ ม.ค. ๒๕๑๙ | มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร |
13 | สภาผู้แทนราษฎร | เลือกตั้งโดยตรง | ๒๗๙ | ๔ เม.ย. ๒๕๑๙ – ๖ ต.ค. ๒๕๑๙ | มีการยึดอำนาจการปกครองประเทศ |
14 | สภาผู้แทนราษฎร | เลือกตั้งโดยตรง | ๓๐๑ | ๒๒ เม.ย. ๒๕๒๒ – ๑๙ มี.ค. ๒๕๒๖ | มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร |
15 | สภาผู้แทนราษฎร | เลือกตั้งโดยตรง | ๓๒๔ | ๑๘ เม.ย. ๒๕๒๖ – ๑ พ.ค. ๒๕๒๙ | มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร |
16 | สภาผู้แทนราษฎร | เลือกตั้งโดยตรง | ๓๔๗ | ๒๗ ก.ค. ๒๕๒๙ – ๒๙ เม.ย. ๒๕๓๑ | มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร |
17 | สภาผู้แทนราษฎร | เลือกตั้งโดยตรง | ๓๕๗ | ๒๔ ก.ค. ๒๕๓๑ – ๒๓ ก.พ. ๒๕๓๔ | มีการยึดอำนาจการปกครองประเทศ |
18 | สภาผู้แทนราษฎร | เลือกตั้งโดยตรง | ๓๖๐ | ๒๒ มี.ค. ๒๕๓๕ – ๓๐ มิ.ย. ๒๕๓๕ | มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร |
19 | สภาผู้แทนราษฎร | เลือกตั้งโดยตรง | ๓๖๐ | ๑๓ ก.ย. ๒๕๓๕ – ๑๙ พ.ค. ๒๕๓๘ | มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร |
20 | สภาผู้แทนราษฎร | เลือกตั้งโดยตรง | ๓๙๑ | ๒ ก.ค. ๒๕๓๘ – ๒๗ ก.ย. ๒๕๓๙ | มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร |
21 | สภาผู้แทนราษฎร | เลือกตั้งโดยตรง | ๓๙๓ | ๑๗ พ.ย. ๒๕๓๙ – ๙ พ.ย. ๒๕๔๓ | มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร |
22 |
สภาผู้แทนราษฎร |
เลือกตั้งโดยตรง - แบ่งเขตเลือกตั้ง - บัญชีรายชื่อ |
๔๐๐ ๑๐๐ |
๖ ม.ค. ๒๕๔๔ – ๕ ม.ค. ๒๕๔๘ |
พ้นจากตำแหน่งตามวาระ ๔ ปี |
23 |
สภาผู้แทนราษฎร |
เลือกตั้งโดยตรง - แบ่งเขตเลือกตั้ง - บัญชีรายชื่อ |
๔๐๐ ๑๐๐ |
๖ ก.พ. ๒๕๔๘ – ๒๔ ก.พ. ๒๕๔๙ |
มีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ต่อมาวันที่ ๑๙ ก.ย. ๒๕๔๙ มีการยึดอำนาจการปกครองประเทศ |
24 |
สภาผู้แทนราษฎร |
เลือกตั้งโดยตรง - แบ่งเขตเลือกตั้ง - สัดส่วน |
๔๐๐ ๘๐ |
๒๓ ธ.ค. ๒๕๕๐ – ปัจจุบัน |
- |
ที่มา กลุ่มงานพิพิธภัณฑ์และจดหมายเหตุ, กลุ่มงานบริการวิชาการ ๑ สำนักวิชาการ
อ้างอิง
- ↑ สถาบันพระปกเกล้า, สารานุกรมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.๒๕๔๐) หมวดองค์กรทางการเมืองเรื่องสภาผู้แทนราษฎร. (กรุงเทพมหานคร : องค์การค้าคุรุสภา, ๒๕๔๔), หน้า ๔.
- ↑ สิริวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์, กฎหมายรัฐธรรมนูญ, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๒๔), หน้า ๕๓.
- ↑ เรื่องเดียวกัน, หน้าเดียวกัน.
- ↑ คณิน บุญสุวรรณ, ปทานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทยฉบับสมบูรณ์ (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ตถาตา พับลิเคชั่น, ๒๕๔๘), หน้า ๙๒๑ – ๙๒๒.
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๔๐ มาตรา ๑๔๒ มาตรา ๑๔๕ มาตรา ๑๔๖.
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๓๔.
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๗๒.
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๘๔.
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๘๖.
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๘๕.
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๓๖.
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๐๗.
- ↑ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๑๐๘.
บรรณานุกรม
คณิน บุญสุวรรณ. ปทานุกรมศัพท์รัฐสภาและการเมืองไทยฉบับสมบูรณ์. กรุงเทพมหานคร โรงพิมพ์ตถาตา พับลิเคชั่น. ๒๕๔๘.
สถาบันพระปกเกล้า. สารานุกรม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พ.ศ.๒๕๔๐) หมวดองค์กร ทางการเมืองเรื่องสภาผู้แทนราษฎร. กรุงเทพมหานคร : องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๔๔.
สิริวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์. กฎหมายรัฐธรรมนูญ. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง. ๒๕๒๔.
สำนักงานเลขาธิการสภาผุ้แทนราษฎร. สำนักประชาสัมพันธ์. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย. กรุงเทพมหานคร : สำนักการพิมพ์ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. ๒๕๕๑.
ดูเพิ่มเติม
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. “รัฐสภาไทยกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร.” กรุงเทพมหานคร : องค์การทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์, ๒๕๔๘. (หนังสือที่ระลึกในวโรกาสที่พลเอกหญิงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีเสด็จทรงนำคณะอาจารย์และนักเรียน นายร้อยชั้นปีที่ ๔ และชั้นปีที่ ๕ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า วิชาหัวข้อพิเศษทางประวัติศาสตร์ : เปรียบเทียบพัฒนาการประชาธิปไตยในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ทัศนศึกษารัฐสภา ห้องสมุดรัฐสภา และพิพิธภัณฑ์รัฐสภา วันอังคารที่ ๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๘).
สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. สำนักวิชาการ กลุ่มงานบริการวิชาการ ๑. สรุปเหตุการณ์ทางการเมืองในประเทศและต่างประเทศ ๒, ๑. (มกราคม – มีนาคม ๒๕๔๘ (ฉบับพิเศษ))